พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 433 ไม่กลัว
ในขณะทางที่ตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มสอบสวนอยู่นั้น ณ หออาลักษณ์หลวงแห่งเมืองหลวงก็มีคนถูกพาตัวเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
“…เป็นอย่างไรบ้าง พูดหรือยัง”
“…มีชีวิตชีวามาก เมื่อวานยังแต่งกลอนมาบทหนึ่งแหน่ะ…”
“…ไม่นึกเลยว่าคนผู้นี้จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ข้ายังคิดว่าฝืนทนได้มากที่สุดสามวันก็ร้องห่มร้องไห้เขียนจดหมายลาตายแล้วเสียอีก”
ฝูงชนมากมายที่อยู่ภายในหออาลักษณ์หลวงต่างพากันหัวเราะพูดคุย ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งสีหน้าเรียบเฉยสาวเท้าก้าวเข้ามาจากด้านนอก ทุกคนพลันหยุดพูดคุยกัน แล้วลนลานยืนตัวตรงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สายตามองตามคนกลุ่มนั้นเข้าไปในห้องโถง
“จับใครมาอีกแล้วน่ะ” พวกเขากระซิบวิพากษ์วิจารณ์กัน ยังพูดกันได้ไม่กี่คำก็เห็นคนกลุ่มนั้นออกมาแล้ว
“บอกให้พวกเขาเข้ามา” หนึ่งในผู้ตรวจการบอกขุนนางชั้นผู้น้อยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ขุนนางชั้นผู้น้อยรับคำแล้วสาวเท้าออกไป สายตาของทุกคนมองตามเขาไปด้วยความสนใจใคร่รู้และตื่นเต้น
นอกเขตวังหลวง บนถนนศาลาว่าการทั้งหลายมีรถม้าวิ่งกันขวักไขว่ ประตูใหญ่ของที่นี่ไร้ซึ่งความหรูหราใดๆ ตรงกันข้ามกลับชำรุดทรุดโทรมไม่น้อย แฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึมและเรียบง่าย โดยปกติแล้วประตูใหญ่จะเหมือนกันหมดตลอดทั้งสาย ยกเว้นบานที่พวกเขาหยุดยืนอยู่นี้ จะเปิดออกทางทิศเหนือ แตกต่างกับบานอื่นๆ ที่หันไปทางทิศใต้
ฟ่านเจียงหลินกระโดดลงจากม้า มองไปยังรถม้าด้านหลัง ปั้นฉินลงรถมาประคองเฉิงเจียวเหนียงให้ลงตามมา
“น้องสาว เจ้าอย่าไปดีกว่า” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย “ให้พูดอย่างไรเจ้าบอกข้ามา ข้าทำได้หมด”
เฉิงเจียวเหนียงยกมือขึ้นเลิกหมวกยาวคลุมหน้าขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้า
“เรื่องออกรบทำการศึกเป็นเรื่องที่พี่ใหญ่กระทำเอง ท่านก็เป็นคนพูดเถิด การรับร่างและฝังเหล่าพี่ๆ ให้ไปสู่สุขคตินั้นเป็นเรื่องที่ข้าต้องรับผิดชอบ เรื่องที่ข้ากระทำ ย่อมเป็นข้าที่ต้องพูด” นางเอ่ย “พวกเราพูดเรื่องที่เราได้ทำไป และเราก็ไม่กลัวว่าพวกเขาจะรู้ ไม่มีอันใดให้ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ”
ฟ่านเจียงหลินพยักหน้า
“ก็ได้ เช่นนั้นน้องสาวตามข้ามา” เขาเอ่ย
ทั้งสองกำลังจะเยื้องย่างเข้าไป ทันใดนั้นด้านข้างก็มีคนกลุ่มหนึ่งสาวเท้าฉับเดินเข้ามาชนพวกเขาเสียดื้อๆ
ฟ่านเจียงหลินตาไวมือไวดึงเฉิงเจียวเหนียงเอาไว้ พลางยื่นมือออกไปด้วยความโมโห แต่เฉิงเจียวเหนียงยกมือขึ้นรั้งแขนเขาเอาไว้
