พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 437 ประกาศ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรู้จักแม่นางแซ่เฉิงผู้นี้ ทุกคนต่างรู้กันดี
ครั้งแรกที่พาชิ่งอ๋องออกจากวังไปหาหมอ คนแรกที่ไปหาก็คือแม่นางเฉิงหมอเทวดานางนี้ แน่นอนว่าผลลัพธ์ต่างเห็นๆ กันอยู่ ชิ่งอ๋องยังคงสติไม่สมประกอบ
ว่ากันว่าหมอเทวดานางนี้ใช้กฎสามข้อมาปฏิเสธการรักษาของชิ่งอ๋อง
เพราะกฎสามข้อนี้จึงไม่รักษาหรือว่าเพราะรักษาไม่ได้กันแน่จึงไม่รักษา เหล่าขุนนางที่รู้เรื่องนี้เข้าก็ต่างพากันคาดเดากันไป ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ายากที่จะตอบนัก หากบอกว่านางไม่รักษาเพราะกฎที่นางตั้ง แต่นี่เป็นองค์ชายเชียวนะ หากรักษาหายแล้วชาตินี้ทั้งชาติย่อมมั่งคั่งไร้กังวลแน่ กฎเกณฑ์ใดกันที่สามารถต้านทานสิ่งดึงดูดใจเช่นนี้ได้ หากบอกว่านางรักษาไม่ได้เล่า…ใครจะเชื่อ
สุดท้ายเพราะอะไร คงมีเพียงตัวนางเองเท่านั้นที่รู้แน่แก่ใจ
ทว่ายามนี้ดูท่าแล้ว จิ้นอันจวิ้นอ๋องต้องไม่เชื่อเป็นแน่ ที่ออกมายืนตำหนิแม่นางเฉิงก็เพราะว่านึกไปถึงเรื่องที่ถูกปฏิเสธการรักษาจึงได้เดือดดาลเช่นนี้กระมัง
ผู้ช่วยราชเลขาธิการย่อมพุ่งไปหาทันที
“เข้าไปโดยไร้พระบรมราชโองการ!ต้องโทษไร้มารยาท!” เกาหลิงปอกำลังยืนตะคอกใส่จิ้นอันจวิ้นอ๋องเสียงดัง โมโหจนหน้าดำหน้าแดง
“กล้าเสียงดังโวยวายต่อหน้าฝ่าบาทได้อย่างไร!ต้องโทษไร้มารยาท!” ผู้ช่วยราชเลขาธิการพุ่งไปหาเกาหลิงปอแล้วตวาดลั่น
เกาหลิงปอสีหน้ายิ่งแดงก่ำ ถลึงตามองหลีจึเหวิน แทบอยากจะกัดเขา
“พวกเจ้าจะเอาอย่างไร” หลีจึเหวินคิดไม่ถึงว่าเกาหลิงปอจะมองไปด้านหลังแล้วตวาดใส่
เหล่าขุนนางด้านหลังหยั่งเชิงคิดจะใช้จังหวะโกลาหลนี้เข้าไปดูความคึกคักจึงจำต้องหดคอกลับไปยืนอยู่นอกบานประตูอย่างสงบเสงี่ยม
หลีจึเหวินจึงได้แต่มองไปยังจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
“จิ้นอันจวิ้นอ๋องเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ มีความผิดฐานไม่ให้ความเคารพ” เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
ฮ่องเต้ที่ประทับบนตั่งมังกรสีพระพักตร์ไม่ทราบถึงความรู้สึก
จิ้นอันจวิ้นอ๋องคล้ายจะไม่เห็นคนอื่นภายในตำหนักอยู่ในสายตา เขามองแค่เฉิงเจียวเหนียงที่ลุกขึ้นและกำลังจะเดินตามขันทีไปเท่านั้น
“เจ้าทำตามกฎเกณ์มิใช่หรือ เจ้ารักษากฎมิใช่หรือ ยามนี้เหตุใดเจ้าจึงไม่ทำตามกฎเล่า ข้าจะลงโทษเจ้า!” เขาตวาดลั่น ชี้นิ้วไปยังเฉิงเจียวเหนียง
สีหน้าของเขาเดือดดาลจนสะกดกั้นไว้ไม่อยู่
“หม่อมฉันมิได้ไม่ทำตามกฎ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วค้อมกายคำนับ
“ที่เจ้าทำอยู่เรียกว่าทำตามกฎเกณฑ์หรือไร หากทำตามกฎเกณฑ์จริง เหตุใดเจ้าต้องปลุกระดมปวงชนแทนการตีกลองร้องทุกข์เล่า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มเย็น
“หุบปาก!” ผู้ช่วยราชเลขาธิการตะหวาดใส่ “ยังไม่ไปอีก!”
