พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 430 สู้กลับ
เสียงเพี้ยะดังก้องกังวานขึ้น
อำมาตย์หลิวใช้มือจับหน้าตัวเองพลางก้าวถอยหลัง ขุนนางที่อยู่ในห้องทำเป็นมองไม่เห็น ทว่ามองไม่เห็นไม่ได้แปลว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น อำมาตย์หลิวใบหน้าแดงก่ำ ร่างกายร้อนผ่าวเหมือนถูกไฟเผา เจ้าเมืองผู้ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าอับอายเช่นกัน สายตาที่จ้องมองไปยังอำมาตย์หลิวดูดุดันยิ่งกว่าเดิม
ถึงเขาจะบอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่อง แต่ลูกน้องของเขาก็เป็นคนก่อเรื่องนี้ขึ้นมา ทำให้คนใหญ่คนโตต้องมาพบเขา ท่านเจ้าเมืองก็ไม่ได้รู้สึกตื่นตกใจอันใด
เขาเพิ่งจะได้ตำแหน่งเจ้าเมืองมาเพียงสองเดือน และรู้ดีว่าตำแหน่งนี้เป็นเพียงแค่ทางผ่าน เป้าหมายของเขาคือตำแหน่งเสมียนกลางแห่งศาลาว่าการ
แต่บัดนี้เขาดันถูกเกี่ยวโยงกับเรื่องนี้ ทำให้ไม่สามารถรู้อนาคตตัวเองได้ เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะ
เกาหลิงปอลงมืออย่างรวดเร็ว เขาคงจะเป็นคนลงมือฟาดหน้าอำมาตย์หลิวเสียงเอง
“เจ้าแค้นอะไรข้าหรือ” เกาหลิงปอตะคอกอำมาตย์หลิวพลางยื่นมือขึ้นชี้หน้าเขา “หรือเจ้าได้ผลประโยชน์จากเฉินเซ่าไปเท่าไหร่แล้ว”
อำมาตย์หลิวไม่มีอารมณ์ใส่ใจคำดูถูกเหยียดหยาม เขาโบกมือไปมา
“ใต้เท้า ใต้เท้า ข้าไม่มี ข้าไม่มี ข้าเพียงแค่ต้องการแบ่งเบาภาระใต้เท้า…” เขารีบเอ่ยตอบ
“แบ่งเบาภาระ! นี่เจ้ากำลังแบ่งเบาภาระให้ข้างั้นหรือ” เกาหลิงปอตะโกนขัดขึ้น “เจ้าทำให้เรื่องมันเลวร้ายกว่าเดิมต่างหาก! เรื่องยังไม่ทันซา แต่เจ้ากลับเข้าไปจับกุมคน เรื่องยิ่งบานปลายไปกันใหญ่!”
“ใต้เท้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความแค้นเคืองของชาวเมืองจริงๆ เพียงแค่มีคนกลุ่มหนึ่งแย่งกันกินเหล้าจากร้านนั้นเท่านั้นเอง ข้าก็เลยคิดว่าจะเอาเหล้า…” อำมาตย์หลิวพูดด้วยสีหน้าโอดครวญ
เกาหลิงปอแค่นหัวเราะ
“หลิวจิ่นเฉวียน เจ้าโง่หรืออย่างไร” เขากล่าว “มีเพียงเจ้าคนเดียวที่รู้ว่าการลักลอบบ่มเหล้าขายนั้นเป็นความผิดมหันต์หรือ”
ไม่ใช่อยู่แล้ว ทุกคนต่างรู้ดี ดังนั้นถึงได้เรียกกันว่าการแบ่งเหล้า ไม่ใช่การขายเหล้า เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้คน และเพื่อหลบเลี่ยงความผิดด้วย
“ใต้เท้า ข้าทราบดี เพียงแต่ข้าต้องการจับตัวมันกลับมาก่อน แล้วรอให้เรื่องเงียบค่อยว่ากัน นึกไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะ…” หลิวจิ่นเฉวียนพูดตะกุกตะกัก
