พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 435 เพื่อใคร
แม้ว่าเฉินเซ่าจะรู้อยู่ก่อนหน้าแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่พอได้ยินเข้าจริง ไหนจะยามหางตาเหลือบไปเห็นสีหน้าของฮ่องเต้อีก หัวใจเขาก็เต้นรัวขึ้นมา
“ฝ่าบาท บุญคุณที่ช่วยชีวิตเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ครานี้พวกเขาทำเป็นความเห็นอกเห็นใจ หากเลี่ยงปัญหาไม่ไต่สวน หรือเพิกเฉยไม่สนใจ เช่นนั้นเกรงว่าจะเกิดโศกนาฏกรรมที่น่ากลัวยิ่งกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เฉินเซ่าเอ่ยขึ้น
เกาหลิงปอยิ้มออกมา
“เช่นนั้นยามนี้ที่ใต้เท้าเฉินกำลังพูดอยู่ก็เพราะความเห็นอกเห็นใจอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ย
“กระหม่อมทำไปเพราะความเห็นอกเห็นใจพ่ะย่ะค่ะ” เฉินเซ่าเอ่ยเสียงเรียบ
คนในตำหนักต่างมองไปที่เขา
“เมื่อครู่ผู้ตรวจการจงฮุ่ยเอ่ยถึงแม่น้ำเฉาชวนขึ้นมา ปีนั้นแม่น้ำเฉาชวนเหตุใดจึงพ่ายแพ้ย่อยยับ ทุกคนคงต่างทราบดีกระมัง” เฉินเซ่าเอ่ย
ในปีนั้นฮ่องเต้ไท่จู่ปราบศัตรูให้ทั่วหล้าได้ร่มเย็นเป็นสุข ไล่เข่นฆ่าสังหารไปจนถึงในดินแดนโจรตะวันตก เดิมทีสามารถยึดราชวงศ์ของโจรตะวันตกได้ในคราเดียว ทว่าเนื่องจากเงินบำเหน็จในยามรบก่อนหน้านี้มาถึงล่าช้า จนจิตใจของผู้คนเริ่มสั่นคลอน จึงพ่ายแพ้ย่อยยับกลับมาในศึกแม่น้ำเฉาชวนของเมืองโจรตะวันตก
“เป็นอุทาหรณ์แก่ชนทั้งหลายต้องกตัญญูจงรักภักดี แต่ปัญญาของชาวเมืองยังไม่เปิดกว้าง กลับไปให้ความสำคัญกลับเงินทองและผลประโยชน์มากว่า ราชสำนักมอบหนทางก้าวหน้าให้แก่แม่ทัพนายกองได้ ทว่ากลับมิอาจให้สิ่งเดียวกันต่อทหารชั้นผู้น้อยได้” เฉินเซ่าเอ่ยต่อว่า “หากต้องการให้คนเข้าใจ ย่อมต้องอธิบายเหตุผล หากจะล่อลวงคน ย่อมต้องให้ผลประโยชน์ เช่นนี้แล้วจะทำการใดย่อมได้ผลสำเร็จ ยามนี้สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ การกระทำของเจียงเหวินหยวนนั้นเหมาะสมหรือไม่ มีผู้ทำคุณูปการแต่ไม่รับรางวัลจริงหรือไม่ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัวของเหล่าทหาร พวกเขาจะคับแค้นใจต่อราชสำนักหรือนั้น ย่อมรู้คำตอบอยู่แล้ว ส่วนเรื่องเห็นอกเห็นใจทหารนั้นก็เป็นเรื่องของแผ่นดินเช่นกัน”
