พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 429 มั่นใจ (2)
ขณะเดียวกัน ณ เรือนนางฟ้าที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง สาวใช้นางหนึ่งได้ยินคำพูดของข้าหลวงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก็เผลอหัวเราะออกมาในทันใด
“เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ” นางถาม
“เพราะพวกเจ้าลักลอบบ่มเหล้าน่ะสิ” ข้าหลวงเอ่ย
เสียงซุบซินนินทากลางโถงก็ดังกระหึ่มขึ้นมาในทันใด ที่พวกเขามารวมที่เรือนนางฟ้าในวันนี้ เป็นเหตุจากเหล้าเมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง
แม้ว่าหลายคนอาจจะไม่มีโอกาสได้ดื่ม แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแก่พวกเขาในการจินตนาการถึงรสชาติอันหอมหวานของเหล้านั้น
ในเมืองหลวงมีเพียงร้านของทางการ ร้านของขุนนาง และโรงบ่มที่เสียอากรอยู่ถูกต้องเท่านั้นที่มีสิทธิ์บ่มเหล้าและจำหน่ายได้ มิเช่นนั้นจะต้องโทษร้ายแรง เรื่องนี้เป็นที่รู้ดีกันอยู่แล้ว แต่ก็เป็นที่รู้กันของชาวบ้านชาวเมืองเช่นกัน ว่าในเรือนของเหล่าเจ้าใหญ่นายโตนั้นก็แอบลักลอบบ่มเหล้ากันเองอยู่ดี แต่ทางการเพียงแค่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่เท่านั้น
หากจะกล่าวโทษผู้ใดว่าลักลอบบ่มเหล้านั้นย่อมเป็นเพียงแต่เปลือกนอก แต่เนื้อในแล้วย่อมมีเหตุผลอื่น หรือไม่ก็ขัดผลประโยชน์ของขุนนางคนใดเข้าบ้างละ หรือไม่ก็ถูกคนอื่นเล่นงานลับหลังก็เป็นได้
เหล้าชั้นดีเช่นนั้น ย่อมนำมาซึ่งกำไรมหาศาล และแน่นอนว่าต้องมีคนอิจฉาเป็นแน่ แม้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก แต่ก็นึกไม่ถึงเลยว่าจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้
สาวใช้หัวเราะ
“ท่านข้าหลวง เข้าใจผิดแล้วกระมังเจ้าคะ พวกข้ามิได้ลักลอบบ่มเหล้าทั้งยังมิได้ขายเหล้าอีกด้วย” นางเอ่ย “เหล้านั้นพวกข้าซื้อมาจากโรงบ่มของลู่เหล่าซื่อที่นอกเมือง เพียงแต่ปรุงรสอีกเล็กน้อย ทั้งยังกินดื่มกันในงานศพเท่านั้น ไม่ได้คิดเงิน ยามนี้ก็แจกจ่ายไปหมดแล้ว ไม่ได้ลักลอบบ่มเหล้า ไม่ได้ขายเหล้าแต่อย่างใด”
เป็นเช่นนั้นหรือ ซื้อมาจากโรงบ่มของลู่เหล่าซื่อจากนอกเมืองอย่างนั้นหรือ!
