พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 434 ยอมรับเอง
“ข้าไม่ทราบขอรับ”
“เจ้ากับหลูเจิ้งรู้จักกันได้อย่างไร”
“ข้าไม่รู้จัก”
เสียงไต่สวนและคำตอบดังสลับขึ้นภายในโถงใหญ่ของหออาลักษณ์ ประตูหอปิดแน่นสนิทปิดกั้นคนสอดรู้สอดเห็นจากภายนอก
เพราะประตูหันไปทางทิศเหนือ ดังนั้นห้องหับส่วนใหญ่ในหออาลักษณ์หลวงจึงมืดสลัวเป็นอย่างมาก
ผู้ช่วยราชเลขาธิการนั่งอยู่ภายในห้อง รู้สึกว่าหออาลักษณ์ในวันนี้แตกต่างออกไปจากเดิม
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอกตามมาด้วยเสียงเคาะประตู
“ใต้เท้า บัณฑิตถงมาแล้วขอรับ”
เพิ่งจะสิ้นเสียง ประตูก็ถูกเปิดออก เงาร่างท้วมสูงเดินเข้ามาด้านใน
“น้องจื่อเหวิน ไม่ได้พบกันเสียนานเลย” น้ำเสียงเบิกบานของบุรุษดังขึ้นภายในห้องอันมืดสลัว
แม้ว่ายามนี้ตำแหน่งของตนจะสูงกว่าบัณฑิตถง แต่ตอนนั้นเขาก็ถูกเลื่อนขั้นมาจากตำแหน่งบัณฑิตสำนักฮั่นหลินและมีความสัมพันธ์อันดีต่อบัณฑิตถง เพียงแต่พอมาเป็นผู้ช่วยราชเลขาธิการแล้วต้องเป็นขุนนางในตำแหน่งโดดเดี่ยวจึงห่างเหินจากคนอื่นๆ ไป
หลี่จื่อเหวินลุกขึ้นยิ้มบางให้บัณฑิตถง
“ประโยคนี้ควรเป็นข้าที่พูดมากกว่า พี่จงเจิ้งยามนี้เจอตัวได้ยากนัก” เขาเอ่ย
“ข้าร่างกายไม่แข็งแรงน่ะสิ” บัณฑิตถงยิ้มเอ่ย
ยังคงเป็นบัณฑิตถงที่ตรงไปตรงมา ไม่เหมือนสองคนที่มาถึงก่อนหน้านี้ เยิ่นเย้อเสียหลายประโยคกว่าจะกลับเข้าประเด็นได้
ผู้ช่วยราชเลขายิ้มบาง
ณ ห้องโถงที่ห่างจากหออาลักษณ์หลวงไปหลายช่วงตัว เกาหลิงปอก็กำลังยิ้มแย้มอยู่เช่นกัน
“คนกลัวตายมิใช่เรื่องน่าอับอายขายหน้า” เขาเอ่ย “ขนาดจิ๋นซีฮ่องเต้และฮั่นอู่ตี้ยังมีหนทางเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ หมอเทวดานางนี้อยู่ตรงหน้า มิใช่ภาพลวงตาที่จับต้องมิได้ ทุกคนต่างเคารพนบนอบย่อมเป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรือ”
ผู้ติดตามต่างอมยิ้มเอ่ยรับ
“ผู้ที่มาร้องขอความเมตตาแทนมีมากขึ้นเรื่อยๆ” เกาหลิงปอเอ่ยพลางโยนสาส์นกราบทูลในมือลงบนโต๊ะ “ไป เพิ่มความคึกคักบนถนนกันหน่อย เรื่องจับหมอเทวดามายิ่งใหญ่เพียงนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมนัก”
ผู้ติดตามขานรับ
ประตูใหญ่หออาลักษณ์ที่ปิดสนิทกลับมิได้สกัดกั้นข่าวลือที่คาดเดากันไปสารพัดได้
“ได้ยินหรือไม่ แม่นางตระกูลเฉิงนั่นถูกจับแล้ว…”
“นี่มันเป็นเรื่องมลทินใหญ่หลวงนัก…ไม่พูดถึงเรื่องที่ออกรบแล้วไม่ได้ผลงานนะ ขนาดเหล่าสหายยังพบกับหายนะกันไปหมด…”