“พอไม่สมดั่งใจหมาย ได้รับความอยุติธรรมเพียงหนเดียว ก็จะสามารถปลุกปั่นชาวเมืองให้บีบบังคับราชสำนักได้ขนาดนี้เชียวหรือ” เกาหลิงปอยิ้มเย็นเอ่ยขึ้น “มิใช่ว่าราชสำนักทำการใด ย่อมเป็นเพื่อประโชยน์ของปวงประชามิใช่หรือ แม้แต่หญิงชาวสวนชาวไร่ทำหมูหายตัวหนึ่งก็ยังรู้จักไปตีกลองร้องทุกข์ แต่หมอเทวดาที่สามารถรักษาโรคที่รักษาไม่หายผู้นี้ หญิงมี่เปิดร้านอาหารหอสุราได้ หญิงที่มีบิดาเป็นฉวนจือโจว มีลุงเป็นกุยเต๋อหลังเจียงกลับไม่รู้จักการตีกลองร้องทุกข์อย่างนั้นหรือ”
“หมายความว่าใต้เท้าเการู้ว่าพวกเขาไม่ได้รับความยุติธรรมใช่หรือไม่” เฉินเซ่าถามเสียงเรียบ
“พวกเขาจะได้หรือไม่ ข้าไม่ทราบ แต่ดูท่าแล้วใต้เท้าเฉินจะทราบ” เกาหลิงปอยิ้มเย็นเอ่ยขึ้น
“หลี่จื่อเหวิน”
ฮ่องเต้ที่เงียบอยู่นานพลันเอ่ยขึ้นทั้งสองคนที่กำลังโต้เถียงกันในตำหนัก
ผู้ช่วยราชเลขาธิการก้าวออกมาแล้วขานรับ
“ไปสอบถามได้ความว่าอย่างไร” ฮ่องเต้ถาม
ผู้ช่วยราชเลขาธิการหนิวเหวินชิงขานรับแล้วหยิบหนังสือแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ
“เจ้าว่ามา เราฟังอยู่ ทุกคนฟังไว้ด้วย” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นแต่ไม่รับกระดาษแผ่นนั้นมา
แม้แต่รับยังไม่อยากจะรับไว้…
เห็นได้ชัดว่าคงรังเกียจสะอิดสะเอียนอยู่ในใจ
แววตาเกาหลิงปอยิ้มเป็นประกาย ส่วนสีหน้าของเฉินเซ่าที่อยู่ตรงข้ามกลับเรียบเฉย
“ฟ่านเจียงหลินบอกว่าขณะที่พวกเขาติดตามแม่ทัพฟางจ้งเหอเพื่ออ้อมป้อมหลินกวนนั้น ได้เจอเข้ากับทหารของราชาโจรตะวันตก เดิมทีกำลังพลมีน้อยต้านศัตรูมิได้ แต่เพื่อถ่วงเวลาให้ทัพหลังได้จัดเตรียมกำลังพลเพื่อป้องกัน จึงใช้พลไม่ถึงสองพันนายเข้าปกป้องเมืองรับหน้าศัตรู ตกลงกันดิบดีว่าจะต้านไว้ในเวลาหนึ่งชั่วยาม ทว่าคิดไม่ถึงว่าฟางจ้งเหอจะหลบหนี พวกเขาเหล่าพี่น้องกับทหารที่เหลือจึงยืนหยัดปกป้องเมืองต่อไป ในตอนที่เผาเมืองนั้น โจรตะวันตกก็ได้ตีประตูใหญ่แตกพ่าย…”
น้ำเสียงแข็งกระด้างของหลี่จื่อเหวินดังก้องไปทั่วตำหนัก
นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้ฟังรายละเอียดของเรื่องราวภายในสนามรบ แม้ว่าจะผ่านมาสองเดือนกว่าแล้วก็ตาม
เรื่องในสนามรบเป็นสิ่งที่โหดร้าย ทุกคนก็พอจะนึกภาพออก แต่แล้วอย่างไรเล่า เรื่องราวที่ขุนนางที่ยืนอยู่ที่นี่อย่างพวกเขาต้องพิจารณา คือเรื่องพวกนี้อย่างนั้นหรือ
สิ่งที่พวกเขาต้องพิจารณามีเพียงผลลัพธ์ว่าแพ้หรือชนะเท่านั้น ส่วนจะชนะหรือแพ้อย่างไรไม่ใช่เรื่องสำคัญ