แววตาของทุกคนในที่นั้นเปล่งประกายขึ้นมาในทันใด บางคนใจร้อนจนรีบลุกพรวดขึ้นทำท่าจะเดินออกไป แต่กลับถูกพวกพ้องรั้งไว้เสียก่อน
“เจ้าโง่หรืออย่างไร คนเขาก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าปรุงรสด้วย เจ้าคิดว่าเหล้าที่ลู่เหล่าซื่อเป็นคนบ่มจะรสชาติดีขนาดนั้นเลยหรือ”
“ข้าไม่สนว่าจะดีหรือไม่ แต่อยากน้อยก็ได้รู้ที่มา ไปดูแล้วดื่มแก้อยากเสียหน่อย”
เสียงถกเถียงของลูกค้าดังขึ้นเรื่อยๆ เหล่าข้าหลวงสีหน้าเริ่มไม่สู้ดีนัก
“เช่นนั้นย่อมมีพยานสินะ” หัวหน้าข้าหลวงเอ่ยขึ้น
“จะไม่มีได้อย่างไรเจ้าคะ” สาวใช้ส่ายหน้าแล้วเอ่ยเสียงหนักแน่น “พวกข้าไม่ได้ขายอย่างแน่นอน พวกข้ามีพยาน”
นางมองไปยังคนที่อยู่ในห้องโถง
“พวกท่านทั้งหลายมีผู้ใดเคยซื้อเหล้าจากร้านของข้าบ้าง” นางถาม
“ไม่มี”
“ผู้ใดซื้อได้ ข้าจะขอซื้อต่อ ราคาสูงเท่าใดก็ยอม”
เสียงคำตอบดังเคล้าคลอไปกับเสียงหัวเราะในห้องโถง
พอเห็นคนในห้องโถงคึกครื้นขึ้นมา เหล่าข้าหลวงก็เริ่มร้อนใจทั้งยังหงุดหงิดยิ่งนัก
“เอาละ หยุดพล่ามได้แล้ว ปิดร้านแล้วตามพวกข้ามา” เขาตะโกนดังลั่น
สาวมองพวกเขาแล้วแค่นหัวเราะออกมา
“ท่านข้าหลวง ข้าขอทราบเหตุผลได้หรือไม่” นางเอ่ย
“เหตุผลน่ะหรือ เหตุผลคือพวกเจ้าใช้เหล้าปลุกปั่นชาวเมืองให้มาชุมนุมก่อความวุ่นวายน่ะสิ” ข้าหลวงไหวพริบดีคนหนึ่งชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน “สร้างข่าวลือ ยุยงชาวเมือง!”
สาวใช้เห็นเขาชะงักไป ก็ยกมือขึ้นป้องปากแล้วหัวเราะ ทว่ายิ่งหัวเราะเสียงก็ยิ่งดังขึ้น นางหัวเราะจนทั้งห้องโถงเงียบสงัดลง หัวเราะเสียจนเหล่าข้าหลวงเริ่มมีน้ำโหขึ้นมา
“หัวเราะอะไรของเจ้า” ข้าหลวงผู้นั้นตวาดอย่างเดือดดาล
“ข้าขอบคุณพวกท่าน” สาวใช้มองเขาแล้วเอ่ยขึ้น
ขอบคุณอย่างนั้นหรือ
ข้าหลวงตกตะลึง ยังไม่ทันได้สติคืนมา ก็เห็นสาวใช้ตรงหน้าหยุดหัวเราะลง สีหน้าของนางเคร่งขรึมแล้วก้าวเดินเข้ามาข้างหน้า
“พวกข้าแจกจ่ายเหล้า ชาวเมืองก็เข้ามาเองด้วยความสมัครใจ เหตุใดถึงการเป็นว่าปลุกปั่นชาวเมืองให้มาชุมนุมก่อความวุ่นวายไปได้” นางตะโกนกลับพลางชี้นิ้วออกไปด้านนอก “เช่นนั้นแล้วผู้คนที่มารวมตัวด้านนอกในตอนนี้ ก็เพราะพวกท่านมาสืบถามที่ร้านของข้า เช่นนี้แล้วพวกท่านก็ปลุกปั่นชาวเมืองให้มาชุมนุมก่อความวุ่นวายเหมือนกันใช่หรือไม่”