เกาหลิงปอส่งเสียงเย้ยหยัน
“นึกไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะไม่ใช่พวกขี้ขลาดที่เชื่อฟังขุนนางทุกอย่าง นึกไม่ถึงว่าแม้กระทั่งสาวน้อยยังหลอกเจ้าจนติดกับได้ เจ้าคิดได้ว่าจะฉวยโอกาสใช้เรื่องเหล้าเข้าจับกุมเขา แล้วคิดว่าพวกเขาจะคิดไม่ได้งั้นหรือ” เขาเอ่ยพลางมองหน้าหลิวจิ่นเฉวียน “หลิวจิ่นเฉวียน เจ้ายังจำหลิวจางแห่งหอลับที่ฝ่ายเสมียนกลางได้หรือไม่”
ชื่อนี้ค่อนข้างจะเลือนลาง ไม่เพียงแต่หลิวจิ่นเฉวียนเท่านั้นที่นึกไม่ออก กระทั่งเจ้าเมืองผู้ยืนอยู่ข้างๆ ก็นิ่งอยู่นานกว่าจะนึกออก
คนที่ตื่นเต้นยามรู้ว่าได้เลื่อนขั้นจนเป็นอัมพาตไป และภายหลังยังถูกเกี่ยวโยงกับการความผิดของลูกชายจนถูกถอดตำแหน่ง ถูกรถลาลากกลับบ้านเกิดไป ราชเลขาหลิวผู้ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
แล้วจะพูดถึงเขาทำไมกัน
“เจ้าคิดว่าสถานะของเจ้าในตอนนี้เทียบกับเขาตอนที่ยังไม่ป่วยเป็นอย่างไร” เกาปลิงปอเอ่ยถาม
ถึงแม้เขาจะผ่านการสอบของราชสำนักจนได้เป็นขุนนาง และรับตำแหน่งทงพั่นในอำเภอที่มีชื่อเสียงมาสิบปี จากนั้นจึงได้รับเลือกให้เข้าเมืองหลวงเพราะผลงานดี แต่หากเทียบกับราชเลขาหลิวแห่งฝ่ายเสมียนกลางแล้ว ก็ยังห่างกันมากอยู่ดี
ไม่แน่อีกห้าปี หกปี หรือสิบปี เขาอาจได้เป็นขุนนางในราชสำนักก็ได้ แต่แน่นอนว่าเขาต้องผ่านวิกฤติครั้งนี้ให้ได้ก่อน
หลิวจิ่นเฉวียนขมวดคิ้วทำสีหน้าโอดครวญพลางส่ายหน้า
“ข้าน้อยเทียบกับเขามิได้อยู่แล้ว” เขาเอ่ย
“เจ้ารู้ตัวว่าเทียบกับราชเลขาหลิวไม่ได้ แล้วคิดว่าพวกคนที่เรือนไท่ผิงกับเรือนนางฟ้าจะกลัวเจ้าหรือ” เกาหลิงปอแค่นหัวเราะ
ว่าอย่างไรนะ
ทุกคนในเหตุการณ์ต่างหันมองเกาหลิงปอด้วยความตกตะลึง
คำพูดนี้เหตุใดฟังดูมีความหมายลึกซึ้ง หรือว่าเรื่องราชเลขาหลิวในตอนนั้น…
“เจ้ารู้ว่าเถ้าแก่ใหญ่ของเรือนไท่ผิงกับเรือนนางฟ้าคือใครใช่ไหม” เกาหลิงปอเอ่ยถาม
“คือกุยเต๋อหลางตระกูลโจว…” หลิวจิ่นเฉวียนรีบตอบ
เกาหลิงปอเลิกคิ้วแล้วหัวเราะขึ้นในทันใด นานกว่าจะหยุดหัวเราะ เขาหันมองหลิวจิ่นเฉวียนแล้วส่งเสียงถุยออกมา
“ไอ้สวะไร้ประโยชน์ ไสหัวออกไป!” เขาตะคอกเสียงดังพลางยกมือชี้นิ้วไปด้านนอก
ถูกด่าทอต่อหน้าคนมากมายแบบนี้ แถมยังถูกตบหน้าอีก หลิวจิ่นเฉวียนคงอยู่เมืองหลวงต่อไปไม่ไหว เขาเอามือปิดหน้าและรีบเดินออกไป
“ไร้ประโยชน์ ไร้ประโยชน์เสียจริง ถามก็ไม่ถาม ไม่ดูให้ดีแต่กลับกล้าลงมือ”
“ยังไม่รู้ตัวเลยว่าเข้าถ้ำอะไร แต่กลับกล้าไปตีเสือ!”