มุมปากเกาหลิงปอยกยิ้มบาง อีกเดี๋ยวคงจะบรรยายว่าสถานการณ์รบนั้นดุเดือดแค่ไหน พวกเขาห้าวหาญเป็นวีรบุรุษเพียงใดใช่หรือไม่
“…จากนั้นเขาก็ถูกโจรตะวันตกยิงธนูเข้าใส่จนตกลงจากกำแพงเมืองหมดสติไป แล้วถูกกองกำลังเสริมช่วยชีวิตไว้ จึงได้ชีวิตรอดมา” ผู้ช่วยราชเลขาธิการเอ่ยก่อนจะวางหนังสือในมือลง แสดงให้เห็นว่าอ่านจบแล้ว
ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึง
“แค่นี้รึ” มีคนถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
หลี่จื่อเหวินหยิบสารขึ้นมาดูเพื่อยืนยันอีกรอบอย่างตั้งใจ
“มีเพียงเท่านี้” เขาพยักหน้าบอก
มีเพียงเท่านี้…
“เขาหมดสติกลางทาง โชคดีที่รอดชีวิตมา…”
“แล้วเขาต้องการอันใด ไม่ได้ตายจึงต้องการให้ดูแลครอบครัวที่เสียสละเพื่อชาติรึ”
“เพราะแม่ทัพหนีทัพ ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาตายอย่างนั้นรึ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงมขึ้นภายในตำหนัก
ผู้ตรวจการทั้งสองก้าวออกมาตำหนิ ภายในตำหนักเงียบลงอีกครั้ง
“แล้วแม่นางเฉิงเล่า นางว่าอย่างไร” ฮ่องเต้เอ่ยถามขึ้น
เรื่องเช่นนี้องค์ชายใหญ่รู้สึกว่าน่าสนุกกว่าการทะเลาะโวยวายของเหล่าขุนนางเป็นไหนๆ เขามองไปยังผู้ช่วยราชเลขาธิการด้วยความสนอกสนใจ แล้วเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้จึงเหลือบตาไปมองจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่มีชีวิตชีวาในยามอื่น ยามนี้สีหน้ากลับเรียบเฉย
ผู้ช่วยราชเลขาธิการมองสาส์นคราหนึ่ง
“นางบอกว่านางต้องการทวงคืนคุณงามความดี” เขาเอ่ย
นางบอกว่านางต้องการทวงคืนคุณงามความดี
ภายในท้องพระโรงเงียบงันขึ้นมาอีกครั้ง
นางบอกว่านางต้องการทวงคืนคุณงามความดี มิใช่เพียงแค่ต้องการรับศพเหล่าพี่ๆ มาฝังเท่านั้น มิใช่เพียงแค่คิดจะจัดงานศพฟุ่มเฟือยใหญ่โตเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะก่อให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น มิใช่ว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์ หรือไร้หัวใจ…แต่เป็นเพราะนางมีหัวใจและมีความตั้งใจ
นางต้องการทวงคืนคุณงามความดีของเหล่าพี่ชายกลับคืนมา!
ภายในท้องพระโรงเสียงดังอื้ออึงขึ้นอีกครั้ง
“นางต้องการทวงคืนคุณงามความดีอันใดกัน คนที่สู้รบจนตายอย่างเป็นธรรมมีเยอะแยะไป ไหนเลยจะมาทำเยี่ยงนี้ได้!”
“นางมีเงินสร้างอำนาจได้ ก็จะกำเริบเสิบสานเยี่ยงนี้ได้หรือ”
“ต้องการบีบบังคับเจตจำนงของปวงชน!”