“ข้า…” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคงมองไปยังเฉินเจียวเหนียง มือที่ยกขึ้นกำหมัดแน่น “ข้าไม่พอใจ!”
ผู้ช่วยราชเลขาธิการจะเอ่ยบางอย่าต่อ แต่ฮ่องเต้กลับพูดขึ้นเสียก่อน
“นั่นสิ แม่นางแซ่เฉิง เจ้าทำเช่นนี้เรียกว่าทำตามกฎได้อย่างไร” พระองค์เอ่ยถาม
“หม่อมฉันรวมพลเพื่อทำพิธีฝังศพเหล่าท่านพี่ เพื่อดึงดูดให้ปวงชนได้สนใจ เพื่อให้เรื่องที่ข้าต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้ไปถึงฮ่องเต้ มีขุนนางท่านหนึ่งเห็นคำร้องทุกข์ของหม่อมฉัน ส่งเสียงเพื่อประชาชน และเป็นสิ่งที่ขุนนางพึงกระทำ นี่ยังไม่เรียกว่าทำตามกฎเกณฑ์อีกหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ดูสิ ดู หน้าซื่อใจคดแต่พูดจาเสียมีเหตุมีผล แล้วอย่างไรเล่า วันนี้ได้เห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว
เกาหลิงปอยิ้มเย็น
ส่วนจิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับหัวเราะออกมา
“เช่นนั้นกฎเกณฑ์ที่ไม่ยุติธรรมของเจ้าเล่า ทุกสงครามย่อมมีเจ็บมีตาย ทหารบาดเจ็บล้มตายมิอาจเลี่ยงได้ เหล่าทหารที่บาดเจ็บล้มตายมีอยู่นับไม่ถ้วน เหตุใดพวกเจ้าถึงยอมรับมิได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดตอนนั้นจึงไปเป็นทหารเล่า” เขาเอ่ยถาม
“ใช่น่ะสิ พวกเรามีเงินมีทองไปเป็นเศรษฐีในเมืองหลวง แล้วเหตุใดต้องไปเป็นทหารด้วย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
“นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการหรือ” พระองค์เอ่ยถาม “มีเงินแล้วจึงคิดอยากมีชื่อเสียงอย่างนั้นรึ”
ฮ่องเต้ถามขึ้นเองแล้ว!
ที่ฝ่าบาทเอ่ยขึ้นเมื่อครู่มิใช่เพื่อกู้หน้าให้จิ้นอันจวิ้นอ๋อง แต่เพราะฝ่าบาทต้องการไต่ถามด้วยพระองค์เอง
นี่คือวิธีดึงดูดความสนใจใคร่รู้ของฮ่องเต้ เมื่อมนุษย์สงสัย จึงอยากจะเข้าใจ แต่นี่มิใช่สิ่งที่เกาหลิงปออยากจะเห็น หากฮ่องเต้รู้สึกว่าน่าเบื่อหน่ายแล้วย่อมไม่สนใจ ยิ่งไม่สนใจเท่าใด เรื่องนั้นก็น่าเบื่อหน่ายยิ่งกว่าเดิม
ไม่ง่ายเลยกว่าจะโน้มน้าวจิตใจฮ่องเต้ให้คิดว่านี่เป็นเพียงแค่เรื่องหน้าเบื่อหน่าย หญิงนางนี้สับปลับปลิ้นปล้อน ยิ่งพูดคุยกับนางมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งถูกนางมอมเมามากขึ้นเท่านั้น เป็นเพราะจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่น่าเกลียดชังผู้นี้ที่ให้โอกาสนางได้พูด!
ไม่ผิดแน่ จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดิมทีมิได้แค้นเคืองอันใดอยู่แล้ว แต่ทำเพื่อแสดงน้ำใจเหมือนกับเฉินเซ่า!เหมือนกับบัณฑิตถงที่ไปสืบถามและตกลงกับหออาลักษณ์หลวงเพื่อแสดงน้ำใจ!เพื่อเอาอกเอาใจหญิงนางนี้!
หรือเฉินเซ่ากับเขาสมคบคิดกันก่อนหน้าแล้ว
พวกเขาสมคบคิดกันตั้งแต่เมื่อใด
นึกไม่ถึงว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องจะกล้าสมคบคิดกับขุนนางใหญ่!
