พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 429 มั่นใจ (1)
เพราะขุนนางหลูซืออันถูกสั่งให้ไปประจำการนอกเมืองหลวง จึงเป็นเหตุให้เขายื่นคำร้องขอให้ไตร่สวนความผิด ฮ่องเต้ทราบจึงกริ้วเป็นอย่างมาก ไม่ถึงครึ่งวันข่าวก็แพร่สะพัดไปทั้งราชสำนัก เป็นที่ถกเถียงกันทุกหนแห่ง เหล่าขุนนางอกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าคราวนี้จะมีกี่คนที่โชคร้ายโดนหางเลขไปด้วย ทั้งยังไม่รู้ผู้ใดจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ไป
หลูซืออันคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเรื่องราวต้องบานปลาย แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่า ยามที่คำร้องถึงมือฮ่องเต้ กรมขุนนางจะมาลากตัวเขาเข้าคุกถึงบ้านเช่นนี้
พอเห็นท่าทางของหลูซืออันที่ถูกกุมตัวมาไต่สวนกลางห้องโถง เจ้ากรมขุนนางที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็หงุดหงิดไม่น้อย
ทุกคนล้วนแต่เป็นขุนนางแห่งราชสำนัก เดินชูคอเชิดหน้ากันอยู่ทุกวัน น้อยนักที่จะเห็นผู้ใดเดินคอตก แต่สำหรับกรมขุนนางแล้วกลับไม่ใช่เรื่องแปลก นับว่าเป็นภาพที่พบเห็นได้บ่อยครั้งเสียด้วยซ้ำ
เพียงแต่ท่าทางผึ่งผายแสนมั่นใจของหลูซืออันในวันนี้ ทำให้เข้ารู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าที่แห่งนี้คือกรมขุนนางที่เหล่าขุนนางใดได้ยินชื่อเข้าเป็นต้องหน้าถอดสี แต่ยามปกติหลูซืออันผู้นี้ก็มิใช่คนที่ยืนอกผายไหล่ผึ่งเช่นนี้
คนที่ยืนอย่างเคารพนบนอบอยู่ด้านหลังเฉินเซ่าและพวกพ้องมาตลอด คนหัวอ่อน ขี้ขลาด อวดดี แสนเชื่องผู้นั้น ได้กลายเป็นคนสง่าผ่าเผยถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมือใดกัน
“หลูเจิ้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนต้องโทษอันใด” เจ้ากรมขุนนางเคาะไม้จิงถังแล้วตะโกนลั่น
“ข้าหลูเจิ้งผู้นี้ต้องโทษใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ” หลูซืออันเอ่ยเสียงเรียบ
“พูดจาเฉไฉ!” เจ้ากรมขุนนางแค่นหัวเราะ “ความผิดที่เจ้าใส่ร้ายป้ายสีขุนนางด้วยกันนั้น เจ้ายอมรับหรือไม่”
หลูซืออันหัวเราะ
“ข้าน่ะหรือใส่ร้ายป้ายสี ข้ามิได้เก่งกาจถึงเพียงนั้น ข้าเพียงแต่ตรวจตราสารทุกข์สุกดิบของชาวเมืองแล้วกราบทูลต่อฝ่าบาทเพียงเท่านั้น” เขาเงยหน้าเอ่ย “หากตรวจตราความทุกข์ยากของชาวเมืองนั้นเป็นความผิด หลูเจิ้งผู้นี้ก็จะขอน้อมรับไว้”
เจ้ากรมขุนนางเย้ยหยันอยู่ในใจ สีหน้าที่แสดงออกมาจึงเปลี่ยนไป
“หรูเจิ้ง เจ้าจะพูดเช่นนี้ให้ได้อันใดขึ้นมา เพราะถูกส่งตัวไปประจำต่างเมืองจึงแค้นเคืองหรือ…” เขาพยายามถามชักจูง
ทว่ายังไม่ทันพูดจบหลูซืออันก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน
“พูดเช่นนั้นก็ไม่ถูกนัก ข้าไม่ได้แค้นเคืองใจอันใด ข้าเพียงแค่ระบายความคับแค้นใจแทนชาวเมือง” เขาเอ่ยเสียงหนักแน่น