“ทำอันใดน่ะ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าที่นี่คือที่ไหน เหตุใดจึงมายืนเกะกะอยู่ได้” คนกลุ่มนั้นตะคอกเสียงแหลมขึ้นมา
พวกนี้คือขันทีในวังหลวง
ฟ่านเจียงหลินกับเฉิงเจียวเหนียงถอยหลัง พลางมองพวกเขาเดินผ่านไป
“ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียงส่งเสียงตอบเพียงคำหนึ่ง นางกางมือออกภายใต้หมวกคลุมหน้านั้น เผยให้เห็นจดหมายน้อยแผ่นหนึ่งที่เสียบอยู่ในนั้น นางเปิดออกดูอย่างไม่ลังเล
เฉิงฝั่งอย่าเศร้าโศกไป
“น้องสาว” เสียงของฟ่านเจียงหลินดังขึ้นข้างหูอย่างกังวลไม่หาย
เฉิงเจียวเหนียงพับจดหมายน้อยให้เรียบร้อยแล้วสอดไว้ในแขนเสื้อ เงยหน้าขึ้นมา
“ไปกันเถิด” นางบอก
…
“นายใหญ่”
ณ นอกห้องหนังสือของนายใหญ่โจวมีเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนเรียก ประตูถูกเปิดออกอย่างแรง ฮูหยินโจวก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น นางขัดจังหวะการสนทนาระหว่างนายใหญ่โจวและท่านชายโจวหก
สายตาของฮูหยินโจวมองไปบนโต๊ะ บนนั้นมีสาส์นกราบทูลข้อราชการแผ่นหนึ่ง ในมือนายใหญ่โจวยังถือพู่กันไว้
“ท่านจะเขียนอันใดหรือ ท่านจะเขียนอันใด” ฮูหยินใหญ่สาวเท้าเร็วเข้ามา แล้วเอ่ยถามย้ำถึงสองครา
“เป็นฮูหยินจะมาถามไถ่เรื่องนี้เพื่อการใด” นายใหญ่โจวเอ่ยสีหน้าอึมครึม
“ท่านกำลังเขียนสาส์นกราบทูลยื่นมติไม่ไว้วางใจใช่หรือไม่ เหตุใดจึงเขียนเรื่องนี้เล่า ยามนี้ผู้คนต่างหวาดกลัวว่าจะโดนหลูเจิ้งลากไปเกี่ยวข้องด้วย กลัวคนของหออาลักษณ์หลวงจะไปหาถึงบ้าน ข้าไปสืบถามข่าวคราวมาแล้ว คนๆ นั้นยอมรับแล้วว่าหญิงนางนั้นเป็นคนทำเรื่องทั้งหมด เว้นตระกูลเราไว้ยังไม่พิจารณา เหตุใดท่านจึงรีบร้อนหาที่ตายเช่นนี้!” ฮูหยินโจวเอ่ยขึ้น
“ท่านแม่ มิได้ร้ายแรงเพียงนั้น…” ท่านชายโจวหกเอ่ยขึ้น
เขายังพุดไม่ทันจบก็ถูกฮูหยินโจวตบเข้าบ้องหู
ฝ่ามือนี้ทำเอานายใหญ่โจวมึนงงไป
ความเงียบพลันปกคลุมภายในห้อง
“ข้าส่งเจ้าไปตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อให้เจ้าทำคุณูปการ มิใช่ให้เจ้าทิ้งครอบครัวและหน้าที่เพื่อหญิงใด!” ฮูหยินโจวร้องไห้พลางเอ่ยขึ้น
“เจ้าจะไปรู้อันใด” นายใหญ่โจวทั้งโกรธทั้งอายอยู่ไม่น้อย ฝ่ามือนั้นตบลงบนใบหน้าลูกชายก็เหมือนตบลงบนใบหน้าเขาเช่นกัน เขายกมือขึ้นตบโต๊ะแล้วตะคอก
“ข้าไม่รู้อันใดทั้งนั้นแหละ” ฮูหยินโจวร้องไห้เอ่ยสะอื้น “แต่ข้ารู้ว่าเพราะเหตุใดชายหกจึงทำเช่นนี้! เจ้าบอกมาตามตรง”
นางมองท่านชายโจวหก
“หากมิได้มีนางเป็นสาเหตุ ตอนนั้นเจ้าจะออกหน้ามาพูดหรือไม่”
ท่านชายโจวหกเงียบไปครู่หนึ่ง
“ไม่ขอรับ” เขาตอบ
“เจ้าดูสิ เจ้ายังมีหน้ามาบอกว่าไม่เพราะ…” ฮูหยินโจวเอ่ยด้วยความโมโห
ยังไม่ทันจะกล่าวจบก็ถูกท่านชายโจวหกเอ่ยแทรกขึ้นว่า