ความคิดในหัวเกาหลิงปอสับสนวุ่นวาย เขาคิดว่าเรื่องนี้ดูท่าไม่ดีเสียแล้ว ทันใดนั้นเสียงของหญิงสาวก็ขึ้นข้างหูอีกครั้ง
“นี่เป็นความปรารถนาของเหล่าท่านพี่เพคะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ปรารถนาที่จะมีชื่อเสียงจากการแทนคุณแผ่นดิน เพื่อลบล้างมลทินเรื่องหนีทัพ เพื่อให้ได้ชื่อว่าพวกเขาตายจากไปอย่างมีคุณค่า”
“แทนคุณรึ เพียงแค่โลภในลาภยศ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่ากระมัง” เกาหลิงปอยิ้มเย็น
“โลภในลาภยศ เห็นแก่ประโยชน์แล้วอย่างไรเล่า ประการแรก พวกเขาเป็นถึงแนวรบด่านหน้า ประการที่สอง พวกเขาห้าวหาญพิฆาตศัตรูไม่ถอยไม่หนีและพลีชีพเพื่อชาติอย่างไม่เสียดายชีวิต ราชสำนักไม่ชื่นชอบคนโลภในลาภยศ เห็นแก่ประโยชน์เช่นนี้ แต่ชื่นชอบทหารที่ไร้ความปรารถนา ไร้ความทะเยอทะยานเช่นนั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
รู้อยู่แล้วว่าควรเปิดโอกาสให้หยิงนางนี้ได้พูด!เกาหลิงปอแอบแค้นอยู่ในใจ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังมีความแค้นเคืองอันใดอยู่อีก” ฮ่องเต้ทรงตรัสถาม
“เพราะไม่ยุติธรรม”
“แล้วไม่ยุติธรรมตรงที่ใด คนอื่นไม่ตาย พวกเจ้าสู้รบจนตายจึงไม่ยุติธรรมหรือ”
“ไม่ใช่เพคะ”
“เพราะคนที่มีชีวิตอยู่ต่อความดีความชอบ พวกเจ้าจึงต้องการแย่งชิงมาอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่เพคะ”
“แม่นางแซ่เฉิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าครอบครัวของเหล่าพี่ชายของเจ้า ได้รับการดูแลมากกว่าทหารคนอื่นที่สละชีพเพื่อบ้านเมืองเช่นกัน”
“ทราบเพคะ”
“เช่นนั้นมีที่ใดไม่ยุติธรรมกัน แล้วเหตุใดจึงต้องทวงคืนความดีความชอบ”
“เพราะคนไร้คุณูปการยังได้รับความดีความชอบ เช่นนั้นแล้วผู้คุณูปการก็ย่อมเรียกร้องทวงคืนความดีความชอบได้เช่นกัน”
“มีคุณูปการหรือไม่ ราชสำนักตัดสินไม่ได้ แต่เจ้าตัดสินได้อย่างนั้นหรือ”
“ข้าไม่เชื่อราชสำนัก”
“แล้วราชสำนักจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร”
“ราชสำนักไม่ต้องเชื่อข้า ควรเชื่อคนที่ควรเชื่อ”
“แล้วผู้ใดที่ควรเชื่อถือ”
“ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์”
“ใครคือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์พี่บุญธรรมของเจ้าที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ผู้นั้นหรือ”
“เพคะ”
“เขาสนิทกับเจ้า ยากจะได้รับการเชื่อถือ พวกเจ้าสนิทสนมกันจะเชื่อถือได้อย่างไร”
“เช่นนั้นก็หาคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้า มีคนมากมายในตะวันตกเฉียงเหนือที่อยู่ในเหตุการณ์ ต้องมีคนที่ราชสำนักเชื่อถือได้แน่นอน”
ภายในตำหนักเงียบสงัดพร้อมกับเสียงของหญิงนางนี้
เหล่าขุนนางที่อยู่อีกฟากของบานประตูพากันกลั้นหายใจอย่างอดมิได้
แม่นางน้อยนางนี้ใจกล้าบ้าบิ่นนัก ตอบโต้กับฮ่องเต้ได้อย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว ส่วนฮ่องเต้ก็ถูกยั่วยุจนบันดาลโทสะขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มิฉะนั้นคงไม่ไล่ถามคำต่อคำเช่นนี้
“พูดเช่นนี้ แปลว่าทัพตะวันตกเฉียงเหนือก็มีสุราเลิศเช่นกันหรือ” ฮ่องเต้เอ่ย
ประชดประชัน!
“ไม่มีเพคะ” สีหน้าและน้ำเสียงของเฉิงเจียวเหนียงยังคงดังเดิมไม่เปลี่ยน “เช่นนั้นแล้วฝ่าบาทจะเชื่อหรือไม่เพคะ”
ข่มขู่หรือ!