“ขุนนางระดับจิงจ้าวอิ่น อย่างพวกเจ้าบัดนี้ไร้ประโยชน์เช่นนี้กันหมดแล้วหรือ”
เสียงก่นด่าของเกาหลิงปอดังก้องไปทั่วห้องโถง เหล่าขุนนางต่างก้มหน้าเงียบกริบ
จนกระทั่งเกาหลิงปอด่าจนพอใจ จึงหยุดฝีเท้าลง
“แล้วบัดนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว” เขาเอ่ยถามพลางถอนหายใจ
เจ้าเมืองส่งสายตาให้ทุยกวนคนหนึ่งลุกขึ้นไปตอบ
“ใต้เท้า บัดนี้เรือนไท่ผิงกับเรือนนางฟ้าต่างหยุดพักกิจการกันหมดแล้ว แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ...” เขาเอ่ยขึ้น
เกาหลิงปอส่งเสียงเย้ยหยัน
“ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าต้องการ ก็ต้องกลายเป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องการแล้ว” เขากล่าว
ความคึกคักจากพิธีส่งศพยังไม่ทันจางหาย เรื่องที่ข้าหลวงจากศาลาว่าการไปก่อไว้ที่เรือนไท่ผิงกับเรือนนางฟ้าเมื่อวานดันมาเกี่ยวข้องกับหมอเทวดาอีก แถมยังมีคนตายในสนามรบพร้อมกันห้าคน จนทำให้มีเด็กต้องกำพร้าหนึ่งคน เรื่องราวที่ทั้งแปลกประหลาดและหลากอารมณ์เช่นนี้ช่างเหมาะแก่การให้นักใส่สีตีไข่นำไปเล่าให้คนฟังเสียจริง เพราะอย่างนั้นภายในเวลาเพียงหนึ่งวัน ทั่วเมืองหลวงจึงเกิดเรื่องเล่ากระพือกันขึ้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะในโรงเตี๊ยมโรงชาน้อยใหญ่ หรือตามถนน จะในบ้านหรือนอกบ้าน ทั่วทั้งเมืองต่างพากันพูดถึงเรื่องราวของเขาเม่าหยวนซาน
ในหัวข้อสนทนา ทางการได้กลายเป็นฝ่ายกลั่นแกล้งข่มขู่ชาวเมืองอย่างเห็นได้ชัด
เรือนไท่ผิงกับเรือนนางฟ้าปิดร้านแล้ว แต่ถึงแม้จะประกาศว่าเป็นเพราะธุระของครอบครัว แต่ในสายตาคนทั่วไปต่างมองว่าเป็นเพราะเรื่องที่ทางการก่อขึ้น
หากจะบอกว่าไม่กี่วันก่อนเป็นการพูดคุยทั่วไปเกี่ยวกับเหล้าและคนในเมือง วันนี้เมื่อเรื่องราวเกี่ยวเนื่องไปถึงทางการและราชสำนักแล้ว คงเป็นการสร้างความแค้นเคืองให้ชาวเมืองอย่างแท้จริง หากทางการไม่ให้ข้อบทสรุปหรือหลักการใด คงไม่มีทางจบเรื่องได้แน่
“ใต้เท้า เรื่องนี้เราควบคุมไม่ได้แล้วจริงหรือ” เจ้าเมืองถามอย่างสงสัย “อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเขาแบ่งเหล้ากัน ทางการเพียงเข้าไปตรวจสอบก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินกว่าเหตุ เพียงแต่เกิดมีปากเสียงกันนิดหน่อย หากเราออกไปพูดความจริงให้ชัดเจนก็น่าจะสามารถทำให้เรื่องคลี่คลายลงได้กระมัง”
“ความจริงอย่างนั้นหรือ” เกาหลิงปอแค่นหัวเราะ “เรื่องการเมืองใช้ความจริงเป็นบทสรุปได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เขาถอนหายใจพลางหันมองไปด้านนอก
“มันต้องดูความต้องการต่างหาก” เขาเอ่ย “ดูความต้องการของฝ่าบาท ดูความต้องการของราชสำนัก ดูความต้องการของชาวเมือง ต้องให้สิ่งที่พวกเขาต้องการ ไม่ใช่ให้ความจริง ไม่มีใครสนใจความจริงหรอก!”