เหล่าข้าหลวงเหลียวมองตามโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าชาวเมืองมากมายยืนออกันอยู่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อใด สายตาของพวกเขามองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทั้งยังมีคนอื่นๆ ที่มารุมล้อมกันบนถนนจนเส้นทางสัญจรติดขัดไปหมด
เหล่าข้าหลวงหน้าถอดสีในทันใด นางพูดพล่ามมานานขนาดนี้เชียวหรือ
“มีอะไรก็พูดกันที่ศาลาว่าการ ตามพวกข้ามา…” คนเป็นหัวหน้าตะโกนลั่น พลางเขย่าโซ่เหล็กในมือ
เขาไม่ได้ก้าวเข้าไปใกล้ แต่สาวใช้ก้าวเข้าไปข้างหน้าแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
“จะจับข้าหรือ จะปิดร้านข้าหรือ พวกข้าจัดพิธีศพให้เถ้าแก่ แจกเหล้าเซ่นไหว้ตลอดทาง เรียกว่าชุมนุมก่อความวุ่นวายอย่างนั้นหรือ เถ้าแก่ของพวกข้าตาย เรียกว่าพวกข้าปล่อยข่าวลืออย่างนั้นหรือ เถ้าแก่ของข้าตายไปแล้ว พวกข้าแค่จัดขบวนแห่ศพ เช่นนี้เรียกว่าปลุกปั่นชาวเมืองอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ย “ท่านข้าหลวง สิ่งใดคือข่าวลือกันแน่ เรื่องที่เถ้าแก่ของพวกข้าตาย หรือเรื่องที่เถ้าแก่ของพวกข้าไม่ได้ตายสนามรบ”
สาวใช้นางนี้อายุยังน้อย ทว่าจังหวะการพูดจานั้นรวดเร็วฉะฉานจนเหล่าข้าหลวงมึนไปหมด พวกเขาถดไปข้างหลังโดยมีรู้ตัว สีหน้าดูตกตะลึงยิ่งนัก
ตอนนี้พวกเขาพูดเรื่องอันใดกันอยู่หรือ
“หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว…” ชายผู้เป็นหัวหน้าตะเบ็งเสียงหมายจะกลบเสียงของสาวใช้
แต่สาวใช้แทบจะไม่เปิดช่องให้เขาได้พูดเลย ทั้งยังพูดรัวต่อไม่หยุด
“เพ้อเจ้ออย่างนั้นหรือ ที่ข้าพูดเป็นเรื่องเพ้อเจ้ออย่างนั้นหรือ พวกข้าไม่ได้เรียกร้องรางวัลอันใด แต่แม้กระทั่งเถ้าแก่ของข้าตายอย่างไรก็กล่าวถึงไม่ได้อย่างนั้นหรือ พอพูดแล้วก็กลายเป็นสร้างข่าวลืออย่างนั้นหรือ” สาวใช้กรีดร้องเสียงแหลม เอื้อมมือออกไปกำเสื้อของตนเองไว้แน่น น้ำตาคลอเบ้า “เพราะเหตุอันใดกัน เหตุใดพวกท่านต้องจับข้า ปิดร้านของพวกข้า พวกข้าไม่ต้องการสิ่งใดเลย ไม่เรียกร้องสิ่งใด แต่เพราะเหตุใดกัน แม้แต่จัดงานพิธีศพอย่างเปิดเผยก็ทำมิได้เลยหรือ เถ้าแก่ของพวกข้าตายในสนามรบ ตายอย่างกล้าหาญ แล้วเหตุใดพวกข้าต้องจัดพิธีศพอย่างหลบซ่อน ราวกับพวกเขาเป็นโจรเช่นนั้น พวกข้าทำเช่นนี้มันผิดนักหรือ หากมีความผิด เช่นนั้นก็จับข้าไป! จับข้าไปเลย!”
เหล่าข้าหลวงถอยจนชนประตูแล้วชะงักไป สายตาราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดถึงพูดเรื่องนี้ พวกเขายังไม่ทันได้พูดอันใดเลย!