ฮ่องเต้มองหญิงตรงหน้าแล้วยิ้มขึ้นทันใด
เฉินเซ่าที่อยู่หลังบานประตูถอนใจออกมาเบาๆ แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็น เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความพิโรธของฮ่องเต้ในขณะนี้
“ข้าเชื่อ” ฮ่องเต้ตรัส “เพียงแต่เจ้าจะเชื่อคนที่อยู่ในเหตุการณ์ในตะวันตกเฉียงเหนือหรือไม่”
“หม่อมฉันเชื่อเพคะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “หากทัพตะวันตกเฉียงเหนือตรวจสอบแล้วว่า ครอบครัวของเหล่าท่านพี่ผู้เสียสละชีพเพื่อชาติได้รับการดูแลอย่างดี ตายอย่างสมเกียรติและยุติธรรมแล้ว ในเมื่อปวงชนได้ฟังหม่อมฉันร้องทุกข์แล้ว หม่อมฉันก็ย่อมต้องประกาศให้ชาวเมืองรับรู้ความเป็นไป”
“ประกาศอันใด” ฮ่องเต้ถามเสียงเรียบ
“หม่อมฉันขอลงโทษตนเองให้ฟ้าผ่าตาย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เมื่อสิ้นเสียง ทุกคนต่างตกตะลึงกันไปอีกครั้ง แม้แต่เกาหลิงปอยังตกใจอย่างปิดไม่มิด
ฟ้าผ่าตายรึ ถูกฟ้าผ่าตายน่ะหรือ เช่นนั้นก็เป็นการลงโทษตัวเองจริงๆ มีเพียงโทษสิบประการที่อภัยโทษไม่ได้เท่านั้นที่จะถูกฟ้าผ่าตาย หากฟ้าผ่าตามย่อมไม่อาจได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากปวงชนได้อีก
ทว่าหากเป็นล่อสายฟ้าล่ะก็…
“ใครจะรู้ว่าสายฟ้าจะมาเมื่อใด ให้ฟ้าผ่าเจ้า หากไม่มีสายฟ้า หรือมาแล้วผ่าเจ้าไม่ตาย ก็เป็นความผิดของสวรรค์ ไม่เกี่ยวกับเจ้าอย่างนั้นหรือ” เกาหลิงปอยิ้มเอ่ย “แม่นางเฉิงกล่าวเช่นนี้ ช่างรู้ซึ้งถึงหลักเต๋าโดยแท้ กระทั่งการฆ่าตัวตายยังลึกซึ้งยากจะคาดเดา”
ฮ่องเต้สีหน้าเรียบเฉยไม่กล่าวคำใด
“ข้าขอแจ้งให้ใต้เท้าให้ทราบ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้าพอจะคาดการณ์ดินฟ้าอากาศได้อยู่บ้าง เวลาใดมีสายฟ้า จะล่อฟ้าอย่างไร ข้าย่อมรู้และจัดการได้อย่างเหมาะสม”
เกาหลิงปอยิ้มอีกครั้ง
บอกว่าฟื้นจากความตายให้คนงมงายก็ว่าไปเถิด ยามนี้ยังมาอ้างเรียกลมเรียกฝนได้อีกหรือ
นางบ้าไปแล้ว!