ผู้ตรวจการทั้งสองจำต้องออกมาตำหนิให้ท้องพระโรงเงียบลงอีกครั้ง
ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรกลับยิ้มบางออกมา
“ยอมรับได้อย่างตรงไปตรงมาดีนี่” ฮ่องเอ่ยเอ่ย
พอเกาหลิงปอกับเฉินเซ่ามองสีหน้าของฮ่องเต้ บวกกับสิ่งที่พระองค์พูดออกมา แววตาของพวกเขาต่างก็แปรเปลี่ยน
ฮ่องเต้ก็เป็นเช่นนี้ ชอบใจนักยามที่ตนรู้สึกว่าพวกเจ้าทำสิ่งใดข้าล้วนรู้ทุกอย่าง หยุดคิดปิดบังข้าได้แล้วอะไรประมาณนั้น หากหญิงนางนี้ร้องทุกข์ว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อไป ฮ่องเต้ก็จะสะอิดสะเอียดไม่พอใจ ทว่าหากนางยอมรับแล้ว แม้ว่าจะยืนยันชี้ขาดว่าต้องการบีบบังคับเจตจำนงค์ของชาวเมืองเพื่อตัวเอง แต่กลับทำให้ฮ่องเต้คลายความโกรธลงไปเสียได้
ทว่าก็คลายลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในเมื่อนางยอมรับเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าจะมีมติไม่ไว้วางใจหลูเจิ้งหรือไม่ นางก็หนีโทษไม่พ้นอยู่ดี
เฉินเซ่าขมวดคิ้วมุ่น แม่นางน้อยผู้นี้นี่…ต่อให้แลกด้วยชีวิตก็ต้องทวงความยุติธรรมให้แก่เหล่าพี่ชายบุญธรรมที่เสียชีวิตไปอย่างสิ้นหวังเหล่านั้น ต่อให้ได้ความดีความชอบกลับมาแล้ว แล้วจะมีความหมายใดอีก ก็แค่ได้ระบายความแค้นไปเท่านั้น ใช้ผลประโยชน์เดิมที่ควรมีจากชื่อเสียงเช่นนี้ พอเรื่องใหญ่โตขึ้นมาชื่อเสียงก็กลับกลายเป็นหายนะของนางไปแล้ว
สุดท้ายก็เป็นเพราะนางมีนิสัยใจคอคับแคบ ใช้อารมณ์แก้ปัญหา
“ไปตามนางมา เราอยากถามนางว่าต้องการความคืนความดีความชอบอันใด มีเรื่องใดไม่ยุติธรรม” ฮ่องเต้เอ่ยต่อ
ประโยคนี้จบลง ทุกคนในท้องพระโรงต่างพากันนิ่งชะงักไป
“มิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท จะให้ท้ายส่งเสริมแก่หญิงต่ำต้อยเช่นนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ หากนางตีกลองร้องทุกข์ฝ่าบาทยังพอเรียกเข้าเฝ้าได้ แต่นางใช้ชื่อเสียงหมอเทวดามาปลุกระดมปวงชน สมคบคิดขุนนาง ให้ร้ายแม่ทัพจะให้ท้ายนางได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”
เหล่าขุนนางต่างพากันโต้แย้ง ท้องพระโรงอื้ออึงโกลาหลขึ้นมาอีกครั้ง ผู้ตรวจการออกมาตักเตือนอยู่หลายครั้งก็มิอาจทำให้พวกเขาเงียบลงได้
“ก็เพราะนางเป็นเช่นนั้น เราจึงต้องฟังนางพูด เราให้นางพูด เราไม่เพียงแต่รับผิดชอบต่อนางผู้เดียว แต่เป็นการรับผิดชอบต่อปวงประชา รับผิดชอบต่อขุนนางที่ถูกใส่ร้ายด้วย”