“หมอเทวดานางนั้นเป็นศิษย์เอกของท่านนักพรตเชียวนะ พวกเขาไม่กลัวถูกฟ้าผ่าหรือไร…”
“…ไป ไป เราไปดูกัน ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นท่านนักพรตอาจจะแสดงอิทธิฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาก็เป็นได้…”
ไม่รู้ว่าคนรวมตัวกันมาจากทางไหน ผู้คนภายในโรงน้ำชาต่างพากันกรูออกไปด้านนอก ท่านชายโจวหกวางถ้วยชาในมือลงด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
“คนที่แพร่ข่าวลือไปทั่วทิศเช่นนี้ต้องเป็นคนของเกาหลิงปอแน่!” เขาเอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นก็แย่แล้ว” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากังวลไม่น้อย “หากถูกพูดถึงโดยการอาศัยเทพเทวดาเช่นนี้ ความเห็นใจ ความสงสารของชาวบ้านได้เปลี่ยนไปกันหมดแน่”
“เพราะอย่างนั้นนางจึงไม่ควรรักษาคน!” ท่านชายโจวหกเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“เพราะอย่างนั้นนางจึงได้ตั้งกฎสามข้อนั้นขึ้นมาอย่างไรเล่า” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย เขามองท่านชายโจวหกพลางส่ายหน้า “เรื่องราวทุกอย่างล้วนมีข้อดีและข้อเสีย มิอาจเลิกทำเพราะกลัวจะเกิดปัญหาได้ สำหรับนางในคราแรกนั้นการรักษาคนเป็นประโยชน์มากกว่าข้อเสีย”
“แล้วยามนี้เล่า” ท่านชายโจวหกตวาดขึ้น
ประการแรกเพราะการตายของทหารทั้งห้าในสงคราม ทำให้ทุกคนต่างเดือดดาลคั่งแค้นกันอย่างยิ่ง สำหรับฮ่องเต้แล้วกลับมิใช่เรื่องใหญ่อันใด ทว่าหากก่อให้เกิดการทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมของผู้คนขึ้นเพราะหมอเทวดาล่ะก็ เช่นนั้นก็เป็นคนละเรื่องในสายตาของฮ่องเต้แล้ว
“…มีตระกูลถง ตระกูลเผิง และอีกหลายตระกูลไปหออาลักษณ์ตามลำดับ สืบข่าวส่งสารกันทั้งในที่ลับที่แจ้ง…” เฉินเซ่าเอ่ยขึ้น
“พวกเขาคิดอยากผลักเรื่องนี้ไปให้หลูเจิ้ง บอกว่าพวกแม่นางเฉิงถูกหลูเจิ้งหลอกใช้ เรื่องนี้ยังไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาอีกหรือ” นายท่านเฉินเอ่ยถามขึ้น
เฉินเซ่าพยักหน้า
“ท่านพ่อ ท่านก็รีบไปช่วยนางสิเจ้าคะ” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เฉินเซ่ามองนางแล้วยิ้มเจื่อนให้
“เกาหลิงปอก็กำลังคิดเช่นเดียวกันอยู่” เขาเอ่ย
แม่นางเฉิงสิบแปดนิ่งอึ้ง เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเองพูดผิดไป
“สร้างบุญคุณแก่ผู้คน พูดแทนผู้คน” นายท่านเฉินเอ่ยพลางทอดถอนใจ “ฮ่องเต้กลัวคำว่าบุญคุณที่สุดมิใช่หรือ”