เจ้ากรมขุนนางเห็นท่าทีของเขาแล้วก็พูดไม่ออก
“หลูเจิ้ง เจ้าคิดดีแล้วหรือที่รนหาที่ตายเช่นนี้” เขาถาม
หลูซืออันหัวเราะลั่น
“เหตุใดถึงกลายเป็นรนหาที่ตายไปเสียได้ ข้าเพียงแต่ตรวจตราสารทุกข์สุกดิบของชาวเมืองแทนฮ่องเต้ คนเป็นขุนนางย่อมไม่อาจทำการใดเกินขอบเขตอำนาหน้าที่ได้ นี่คือชีวิตของขุนนาง นี่คือหนทางของขุนนาง” เขาเอ่ยเสียงดังลั่น
เจ้ากรมขุนนางส่ายหน้าแล้วส่งสัญญาณมือให้คนพาตัวเขาออกไป เพราะถึงอย่างไรไต่สวนครั้งแรกก็คงไม่ได้ความอันใดอยู่แล้ว แม้กรมขุนนางไม่อาจใช้กำลังเพื่อเค้นความจริงจากเหล่าขุนนางได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางอื่น ทรมานเขาสักสามสี่วัน เขาคงตาสว่างแล้วยอมปริปากเอง
หลูซืออันไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่นิด เขาเงยหน้าขึ้นแล้วหันหลังเดินยืดอกจากไป ก่อนจะเห็นรองเสนาบดีประจำกรมวังยืนหน้าเคร่งขรึมอยู่ที่ประตู
“หลูเจิ้ง” รองเสนาบดีเรียกเขายามเดินสวนกัน
หลูซืออันมองเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าคราวนี้เฉินเซ่าจะปกป้องเจ้าได้” รองเสนาบดีถามเสียงต่ำ
หลูซืออันมองเขาแล้วหัวเราะ
“ที่ข้ามั่นใจไม่ใช่เพราะคนใดคนหนึ่ง” เขาเอ่ย “แต่เพราะคนทั่วหล้าต่างหาก”
เจ้าหมอนี่เสียสติไปแล้วหรืออย่างไร คงเป็นเพราะถูกส่งไปประจำหนานโจว เขาถึงได้สิ้นหวังแล้วทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นนี้
รองเสนาบดีขมวดคิ้วแล้วนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง หลีซืออันย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าหากพูดออกไป เรื่องคงไม่จบลงง่ายๆ เป็นแน่ คราวนี้เขาเดิมพันด้วยชีวิต แต่คนที่ทำให้เขามั่นใจและกล้าเดิมพันด้วยชีวิตกลับไม่ใช่เฉินเซ่า ที่จะคอยช่วยค้ำชูเขาในวันข้างหน้า
คนทั่วหล้าอย่างนั้นหรือ….
เรื่องคราวนี้บานปลายใหญ่โตถึงขนาดนั้นเชียวหรือ
“ใครก็ได้เข้ามาที พวกเจ้าไปสืบถามตามตลาด ดูสิว่าภาพวาดของหลูซืออันมีส่วนใดที่เกินจริง หรือส่วนใดที่เป็นจริงบ้าง” เขาเรียกเหล่าขุนนางผู้น้อยให้เข้ามาแล้วสั่งการ
ขณะเดียวกันอำมาตย์ฝ่ายขวาแห่งศาลาว่าการประจำเมืองหลวงก็กำลังเดือดดาลราวกับพายุสายฟ้า
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เจ้าขุนนางฉ้อฉลนั่นก่อเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ แต่พวกเจ้ากลับไม่รู้เรื่องอย่างนั้นหรือ! พวกเจ้าตายกันไปหมดแล้วหรืออย่างไร” เขาตวาดลั่น หลังจากรู้ข่าว เขาก็ตกใจจนเหงื่อซึมไปทั้งร่าง
เรื่องราวในวันนั้นเขาเองก็พอได้ยินมาบ้าง แต่รู้เพียงแค่ว่ามีเศรษฐีจัดงานศพ ใช้เงินไปมหาศาลบ้างล่ะ รวยล้นฟ้าบ้างล่ะ เป็นเจ้าของเรือนไท่ผิง เรือนนางฟ้าบ้างล่ะ แต่เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ใครจะไปรู้ว่าเจ้าหลูซืออันจะใช้ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากเรื่องนี้ได้!
ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ยืนอยู่ข้างหน้าสีหน้าหวาดหวั่น
ใครจะไปคิดกันว่าคนใกล้ตายอย่างหลูซืออันจะกล้าเล่นไม้นี้ อันที่จริงสำหรับเหล่าขุนนางชั้นสูงแล้วผู้ในจะยื่นคำร้องให้ไต่สวนผู้ใดนั้นมิใช่เรื่องสำคัญ แต่เรื่องใหญ่คือภาพวาดนั้นต่างหาก เพราะเหตุการณ์บนภาพนั้นได้เกิดขึ้นจริง ทั้งยังเกิดขึ้นในเมืองหลวง แถมยังเกิดขึ้นตั้งแต่ทิศตะวันตกไปจรดทิศตะวันออกของเมือง ซึ่งอยู่ในความดูแลของฝ่ายขวาอย่างพวกเขาด้วย
ยามนี้เรื่องถึงหูฮ่องเต้แล้ว หากโทษเบา ผู้ว่าเมืองหลวงก็คงไม่ไว้ชีวิตเขา แต่หากโทษหนัก ฮ่องเต้ก็ย่อมไม่ไว้ชีวิตเช่นกัน เอาเป็นว่าเจ้าหลูซืออันคือตัวการที่ให้เขาต้องซวยเช่นนี้!
“ใต้เท้า ดูเหมือนว่าคราวนี้จะไม่ใช่แผนการของพวกเฉินเซ่าขอรับ” มีคนเอ่ยขึ้น
“หากไม่ใช่แผนการของพวกเขา จะมีผู้ใดกล้าทำเรื่องเช่นนี้อีก เหตุใดถึงมีคนมากมายขนาดนั้นมาดูขบวนศพ” อำมาตย์หลิวตะโกนลั่น
“ได้ยินมาว่าเจ้าภาพงานศพแจกเหล้าชาวเมืองขอรับ”
“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ เหล้าชั้นดี เหล้าที่แรงที่สุดบนโลกหล้า…”
“บ่าวเรือนข้าแย่งมาได้จอกหนึ่ง เมาไปสองวันสองคืนกว่าจะสร่าง!”
“แรงขนาดนั้นเชียวหรือ”
พอเห็นว่าหัวข้อสนทนาในห้องเปลี่ยนไป อำมาตย์หลิวที่เหม่อลอยอยู่จึงได้สติขึ้นมา ก่อนจะตบโต๊ะอย่างแรง
“เหล้า!” เขาแค่นหัวเราะ “เหล้าเองหรอกหรือ ก็แค่คนทั้งเมืองแห่กันมารุมแย่งเหล้า มิได้มาร่วมส่งดวงวิญญาณของเหล่าผู้กล้าอะไรนั่นเสียหน่อย เจ้าหลูซืออันจอมโป้ปด!”
เหล่าคนที่อยู่ตรงนั้นก็ลองหวนนึกดู ก็เห็นว่าจริงอย่างที่ว่า
“เป็นเพราะเหล้านั่นเรื่องถึงได้วุ่นวายเช่นนี้!” ทุกคนพากันพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นก็ง่ายแล้ว” อำมาตย์หลิวเอ่ยพลางพยักหน้า “เรือนนางฟ้าและเรือนไท่ผิงทำผิดกฎหมาย ไปจับตัวมาให้หมด โทษฐานลักลอบดองเหล้าขาย!”
เขากัดฟันกรอด
ก็แค่พ่อค้าไร้คุณธรรมใช้วิธีหัวหมอขายเหล้าก็เท่านั้น หาใช่เรื่องความคับแค้นใจของเหล่าชาวเมืองแต่อย่างใด!
ไม่ผิดแน่ เรื่องราวก็ง่ายดายเพียงเท่านี้ เขาจะหยุดยั้งไม่ให้เจ้านั่นพลิกแพลงข้อเท็จจริงให้กลายเป็นอื่นไปเสียก่อน ดูซิว่าเจ้าหลูซื่ออันจะมาไม้ไหนอีก!