แม้ว่าเหล่าขุนนางยังคิดจะโต้แย้ง แต่ฮ่องเต้ได้ตัดสินพระทัยไปแล้ว เหล่าข้าหลวงที่ได้รับคำสั่งจึงรีบไปถ่ายทอดพระประสงค์ทันที ส่วนฮ่องเต้ก็ใช้เวลานี้พักผ่อนเล็กน้อย
ฮ่องเต้เสด็จกลับตำหนักหลังเพื่อพักผ่อน เหล่าขุนนางจึงจำต้องรออยู่โถงด้านหน้า แม้ว่าผู้ตรวจการจะยืนจ้องพร้อมตะครุบดั่งพญาเสืออยู่ข้างๆ แต่ก็มิอาจขวางกั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนที่ยืนอยู่ได้
สีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป บางคนตื่นเต้น บางคนไม่ใส่ใจ บางคนกังวล เห็นได้ชัดว่าต่างกำลังคาดเดาผลลัพธ์ในการตัดสินใจของฮ่องเต้ในครานี้
“หลูเจิ้งจบเห่แน่แล้ว” เกาหลิงปอเอ่ย สีหน้าผ่อนคลายลงไปมาก
คนอื่นต่างพากันพยักหน้า
“ฝ่าบาทคงจะเช่นเดียวกับฮ่องเต้ไท่จู่” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
เสียงวิพากวิจารณ์ดังระงมภายในท้องพระโรง นอกท้องพระโรงก็กระสับกระส่ายเช่นกัน เรื่องที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงมิอาจปิดบังคนได้ ซ้ำยังเป็นเรื่องที่หายากเช่นนี้แล้วด้วย ไม่ช้าก็แพร่สะพัดไปถึงหมู่คนที่สนใจแล้ว
“ปีนั้นแม่ทัพชายแดนซ่งหมิงทำคุณูปการไว้มากมาย แต่โหดเหี้ยมทารุณ ละโมบและเลวทรามต่ำช้า ใช้อำนาจออกอาละวาด แย่งชิงเงินทองและภรรยาของชาวบ้าน จนเหล่าชาวเมืองมาตีกลองร้องทุกข์ ฮ่องเต้ไท่จู่จึงต้องการพบชาวเมืองผู้นี้ด้วยพระองค์เอง”
เพราะฐานันดรที่เอื้ออำนวย ท่านชายฉินสิบสามจึงสามารถนั่งอยู่ในห้องเล็กๆ นอกห้องโถงของบิดาพลางพูดคุยกับท่านชายโจวหก
ท่านชายโจวหกสีหน้าอึมครึม แม้ว่าจะยกถ้วยชาขึ้น แต่ก็ไม่ได้ส่งเข้าปากเสียที เห็นได้ชัดว่าเขากำลังกังวลอยู่
“นางสามารถใช้ชื่อเสียงนี้มาบีบบังคับเจตจำนงของปวงชนได้ ฝ่าบาทก็ย่อมเอาการบีบบังคับของนางมาแย่งชิงชื่อเสียงได้เช่นกัน ไม่ว่าอย่างไร ชาวเมืองต้องพอใจกับการที่ฝ่าบาททรงเต็มใจพบแม่นางเฉิงในครานี้แน่นอน ส่วนจะได้รับบำเหน็จหรือไม่เดิมทีก็มิใช่เรื่องที่ชาวเมืองสนใจ พวกเขาสนใจแค่เรื่องนี้เท่านั้น”
“จากนั้นฝ่าบาทจะตำหนิเจียงเหวินหยวนพอเป็นพิธีเพื่อปลอบขวัญทหาร ให้ทหารตะวันตกเฉียงเหนือจัดพิธีเซ่นไหว้ใหญ่โตแก่เหล่าทหารที่เสียชีวิตอย่างโชคร้ายขึ้นอีกครั้ง เหล่าปวงชนก็จะยิ่งได้รับการปลอบขวัญ เจียงเหวินหยวนก็จะยิ่งซาบซึ้งในการปกป้องของฮ่องเต้ในครานี้ ผู้คนน้อยใหญ่ต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท ส่วนหลูเจิ้งอันดับแรกเขาส่งสารโดยพลการ ให้ปวงชนใส่ร้ายขุนนางที่สร้างคุณูปการอย่างเกินจริง หลอกลวงราชสำนัก ฝ่าบาททรงเมตตาจึงไม่สังหารเขา แต่เกรงว่าเขาก็คงไม่มีชีวิตีอดไปถึงหนานโจวแล้ว”