บุญคุณใบโลกนี้มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่จะทรงประทานให้ได้ หากมีคนคิดมาแบ่งไป…
“ก็เหมือนอย่างที่นางสังหารภิกษุหนิงเต๋อด้วยดาบเล่มเดียว ไม่ช้าก็เร็วต้องมีคนสังหารนางด้วยดาบเล่มเดียวเช่นกัน” เฉินเซ่าเอ่ย
ภิกษุหนิงเต๋อเป็นผู้ใดอีกเล่า
นางไปฆ่าคนเมื่อใดอีก
แม่นางเฉินสิบแปดสีหน้าซีดเผือด เรื่องเหล่านี้ต่างไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือประโยคสุดท้ายที่ท่านพ่อพูด
เหตุใดเรื่องครานี้จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ แค่ฝังศพพี่ชายบุญธรรมเฉยๆ มิใช่หรือ นี่มิใช่เรื่องธรรมดาของมนุษย์หรอกหรือ
“นี่คือผลลัพธ์ที่นางก้าวออกมา ตราบใดที่นางไม่ลุกออกมา ไม่ว่าใครก็มองไม่เห็นนาง” เฉินเซ่าเอ่ย
“พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ชั่วชีวิตคนผู้หนึ่งต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอดกาลเช่นนั้นหรือ ในเมื่อนางกล้าที่จะออกมา นางย่อมมีความมั่นใจที่จะทำแน่นอน” นายท่านเฉินเอ่ย
เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็คงทำได้เพียงคิดเช่นนี้แล้ว
“ไม่รู้จริงๆ ว่านางทำเช่นนี้แล้วคุ้มค่าหรือไม่ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ค่อยๆ พูดแล้วจะเป็นไรไป เหตุใดต้องหุนหันพันแล่นด้วย” เฉินเซ่าถอนใจเอ่ยขึ้น
“เรื่องใหญ่มีความคุ้มค่าในตัวมัน เรื่องเล็กก็เช่นกัน” นายท่านเฉินเอ่ย “ขอเพียงตัวเองคิดว่าคุ้มค่า ก็จะคุ้มค่า”
เฉินเซ่ายิ้มออกมาแล้วคำนับให้นายท่านเฉิน
“เช่นนั้นลูกก็ขอตัวไปทำเรื่องที่คุ้มค่าก่อนก็แล้วกัน” เขาเอ่ย
แม่นางเฉินสิบแปดมองท่านพ่อขอตัวออกไป ส่วนตัวนางยังคงนั่งเหม่ออยู่ที่เดิม
“ท่านปู่เจ้าคะ เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เป็นแม่นางเฉิงจงใจทำจริงๆ หรือเจ้าคะ” นางเอ่ย “นางช่างใจกล้าไม่น้อย”
“บางครั้งที่ใจกล้าก็เพียงเพราะไร้หนทางให้ถอยกลับแล้ว” นายท่านเฉินเอ่ยแล้วถอนใจ “อย่าได้อิจฉาเรื่องนี้เลย หากเป็นไปได้ ใครจะอยากเป็นเช่นนี้กันเล่า แม่นางเฉิงต้องอิจฉาเจ้าอยู่ในใจเช่นกัน”
“ข้ามีอันใดให้น่าอิจฉากัน ข้าสู้อันใดนางได้ที่ไหน” แม่นางเฉินสิบแปดยิ้มเอ่ย
“ย่อมเป็นสิ่งที่เจ้ามี แต่นางไม่มีแน่นอน ก็เหมือนกับที่เจ้าอิจฉาในสิ่งที่นางมี แต่เจ้าไม่มีอย่างไรเล่า” นายท่านเฉินเอ่ย “ทุกคนต่างมีสิ่งที่ควรค่าให้ผู้อื่นอิจฉา อย่าได้สนใจในสิ่งที่ผู้อื่นมี จงสนใจในสิ่งที่ผู้อื่นไม่มี นี่จึงจะเป็นจิตใจปกติที่มีเมตตากรุณา”
สิ่งที่ตนมีแต่นางไม่มี…