ดังนั้นหลูซืออันจึงได้กล้ายื่นคำร้องไม่ไว้วางใจ เดิมทีเขาเพียงทำตามความต้องการของฝ่าบาท แต่นึกไม่ถึงว่าคนไร้ประโยชน์อย่างหลิวจิ่นเฉวียนจะกระโดดออกมาให้คนใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่นชาวเมือง
คราวนี้โชคดูจะไม่เข้าข้างตัวเองเสียจริง
“ใต้เท้า เราต้องตรวจสอบเจียงเหวินหยวนจริงหรือ” เจ้าเมืองเอ่ยถาม “ที่จริงมันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย”
“เรื่องเล็กน้อยอย่างนั้นหรือ เรื่องใหญ่ที่ไหนไม่เริ่มจากเรื่องเล็กน้อยบ้างเล่า” เกาหลิงปอเอ่ย “หากไม่รีบทำให้ทุกฝ่ายได้สิ่งที่ต้องการ ก็จะทำให้เรื่องไปเกี่ยวโยงกับคนอีกมาก และจะทำให้เรื่องใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ คนที่รอจะแบ่งผลประโยชน์ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ”
เป็นจริงเช่นนั้น ความขัดแย้งในราชสำนักทั้งหลายต่างเริ่มจากเรื่องเล็กทั้งสิ้น จากนั้นก็จะมีการยื่นคำร้องไม่ไว้วางใจกันครั้งแล้วครั้งเล่า มีการรับมือและโต้แย้งกลับ ทำให้เรื่องเกี่ยวโยงกับคนมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญเสียอย่างหนัก ถึงแม้จะไม่มีใครอยากเป็นผู้แพ้ แต่ผลลัพธ์ก็มีได้เพียงสองอย่าง คือ แพ้หรือชนะเท่านั้น ได้แต่หวังว่าผลจะออกมาดี แต่ก็ต้องคำนึงถึงผลที่ไม่ดีด้วยเช่นกัน
ทหารหนีทัพพวกนั้นอีกแล้ว!
คราวก่อนเกือบทำแผนเขาล่ม คราวนี้ก็มาอีกแล้ว!
เป็นพวกเขาอีกแล้ว! ไม่สิ เป็นหญิงนางนั้นอีกแล้ว!
หญิงนางนั้น!
นอกจากจะช่วยคนตายให้ฟื้นได้แล้ว นางยังก่อเรื่องได้เยอะเพียงนี้อีก!
หากรู้ตัวตนและที่มาที่ไปของเรือนไท่ผิงและเรือนนางฟ้าตั้งแต่ต้น คราวก่อนคงไม่คิดเพียงเรื่องว่าจะให้นางมารักษาองค์ชายรองหรือไม่หรอก หากกำจัดนางได้ตั้งแต่ตอนนั้น บัดนี้คงไม่ต้องยุ่งยากวุ่นวายเพียงนี้!