“ท่านแม่ นางมิใช่หญิงนางนั้น นางคือเฉิงเจียวเหนียง นางเป็นลูกสาวของท่านน้า นางเป็นญาติของตระกูลโจวเรา” เขาเอ่ยขึ้น “ชาตินี้ทั้งชาติเราทำได้เพียงเดินตามนางเท่านั้น นางมีเกียรติ ข้าจึงได้มีเกียรติ นางล้มเหลว พวกเราก็จะไม่ได้รับสิ่งดีๆ อันใดด้วยเช่นกัน มิใช่ว่าเราอยากหลบเลี่ยงก็จะหลบเลี่ยงได้ ต่อให้ยามนี้ไม่เป็นไร ภายหน้าก็ต้องถูกคิดบัญชีอยู่ดี”
“เรื่องร้ายแรงเพียงนั้นที่ไหนกัน พวกเจ้าต่างหากที่เอาพึ่งพิงนาง” ฮูหยินโจวเช็ดน้ำตาเอ่ย “เป็นพวกเจ้าที่ไม่ละทิ้ง
ละทิ้งไปแล้วก็ละทิ้งไปให้สิ้นสิ”
“ท่านแม่ วางใจเถิด ไม่เกิดปัญหาหรอกขอรับ” ท่านชายโจวหกเอ่ยแล้วก้าวเข้าไปนั่งคุกเข่าลงข้างกายฮูหยินโจว
“จะไม่เกิดปัญหาได้อย่างไร ก่อเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ ถูกคนบงการให้เป็นมีด ไม่ว่าจะชนะหรือไม่ นางก็หนีคำประณามเรื่องที่อกตัญญูปลุกระดมคนไม่พ้นอยู่ดี ราชสำนักจะทนให้คนเยี่ยงนี้มีชีวิตอยู่ได้อย่างไร!” ฮูหยินโจวเช็ดน้ำตาพลางเอ่ย
ท่านชายโจวหกยิ้มออกมา
“ท่านแม่ ท่านรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ” เขายิ้มเอ่ย
“เจ้ายังจะยิ้มได้อยู่อีก! ข้ามิใช่คนโง่เสียหน่อย” ฮูหยินโจวร้องห่มร้องไห้กล่าว “ดีร้ายอย่างไรข้าก็คลุกคลีอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีแล้ว”
ท่านชายโจวหกยิ้ม
“ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด นางมิใช่มีด นางคือคนทำมีด” เขาเอ่ย “นางไม่ยอมให้มีดย้อนมาทำร้ายตนได้หรอก”
เทียบกับความกังวลร้อนใจของตระกูลโจวแล้ว บรรยากาศภายในวังหลวงยังคงเป็นดังเดิม ณ ตำหนักของจิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ่งเงียบงันและอบอุ่น
เนื่องจากเมื่อคืนเข้านอนดึก พอเสวยมื้อเช้าเสร็จก็วิ่งตามลูกหนังเสียทั่วลานหน้าตำหนัก ชิ่งอ๋องจึงง่วงขึ้นมาอีกรอบและเข้านอนไปแล้ว
ในขณะที่ชิ่งอ๋องกำลังนอนอยู่นั้น ก็เป็นเวลาที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องต้องเร่งอ่านตำรา
ทว่าคราวนี้เขานั่งถือตำราอยู่หน้าโต๊ะ แต่กลับไม่พลิกเปิดสักหน้าอยู่เนิ่นนาน ทุกคราที่มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านนอก เขาจะนั่งหลังตรงขึ้น จนสุดท้ายก็โยนตำราทิ้งแล้วเดินออกไปยืนอยู่บนระเบียง
“องค์ชายจะออกไปด้านนอกหรือพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหน้าประตูเอ่ยถามขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่ายหน้าไม่พูดไม่จา ยืนมองออกไปด้านนอกเช่นนั้นไม่ขยับไหว
ยามที่จวิ้นอ๋องอยู่คนเดียวมักจะเงียบงันอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้ ทุกคนต่างก้มหน้าไม่พูดอันใดอีก
ลมหนาวปลายเดือนแปดต้นเดือนเก้าพัดอวลผ่านตำหนักทั้งนอกทั้งในอย่างเงียบงัน
ขันทีนายหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านนอกตำหนัก ในมือถือสาส์นกราบทูลข้อราชการของขุนนางเอาไว้ เขาเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
เขาคือขันทีขั้นหกที่มาข้างกายฮ่องเต้ จิ้นอันจวิ้นอ๋องเห็นเขามาเยือนก็รีบแย้มยิ้มออกมา