เสียงหัวเราะพูดคุยของบรรดาพี่สาวน้องสาวดังขึ้นมาจากหน้าประตู แม่นางเฉินสิบแปดหันมองไปก็ถอนใจออกมา ยิ่งคิดก็ยิ่งทรมาน นางขอบตาแดงก่ำขึ้นมาอย่างสุดกลั้น
“เดิมทีก็ไม่มีอยู่แล้ว ยังมาถูกพรากจากไป กลับกลายเป็นตนเองจนตรอก ต้องลงมือทำอย่างไร้ทางเลือก” นางกำหมัดแน่นแล้วเอ่ยต่อ “เรื่องเล็ก ความหมายของชีวิตอยู่ที่นั่น อารมณ์ความรู้สึกมีที่มาที่ไป เดิมทีก็มิใช่เรื่องเล็กน้อยอยู่แล้ว เป็นเรื่องใหญ่หลวงนัก”
นางหันกลับมามองนายท่านเฉิน
“ท่านปู่ ข้าคิดออกแล้วว่าจะเขียนอันใดแนบไปกับตำราที่ถวายให้ฝ่าบาทดี”
นายท่านเฉินตกใจ ทันใดนั้นก็แย้มยิ้มออกมา
“เจ้าอย่าได้ก่อเรื่องตามไปอีกคน” เขาเอ่ย “ทำในสิ่งที่พึงกระทำจึงจะคุ้มค่า”
“ท่านปู่ ท่านคิดมากแล้ว ข้าเพียงแค่อยากคัดลอกพระไตรปิฎกสักบทเท่านั้น” แม่นางเฉินสิบแปดยิ้มเอ่ย
นายท่านเฉินหัวเราะออกมายกใหญ่
“ข้ามักจะบอกว่าพ่อเจ้าขี้กังวลเคร่งเครียดอยู่บ่อยๆ แต่ความจริงแล้วข้าเองก็ต้องกังวลใจกับการกระทำของแม่นางน้อยอย่างพวกเจ้าเช่นกัน”
…
“ฟ่านเจียงหลิน เจ้าทำเรื่องพวกนี้แค่นั้นหรือ” ผู้ตรวจการมองบันทึกที่ขุนนางอาลักษณ์ส่งมาให้แล้วเอ่ยถาม
“ขอรับ” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยตอบ
“แล้วเจ้าไปเกี่ยวข้องกับหลูเจิ้งได้อย่างไร” ผู้ตรวจการเอ่ยถาม
“ใต้เท้า ข้าไม่รู้จักเขา ข้าเพียงแค่มาส่งศพบรรดาพี่น้องของข้ากลับเมืองหลวง” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
ผู้ตรวจการหัวเราะเสียงเย็นเยียบ
“พวกเจ้าเป็นคนจากเขาเม่าหยวนซานมิใช่รึ เมืองหลวงมิใช่บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเจ้าเสียหน่อย ห่างไปเป็นเดือนเพิ่งจะวิ่งแจ้นมาฝังศพรึ” เขาเอ่ยแล้วเคาะไม้จิงถังอย่างแรง “บอกมา ใครคือผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง ใครเป็นคนวางแผน ใครเป็นคนปลุกปั่นชาวเมือง!”
“ข้า”
ฟ่านเจียงหลินไม่ได้เอ่ยคำนั้น เสียงของหญิงนางหนึ่งดังขึ้นภายในโถง
สายตาของผู้ตรวจการตกอยู่บนร่างหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง ความจริงแล้วสายตาเขามองหญิงนางนี้อยู่ตลอดไม่ห่างไปไหน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็แทบไม่อยากเชื่อสายตา
ไม่คาดคิดเลยว่าแม่นางน้อยผู้นี้จะเป็นหมอเทวดาไปเสียได้ ใครจะไปเชื่อกัน มิน่าเล่าจึงถูกเล่าลือกันว่าเป็นศิษย์ของนักพรตเซียน และถูกวัดผู่ซิวมองว่าเป็นเต้าหู้อันล้ำค่า ไหนจะนางฟ้าผ่านทางที่โด่งดังแห่งเมืองหลวงอีก...