“เด็กบ้าแห่งเจียงโจว!” เกาหลิงปอกำมือพลางกัดฟันพูดสี่คำนี้ออกมา
“เด็กบ้าแห่งเจียงโจว”
นายท่านเฉินเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มจากอีกฟากหนึ่ง
“ภายภาคหน้าเมืองหลวงจะมีเจียงโจวสองคน คนหนึ่งคืออาจารย์เจียงโจว อีกคนคือเด็กบ้าแห่งเจียงโจว”
เฉินเซ่ารินชาแล้วยื่นถ้วยชาให้
นายท่านเฉินยื่นมือไปรับพลางโบกมือไปมา
เมื่อบ่าวด้านล่างโถงทางเดินเล่าเรื่องเขาเม่าหยวนซานจบก็รีบคำนับแล้วถอยออกไป
“เจ้าคิดจะรอให้นางไปร้องเรียน ไม่คิดบางหรือว่าแม่นางผู้นี้เคยรออะไรบ้าง” เขาเอ่ย
เฉินเซ่าหัวเราะพลางพยักหน้า
“เป็นเช่นนั้น นางไม่เพียงไม่รอ แต่ยังลากทุกคนมาทำให้การแย่งเหล้ากลายเป็นการร้องทุกข์ทั่วเมืองไปได้” เขาเอ่ยพลางถอนหายใจ “แต่ตั้งแต่ต้นจนจบนางกลับไม่เคยพูดอะไรเลย มีแต่คนอื่นที่พูด”
นายท่านเฉินหัวเราะพลางดื่มชา
“ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าก็ต้องขอบคุณนาง” เขาเอ่ย “หลูซืออันยิ่งต้องขอบคุณนาง”
เฉินเซ่าพยักหน้า สีหน้าหลากหลายความรู้สึก
เขากำลังจะเอ่ยบางอย่าง บ่าวด้านนอกก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ท่านอำมาตย์ ในวังส่งคนมาเรียกให้ท่านเข้าพบ”
เฉินเซ่ามองบ่าวคนนั้น แล้วหันไปมองท่านพ่อ
“มาแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น
ไม่รู้ว่าหมายถึงเรื่องที่ถูกเรียกให้เข้าวัง หรือเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น
ร้านตระกูลซ่งซึ่งตั้งอยู่บริเวณประตูทิศตะวันตกไม่ได้เป็นร้านที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง แต่วันนี้กลับมีแขกคนสำคัญมาเยือน
“แหม แม่นางปั้นฉิน ผู้ดูแลใหญ่อย่างท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ” ผู้ดูแลร้านตระกูลซ่งเอ่ยพลางหัวเราะ
สาวใช้ซึ่งเป็นผู้ดูแลใหญ่แห่งเรือนไท่ผิงและเรือนนางฟ้าต่างเป็นที่รู้จักในหมู่คนของโรงเตี๊ยมในเมืองหลวง
“ร้านของพวกข้าปิดอยู่ ข้าต้องหาที่กินข้าวน่ะ” สาวใช้เอ่ยพลางหัวเราะ จากนั้นจึงหยุดพูดหยอกล้อ “ขอห้องด้านบน ติดถนน”
ผู้ดูแลกำลังจะพูดอะไร แต่สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ด้านหลังสาวใช้ ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังก้าวเข้ามาในร้าน
ชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าหรูหรา หยกแขวนที่ห้อยจากเอวของเขาและร้องเท้าถักด้ายสีเงินที่โผล่มาให้เห็นระหว่างเดิน ต่างบ่งบอกถึงความร่ำรวยยศถาอันสูงส่งของเขา
สายตาของผู้ดูแลย้ายไปอยู่ที่แม่นางคนนั้น พลันทำให้มองไม่เห็นผู้อื่นในทันใด
ถึงแม้จะมีหมวกยาวคลุมหน้าบังอยู่จึงเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่ผู้ดูแลกลับทำสีหน้าราวกับได้พบสมบัติล้ำค่า
ไม่เพียงแค่ผู้ดูแลใหญ่เท่านั้น เถ้าแก่ใหญ่เองก็มาด้วยเช่นกัน!