อำมาตย์หลิวลูบเคราอย่างลำพองใจ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องกวนใจใต้เท้าผู้ว่าหรือเกาหลิงปอ เขาเองก็สามารถจัดการได้ ต้องได้รับคำชมอย่างแน่นอน
“ยังไม่รีบไปอีก พาคนไปปิดร้านพวกนั้นด้วย!”
….
หลังจากทำพิธีฝังศพสวีเม่าซิวและพวกพ้องไปได้ห้าวัน ฟ่านเจียงหลินก็ออกจากเรือนไปยังเรือนไท่ผิง
ผู้ดูแลอู๋มาต้อนรับเขาด้วยตนเอง พร้อมแนะนำผู้ดูแลร้านคนใหม่ให้แก่เขา
ได้เห็นเหล่าบ่าวในร้านถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอย่างนอบน้อมเป็นกันเอง บวกกับใบหน้าไร้กังวลของ
ฟ่านเจียงหลิน แม่นางหวงภรรยาของเขาก็เริ่มเบาใจขึ้นมาไม่น้อย
“ห้องพวกเถ้าแก่ยังคงรักษาไว้ดังเดิมขอรับ” ผู้ดูแลอู๋เอ่ย
แม่นางหวงมองฟ่านเจียงหลินอย่างเป็นห่วง ตั้งแต่กลับบ้านมา ไม่ว่าจะเดินทางไปแห่งหนใดก็ล้วนแต่มีความทรงจำในวันวานของเหล่าพี่น้อง จะพบเจอจะพูดถึงอีกสักกี่หน ก็นึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ หากแต่ฟ่านเจียงหลินกลับไม่ได้เศร้าโศกแต่อย่างใด กลับอารมณ์ดีขึ้นทุกวัน เช่นนี้ไม่ผิดปกติไปหน่อยหรือ
“เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป”
เมื่อเข้ามานั่งในห้องเป็นที่เรียบร้อย ฟ่านเจียงหลินจึงได้เอ่ยกับนางด้วยรอยยิ้ม
“พวกเขาคือพี่น้องของข้า แม้ข้าจะสูญเสียพวกเขาไปแล้ว แต่ข้าเองก็ไม่ได้กลัว และข้าก็ไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองให้ลืมพวกเขา”
ขณะที่สองสามมีภรรยาพูดคุยกันอยู่ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกจากด้านนอก
“เถ้าแก่ เถ้าแก่ขอรับ” ผู้ดูแลอู๋เร่งฝีเท้าเข้ามาใกล้ “คนจากศาลาว่าการมาขอรับ”
ศาลาว่าการอย่างนั้นหรือ
แม่นางหวงตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ฟ่านเจียงหลินกลับดูผ่อนคลายนัก ทั้งยังยิ้มออกมาอีกต่างหาก
“มาจริงๆ เสียด้วย น้องสาวว่าไม่เคยผิดเลยสักหก” เขาเอ่ยพลางลุกยืนขึ้น “เจ้ารออยู่ที่นี่เถิด ข้าจะออกไปดูเสียหน่อย”
“เถ้าแก่ เชิญพวกเขาเข้ามาไม่ดีกว่าหรือ” ผู้ดูแลอู๋นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
ฟ่านเจียงหลินยิ้มแล้วส่ายหน้า
“พวกเราไม่มีเรื่องอันใดต้องปกปิด” เขาเอ่ยแล้วก้าวเท้าเดินออกไป
ยามนี้ผู้คนนั่งที่กันอยู่เต็มเรือนไท่ผิงไม่สนใจจะกินอาหาร แต่กลับมองไปที่เหล่าข้าหลวงที่ยืนอยู่ในร้าน พลางยกมือยกไม้ถกเถียงกันไปมา
“ท่านข้าหลวงทั้งหลาย”
ฟ่านเจียงหลินเดินเข้ามาก่อนจะโค้งคำนับให้
“เจ้าคือเถ้าแก่ของที่นี่ใช่หรือไม่ เปิดร้านเสีย แล้วตามพวกข้ามา” ข้าหลวงเอ่ย
เสียงดังจอแจรอบด้านเงียบสงัดลงในทันใด สีหน้าของทุกคนดูตกตะลึงยิ่งนัก
“ปิดร้านอย่างนั้นหรือ”