หากมิใช่ตระกูลโจว เช่นนั้นคนหนุนหลังนางคือผู้ใดเล่า
มีคนไปสืบเรื่องตระกูลฝั่งพ่อของนางแล้ว พลิกตระกูลหาก็ไม่พบสิ่งใด จึงค่อยรอสืบหาต่อไป
แม่นางน้อยก้าวออกมาก้าวหนึ่ง นางค้อมกายคำนับต่อศาล
“เจ้ารึ เจ้าอะไรนะ” ผู้ตรวจการขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“เป็นข้าที่ต้องการให้พวกท่านพี่ได้กลับมาฝังยังเมืองหลวงเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงบอก
ผู้ตรวจการส่งเสียงเย้ยหยันออกมา กำลังจะเอ่ยปากขึ้น เฉิงเจียวเหนียงก็เอ่ยแทรกขึ้นก่อน
“เป็นข้าที่ต้องการให้พวกท่านพี่ได้กลับมาฝังยังเมืองหลวง เป็นข้าให้คนจัดพิธีเซ่นไหว้ เป็นข้าที่ระดมพล” นางเอ่ย
ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
ผู้ตรวจการกำลังเคาะไม้จิงถังที่ถือไว้
“ไม่มีใครชักใยให้ข้าทำเช่นนี้ เป็นข้าที่ทำด้วยตัวเอง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางมองเขาแล้วยิ้มบาง
ผู้ตรวจการใจลอยนิ่งงันไป มิใช่เพราะรอยยิ้มของคนงาม แต่เพราะถูกคำพูดของคนงามทำให้นิ่งไป เขาลืมกระทั่งเคาะไม้จิงถังในมือ
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” เขาเอ่ยถาม
“เป็นข้าที่ก่อเรื่องให้ใหญ่โตเอง เป็นข้าที่อยากให้ฮ่องเต้ได้รับรู้เอง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือนางยอมรับว่าจงใจปลุกปั่นความแค้นเคืองของคนในเมืองหลวง…
เมื่อครู่ชายผู้นั้นไม่ยอมรับอะไรสักอย่าง ทว่าเขายังไม่ทันจะถามอะไรเลย แต่หญิงนางนี้กลับยอมรับสารภาพออกมาทั้งหมด ผู้ตรวจการตกตะลึงไป
“เจ้าทำเช่นนี้ทำไม” เขาเอ่ยถาม
“เพราะข้าต้องการทวงคือความดีความชอบ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ประตูหออาลักษณ์ปิดสนิท วันรุ่งขึ้นในราชสำนักกลับคึกคักเป็นอย่างมาก
“…เกาหลิงปอแอบอ้างสิทธิ์รวบอำนาจ ทำให้เหล่าขุนนางรู้มากเกินไปแต่ไม่กล้าพูด เจียงเหวินหยวนและคนอื่นๆ โอหังอวดดีปิดบังหลอกลวง ไม่ปูนบำเหน็จให้แก่ผู้สร้างคุณูปการ ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เลือดอัปยศริมฝั่งแม่น้ำเฉาชวนยังไม่หมดสิ้นไป!”
การประชุมราชสำนักในวันนี้ เดิมทีเป็นเพียงแค่การดำเนินตามขั้นตอนรอบหนึ่งเท่านั้น ทว่าใครจะรู้ได้ว่าผู้ตรวจการผู้นี้จะเริ่มยื่นมติไม่ไว้วางใจต่อเกาหลิงปอขึ้นที่นี่
วาจารุนแรงดุเดือด อารมณ์พุ่งพล่าน ขาดแค่เพียงยืนชี้หน้าเกาหลิงปอด่าทอเท่านั้นแล้ว
ภายในท้องพระโรงไร้เสียงอื่นใด มีเพียงเสียงของผู้ตรวจการที่ดังก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณ ทว่าต่อให้พวกเขาก้มหน้าอยู่ ฮ่องเต้ก็ยังมองเห็นความตื่นเต้นประกายวาบอยู่ในแววตาของทุกคน ความตื่นเต้นที่ได้เห็นความคึกครื้น คอยหาโอกาสเข้าร่วมด้วย
พระองค์ทราบอยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้
สายตาของฮ่องเต้ตกอยู่บนร่างของเกาหลิงปอคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ เขามองสองคนที่ต่างคนต่างมีสีหน้าเรียบเฉย เหมือนกับรูปปั้นที่ไร้ความรู้สึกอย่างไรอย่างนั้น
เป็นความคิดของใคร เป็นเกาหลิงปอเองที่ทำให้ตัวเองมีมลทินแล้วใช้วิธียอมอ่อนข้อให้เพื่อหาทางโจมตี หรือเป็นเฉินเซ่าที่เสียหายด้วยกันทั้งสองฝ่ายจึงได้ลากคนลงจากหลังม้า
ไม่ว่าจะเป็นใครคนใดคนหนึ่งในพวกเขา ฮ่องเต้ก็ระอาทั้งนั้น
ทั้งหมดนี่ล้วนเป็นเรื่องการส่งศพอะไรนั่นที่ก่อขึ้น!