แบบนี้จะมีโอกาสได้เหล้าฤทธิ์แรงจากเขาเม่าหยวนซานด้วยหรือไม่นะ
“เชิญนายหญิงด้านนี้ขอรับ” เขารีบทำสีหน้าจริงจังไม่ล้อเล่นอีก พลันนำทางเข้าไปเอง
ในขณะที่พวกเขากำลังก้าวเข้าไปในร้าน มืออันขาวนวลก็ยื่นมาเปิดม่านของรถม้าที่วิ่งมาจากนอกเมืองขึ้น เผยใบหน้าอันงดงามออกมาครึ่งหนึ่ง
“ท่านพี่ ใช่ท่านชายตระกูลฉินจริงด้วย” ชุนหลิงที่อยู่อีกฝั่งหันมาเอ่ย นางมองดูโรงเตี๊ยม ค่อยๆ ห่างไกลออกไป ดวงตาเปล่งประกาย “ไม่ได้พบท่านชายฉินมาตั้งนาน นึกว่าท่านจะยุ่งกับการอ่านหนังสือ ที่แท้ก็มาเที่ยวเล่นกับสาวงามอยู่นี่เอง เหตุใดถึงไม่มาหาท่านพี่บ้าง ลืมท่านพี่ไปแล้วหรือ”
“หยุดพูดไร้สาระ หากท่านจำข้าได้สิถึงเป็นเรื่องไม่ดี” แม่นางจูเอ่ย “เป็นถึงท่านชายแห่งตระกูลชนชั้นสูง แต่กลับหลงระเริงในความสุขแบบนี้มันใช่หรือ อีกอย่างเขาเคยมาหาข้าที่ไหนกัน มีแต่บังเอิญเจอหรือคนอื่นเชิญมาพร้อมกันเท่านั้น”
ชุนหลิงหัวเราะ
“ใช่ ท่านชายฉินไม่ใช่คนแบบนั้นเสียหน่อย” นางเอ่ย
เพราะเหตุนี้เจ้าจึงชื่นชมและลืมเขาไม่ได้น่ะสิ
รถม้าแล่นตามทางเข้าเมืองไป แต่กลับพบกับความวุ่นวายบนท้องถนน ผู้คนพากันหลบทางให้ ม้าเร็วที่ขี่ควบมาเพื่อรายงานข่าวด่วน
“นี่คือม้าเร็วส่งข่าวด่วนที่กำลังเดินทางไปตะวันตกเฉียงเหนือ” ท่านชายฉินหันมองม้าที่กำลังวิ่งไกลออกไป แล้วจึงหันกลับมามองเฉิงเจียวเหนียง
เมื่ออยู่ด้านใน เฉิงเจียวเหนียงก็ถอดหมวกคลุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงาม
“พอข่าวด่วนนี้ถูกบอกต่อ เรื่องนี้ก็จะเริ่มถูกตรวจสอบให้ถึงที่สุด ส่วนเจ้าก็จะกลายเป็นที่รู้จักของผู้คน” เขาเอ่ยพลางยิ้มน้อย
เฉิงเจียวเหนียงจับแขนเสื้อแล้วใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก
“ข้าก็อยู่แบบนี้ตลอด จะรู้หรือไม่รู้ เห็นหรือไม่เห็นก็เป็นเรื่องของคนอื่น” นางเอ่ยพลางเงยหน้าขึ้นมองท่านชายฉินซึ่งยังคงยิ้มอยู่
นางไม่ได้พยายามทำตัวให้เป็นที่รู้จัก และไม่ได้ปิดบังตัวตนเช่นกัน คนอื่นไม่รู้จักเพราะมองไม่เห็น แต่อย่างเขา เห็นนางครั้งเดียวก็รู้จักนางแล้ว
ท่านชายฉินหัวเราะร่า เขาเดินเข้ามานั่งแล้วยกแก้วชนให้เฉิงเจียวเหนียง
ครอบครัวทอดทิ้งแล้วอย่างไรเล่า เป็นใหญ่เป็นโตในเมืองหลวงไม่ง่ายแล้วอย่างไรเล่า ธุรกิจถูกคนเพ่งเล็งแล้วอย่างไรเล่า กล้าแย่งเหยื่อจากปากขุนนางชั้นสูง กล้าลงมือฆ่าอันธพาล อุปสรรคขวากหนามก็เป็นหนทางการใช้ชีวิตในสายตาของนาง ภัยร้ายอันตรายทั้งหลายก็ไม่ได้ต่างไปจากวันฟ้าใสอันเงียบสงบในสายตาของนาง
ก็เหมือนกันทั้งหมด
เฉิงเจียวเหนียงหยิบถ้วยชาขึ้นชนกับแก้วของเขาแล้วยกดื่ม