“หมายความว่า พวกสวีเม่าซิวก็ยังคงมิได้สิ่งใดอยู่ดีเช่นนั้นหรือ” ท่านชายโจวหกเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามมองเขาคราหนึ่ง
“ข้าคิดว่าพวกเขาได้รับไปแล้ว” เขาเอ่ย “ทั่วทั้งเมืองต่างพูดถึงเรื่องเขาเม่าหยวนซาน แม้กระทั่งฮ่องเต้เองก็ยังทรงเอ่ยถาม พวกเขาไม่ได้รับคุณูปการแต่ก็มีชื่อเสียงไม่น้อยแล้ว”
ท่านชายโจวหกเงียบไปครู่หนึ่ง วางถ้วยชาในมือลง
“เจ้าพูดถูก แต่ข้าคิดว่าสุดท้ายจะไม่เป็นเช่นนี้” เขาเอ่ย “หรือนางลำบากถึงเพียงนี้ก็เพื่อช่วยให้ผู้อื่นสมปรารถนากัน”
นางเป็นคนอย่างนั้นหรือไร
“ทำเรื่องเช่นนี้ก็คือลำบากโดยสูญเปล่าแล้ว” เกาหลิงปอยิ้มกระซิบขึ้น มองเฉินเซ่าที่อยู่ตรงข้าม เห็นสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนของเขา แต่สายตากลับผ่อนคลายลงหลายส่วน
“จะลำบากโดยสูญเปล่าได้อย่างไรกัน ฝ่าบาททรงทำตามไท่จู่ เช่นนั้นก็หมายความว่าฝ่าบาทคิดว่าเจียงเหวินหยวนมีโทษ” เฉินเซ่ามองเขาพลางยิ้มเอ่ย
เกาหลิงปอยิ้มกว้างขึ้น
“ไม้งามกลางป่าย่อมถูกลมโค่น ทำตัวโดดเด่นกว่าใครเพื่อน ย่อมถูกจ้องทำร้าย เจียงเหวินหยวนออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตัวเองอยู่ที่ตะวันตกเฉียงเหนือ การงานมากมาย ย่อมล่าช้าเรื่องการทหารอยู่บ้าง แต่เรียกได้เพียงแค่ว่าบกพร่องในหน้าที่ หาใช่โทษหนักอันใด” เขาเอ่ย
โทษประเภทนี้สำหรับฮ่องเต้แล้ว กลับเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่ปลอบขวัญทหาร ทำให้ฮ่องเต้ได้มีโอกาสทำได้ดีกว่าเจียง
เหวินหยวนเป็นไหนๆ
เฉินเซ่าก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
“ถ้าหากว่า โทษที่เขาทำมิได้มีแค่นี้เล่า” เขาเอ่ย
มิได้มีแค่นี้รึ
แล้วยังมีโทษใดอีก
เกาหลิงปอขมวดคิ้ว คิดจะพูดอะไรต่อ ผู้ตรวจการก็กระแอมออกมาเสียงดัง
“แม่นางแซ่เฉิงมาแล้ว” เขาเอ่ย
เหล่าขุนนางภายในท้องพระโรงต่างเงียบกันหมด สายตามองไปยังด้านนอก ด้านหน้าท้องพระโรงที่ทอดยาวออกไปนั้นมีข้าหลวงนายหนึ่งกำลังเดินนำหญิงนางหนึ่งเข้ามาอย่างช้าๆ
เพราะต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้นางจึงต้องปลดหมวกคลุมหน้าออกและถอดเสื้อคลุม หญิงร่างบางที่สวมเพียงชุดกระโปรงสีล้วนไว้ ยิ่งดูบอบบางลงไปอีกเมื่ออยู่ท่ามกลางตำหนักใหญ่โตโอ่อ่า
นี่คือแม่นางเฉิงรึ ทุกคน ณ ที่นั้นนอกจากเฉินเซ่าแล้วต่างได้พบเห็นนางเป็นครั้งแรก จึงพากันหรี่ตาจ้องมองอย่างอดไม่ได้