หมอเทวดา…
“เรื่องไร้ยางอายในราชสำนักเช่นนี้ ผู้ช่วยราชเลขาธิการจะไม่ใส่ใจเลยหรือไร” มีขุนนางทนดูไม่ได้จึงตะโกนขึ้น
ผู้ช่วยราชเลขาธิการที่นั่งอยู่อีกด้านยังคงสีหน้าเรียบเฉย
“เรื่องรายงานข่าวลือเป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้ตรวจการ มิอาจปฏิบัติดังเช่นธรรมเนียมของขุนนางท่านอื่นได้” เขาเอ่ยเสียงเรียบพลางยกมือขึ้นชี้ขุนนางผู้นั้น “ถอยไปเสีย อย่าได้สร้างความวุ่นวาย!”
ใบหน้าของขุนนางคนผู้แดงก่ำ เขาทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อแล้วถอยกลับไป
ด้านผู้ตรวจการก็ยังคงพูดต่อไป เขาเริ่มพูดถึงเรื่องที่เกาหลิงปอไม่มีความรู้ความสามารถ โชคดีที่ได้วางตัวอยู่ในราชสำนัก แต่ไม่รู้จักตอบแทนพระคุณฮ่องเต้…
“เรื่องของหลูเจิ้งตรวจสอบไปถึงไหนแล้ว”
ฮ่องเต้ที่รู้ว่าหากไม่พูดอันใดขึ้น ก็จะยิ่งส่งเสริมให้ราชสำนักบิดเบี้ยว จึงได้เอ่ยแทรกผู้ตรวจการขึ้นมา
ณ การประชุมราชสำนัก ฮ่องเต้ถามถึงหลูเจิ้งขึ้นมา นั่นก็หมายความว่าพระองค์รับเรื่องไม่ไว้วางใจหลูเจิ้งแล้ว
เกาหลิงปอมองเฉินเซ่าคราหนึ่งด้วยแววตาเคียดแค้น
บีบบังคับเสียจนฮ่องเต้ต้องเอ่ยปากต่อหน้าขุนนางมากมาย ในที่สุดการประชุมก็เสร็จสิ้นทุกขั้นตอนไปอย่างทุลักทุเล บรรดาขุนนางชั้นสูงเดินเลี้ยวไปยังตำหนักอีกหลังเพื่อเริ่มหารือข้อราชการอย่างเป็นทางการ
“กระหม่อมได้สอบถามญาติของทั้งห้าคนจากเขาเม่าหยวนซานในซีเป่ยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ช่วยราชเลขาธิการตอบ “หออาลักษณ์หลวงกำลังคัดลอกเรียบเรียงพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า ยกมือขึ้นนวดขมับไปมา
“ใต้เท้าหลี่ ไม่ทราบว่าเมื่อวานมีกี่คนต่อกี่คนที่ไปเยี่ยมเยือนหออาลักษณ์หลวงของท่านหรือ” เกาหลิงปอโพล่งถามขึ้น
ผู้ช่วยราชเลขาธิการสีหน้ายังคงดังเดิม
“เจ็ดคน” เขาเอ่ยตอบไปอย่างไม่ปิดบัง
“แล้วในคนพวกนั้นมีกี่คนที่มาเพื่อแม่นางเฉิงกันหรือ” เกาหลิงปออมยิ้มถาม
คำตอบนี้เดิมทีเขาเองก็บอกได้ แต่หากออกมาจากปากผู้ช่วยราชเลขาธิการจะยิ่งมีผลลัพธ์ที่ดีมากกว่า หลีจึเหวินผู้นี้โดดเดี่ยวตัวคนเดียวมาโดยตลอด ทว่าเพราะเหตุนี้ในบางคราจึงเหมาะที่จะเอามาใช้ประโยชน์
“ทั้งหมด” ผู้ช่วยราชเลขาธิการบอกโดยไม่ลังเล
“แม่นางเฉิงผู้นี้ฝีมือการแพทย์ยอดเยี่ยม ดูท่าแล้วคงจะได้ใจคนไปไม่น้อยทีเดียว” เกาหลิงปอยิ้มเอ่ยพลางมองไปทางฮ่องเต้