พวกเขาเหลียวไปมองฝูงชนด้านนอก ยามนี้เสียงโหวกเหวกของชาวเมืองได้สงบลงแล้ว แต่สายตาที่จับจ้องมานั้นมีแต่ความแค้นเคือง พอเหลียวกลับมามองด้านใน เหล่าคนในห้องโถงก็พากันยืนขึ้นกันหมดแล้ว
อีกฟากหนึ่ง ฟ่านเจียงหลินกำลังยกธนูเล็งไปที่เหล่าข้าหลวงที่กำลังก้าวเข้ามา
เหล่าข้าหลวงถอยกรูราวกับเห็นผีสาง พลางชักดาบที่เอวออกมา
แม้จะเรื่องราวจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว และแม้ว่าเบื้องหน้าจะมีเพียงหนึ่งคนแต่ไม่ใช่เจ็ดคน แต่เรื่องราวของเหล่าอันธพาลที่บุกอาละวาดเรือนไท่ผิงจนถูกยิงฆ่าตายคาที่นั้น ยังคงเป็นที่เลื่องลือในศาลาว่าการมาจนถึงทุกวันนี้
“ฟ่านเจียงหลิน เจ้าคิดจะทำอะไร ไม่ยอมให้จับแล้วคิดจะฆ่าคนอย่างนั้นหรือ” พวกเขาตะโกนลั่น
ฟ่านเจียงหลินมองเขาแล้วยิ้ม ก่อนจะโยนธนูในมือทิ้งลงพื้น
“ยามนี้ข้าคงฆ่าผู้ใดไม่ได้แล้ว ยามนี้ข้าง้างธนูไม่ขึ้นด้วยซ้ำ ยิงธนูไม่ได้ หากจะฆ่าคนจริงๆ คงต้องใช้หน้าไม้เสียแล้ว” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า ก่อนจะใช้มือกระชากเสื้อคลุมของตัวเองออก เผยให้เห็นเนื้อเปลือยเปล่าของตน
ผู้คนในห้องโถงตื่นตกใจ เหล่าหญิงสาวกรีดร้อง ยกมือขึ้นมาปิดหน้าในทันที
“ยามนี้ข้าไม่อาจฆ่าผู้ใดได้ ข้าจะไม่ฆ่าพวกท่านเช่นกัน พี่น้องของพวกข้าตายในเงื้อมือของโจรตะวันตก ข้านั้นโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ ข้ายังต้องมีชีวิตอยู่เพื่อปราบโจรตะวันตก ข้าไม่อาจเล็งธนูไปที่พวกท่านหรอก ไม่อาจยิงพวกท่านที่คอยปกป้องพี่น้องของข้าได้หรอก” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยเสียงเนิบ พลางหัวเราะลั่นแล้วกางแขนออก “มาเลย จับเลย ข้าฟังพวกท่าน พวกท่านบอกว่าข้ามีความผิด ข้าย่อมมีความผิด จับข้าเลย”
เหล่าข้าหลวงนิ่งไป ผู้คนในห้องโถงก็นิ่งไปเช่นกัน มองดูร่างกายเปลือยเปล่าของชายเบื้องหน้า มองดูบาดแผลน่ากลัวมากมายที่พาดเลื้อยบนร่ายกายนั้น บาดแผลอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ มีเพียงผู้ที่รอดชีวิตจากภูเขาซากศพเท่านั้นเป็นเจ้าของ ทุกรอยแผลนั้นคือร่องรอยที่เกิดขึ้นจริง มิใช่สิ่งที่ปลอมแปลงขึ้นมา
“จับ…”
“กล้าดีอย่างไรถึงมาจับ…” เสียงตะโกนของคนในห้องโถงระเบิดดังลั่งขึ้น ทันใดนั้นก็มีเสียงโครมครามขึ้นมา “เช่นนี้หรือมีความผิด!”
เสียงตะโกนนั้นเหมือนดังน้ำมันร้อนที่ราดลงบนน้ำจนกระทะระเบิด