“องค์ชาย ฮ่องเต้มีสาส์นจำนวนหนึ่งต้องการให้ท่านดูพ่ะย่ะค่ะ” เขายิ้มทูล
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้าแล้วหันหลังเดินเข้าประตูไป ขันทีผู้นั้นเดินตามเข้าไป ขันทีด้านนอกลากประตูปิดอย่างรู้งาน
“ได้พบนางหรือไม่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันมาถาม
ขันทียังคงแย้มยิ้มดังเก่า
“องค์ชาย ไม่วางใจในการทำงานของตระกูลเราหรือ” เขาเอ่ยพลางถวายสาส์นที่อยู่ในมือไปให้ “อย่ารีบร้อนพ่ะย่ะค่ะ รับสาส์นนี้ไปก่อน”
พลางเอ่ยเตือนอย่างเยิ่นเย้อลีลา
“องค์ชาย ท่าทางเช่นนี้ขององค์ชายมิอาจให้คนอื่นเห็นได้นะพ่ะย่ะค่ะ คราก่อนท่านพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดต่อหน้าฮ่องเต้ แต่ทำเอาคนอื่นโกรธเคือง…หากถูกคนอื่นจับจุดอ่อนได้จะแย่เอานะพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มออกมา เขายื่นมือไปรับสาส์นนั้นมา
“แย่ก็แย่ไปสิ จะเป็นอันใดไป” เขาเอ่ยพลางเร่งถามอีกครั้ง “เป็นอย่างไรบ้าง ได้พบนางหรือไม่”
“ได้พบพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยบอก
“ให้นางแล้วใช่หรือไม่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองขันทีด้วยแววตาเป็นประกายพลางเอ่ยถาม
ขันทียิ้มพลางพยักหน้า
“แล้วนางเป็นอย่างไรบ้าง โศกเศร้าหรือไม่ ไม่สิ ไม่สิ ต่อให้นางโศกเศร้าก็ไม่เผยออกมาหรอก แล้วนาง…นาง…เป็นอย่างไรบ้างหรือ”
ขันทีมองใบหน้าสดใสของเด็กหนุ่มตรงหน้า ได้ยินคำไถ่ถามจากเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็หลุดหัวเราะออกมา
“องค์ชาย นางเป็นสาวเป็นนาง ซ้ำยังมาหออาลักษณ์หลวง จะไม่ปิดหน้าปิดตาให้มิดชิดได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพลันตะลึงไป ทันใดนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา
“ลำบากเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยแล้วไม่พูดถึงประโยคหลังอีก
ขันทีกลับประหลาดใจไม่น้อย
“องค์ชาย ท่านควรถามว่านางกลัวหรือไม่มิใช่หรือ ที่นั่นคือหออาลักษณ์หลวงเชียวนะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มแล้วกลับไปนั่งด้านหน้าโต๊ะดังเดิมพลางเปิดสาส์นดู
“นางไม่กลัวหรอก บนโลกนี้ไม่มีอันใดน่ากลัว เพียงแต่…คงเศร้าโศกในบางครากระมัง” เขาเอ่ย
ขันทีถอยออกมาช้าๆ แล้วลากประตูตำหนักให้ปิดลง
ณ หออาลักษณ์หลวงในเวลานั้นเอง ผู้ตรวจการบนบังลังก์มองไปยังคนที่ยืนอยู่เบื้องล่าง สีหน้าปรากฏรอยยิ้มบาง
“คงเป็นคราแรกที่คนธรรมดาเยี่ยงพวกเจ้ามายืนอยู่ที่นี่ได้” เขาเอ่ย “ที่แห่งนี้มีเพียงขุนนางเท่านั้นที่จะเข้ามาได้ ยามนี้ช่างเป็นเกียรติเป็นศรีแก่พวกเจ้าเสียจริง”
แต่เกรงว่าเกียรติยศเช่นนี้คงไม่มีใครอยากจะรับ
ผู้ตรวจการหุบยิ้มลง เคาะไม้จิงถังอยู่สองสามหน
“ฟ่านเจียงหลิน เจ้าทราบโทษของเจ้าหรือไม่!” เขาตะคอกลั่น