ไม่ว่าสุดท้ายทางทัพตะวันตกเฉียงเหนือจะตรวจสอบได้ผลลัพธ์อย่างไร อวดดีเช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ นางคงจบเห่แล้ว
เกาหลิงปอมองหญิงตรงหน้า ตั้งแต่ปรายตามองนางนอกตำหนักครานั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองนางอย่างเต็มตา
แม่นางน้อยอ่อนเยาว์ งดงามดั่งบุปผา ยืนหลังตรงสง่า กิริยาอาการไม่ต่างอันใดกับลูกสาวของตนเลยสักนิด
กระทั่งสายตาเขาตกลงบนดวงตาคู่นั้นของนาง ดวงตาคู่นี้มองคราแรกงดงามลึกลับ มองอีกทีมืดมนอนธการ มองต่อไปอีกลึกล้ำยากจะหยั่ง
นี่มิใช่ดวงตาที่เด็กสาวพึงมี
หรือจะได้พบเทพเซียนเข้าจริงๆ…
มิฉะนั้นจะใจกล้าอวดดีเช่นนี้ได้อย่างไร เอาความมั่นใจมาจากเฉินเซ่ารึ
“ได้” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น
วาจาของฮ่องเต้ดั่งทองคำ น้ำเสียงนั้นเอ่ยออกมาอย่างแน่วแน่
เฉิงเจียวเหนียงย่อกายนั่งคุกเข่าโขกหัวสามครั้ง กราบเก้าครั้งอย่างถูกต้องตามจารีต ขนาดผู้ช่วยราชเลขาธิการที่จุกจิกที่สุดยังหาจุดบกพร่องไม่ได้
ตำหนักน้อยใหญ่ที่อยู่ด้านหลังค่อยๆ ไกลออกไป สายตาของขันทีหันกลับไปมองเฉิงเจียวเหนียงหลายต่อหลายครั้ง
น่าแปลกเสียจริง แม่นางน้อยผู้นี้ฝีเท้ามั่นคง ยามเข้าวังมาก็ไม่เปลี่ยน ยามออกจากวังก็ยังคงเดิม
แม้ว่าเรื่องราวภายในท้องพระโรงเพิ่งจะเกิดขึ้น แต่ขันทีอย่างพวกเขาก็รู้ข่าวกันหมดแล้ว
แม่นางผู้นี้กล้าเดิมพันกับฮ่องเต้ด้วยชีวิตของตนเอง
ทว่าความจริงแล้วก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด พูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือ ชีวิตของทุกสรรพสิ่งในโลกหล้าล้วนอยู่ในกำมือของฮ่องเต้ เดิมทีไม่มีอะไรให้เดิมพันทั้งนั้น
“แม่นางน้อย เจ้าเอาความมั่นใจมาจากไหน” ขันทีกระซิบถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาครู่หนึ่งแล้วแย้มยิ้มบาง
แม่นางน้อยผู้นี้ยังยิ้มเป็นเหมือนคนอื่นเขาด้วยหรือ
“เพราะข้าเชื่อในความยุติธรรมเจ้าค่ะ” นางยิ้มบอก
“ความยุติธรรมรึ”
ขันทีก้มหน้าขานรับ
ความยุติธรรม ใต้ฟ้านี้ฮ่องเต้ก็คือความยุติธรรม ไม่มีความยุติธรรมอื่นใดอีก
ฮ่องเต้โยนสาส์นในมือลงบนโต๊ะ
“จิ้นอันจวิ้นอ๋องเล่า” พระองค์เหมือนนึกอันใดขึ้นมาได้จึงโพล่งถามขึ้น
ขันทีนายหนึ่งก้าวเข้ามาเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ยั้งไว้
“พูด” ฮ่องเต้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“จวิ้นอ๋อง…นั่งอยู่ที่เขาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีกระซิบบอก
ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับชิ่งอ๋อง เขาดอกเหมยก็กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามของวังหลวง ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง เพราะชิ่งอ๋องไปเก็บดอกเหมยจึงได้เกิดเหตุขึ้น ทุกคนต่างไม่กล้าเอ่ยถึงแม้กระทั่งดอกเหมย ทุกตำหนักไม่มีใครกล้าจัดแต่งด้วยดอกเหมยเลยสักแห่ง
ฮ่องเต้เงียบไปครู่แล้วโบกมือ ขันทีก้มหน้าถอยออกมา ม่านแต่ละชั้นภายในพระตำหนักถูกปลดลง
“ข้ารู้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้ใจกล้าบ้าบิ่นมาโดยตลอด แต่ไม่นึกเลยว่านางจะใจกล้าจนถึงขั้นข่มขู่ฮ่องเต้ได้ เช่นนี้มิได้เรียกว่ากร่าง แต่เรียกดว่าสุดโต่ง” เฉินเซ่าเอ่ย เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ “สุดโต่งเสียจนไร้หนทางรอด”
“อันที่จริงแม่นางผู้นี้ก็ต่อสู้หาหนทางเอาตัวรอดมาโดยตลอดมิใช่หรือ” นายใหญ่เฉินเอ่ยขึ้น “ล่อสายฟ้าฆ่าคน แย่งหนทางรอดของผู้อื่น ชิงหนทางรอดให้ตัวเอง ฟื้นจากความตาย แย่งหนทางรอดของผู้อื่น ชิงหนทางรอดให้ตัวเอง ฆ่าคนห้าคนหน้าเรือนไท่ผิงกลางวันแสกๆ…”
เขาพูดไปพลางหันหลังไปมองฉากกั้นด้านหลัง
“บีบคั้นราชเลขาหลิวจนตาย พูดชักจูงจางเจียงโจว ยิงขุนนางใจคดที่ศาลาพักจนม้าตาย ทุกคำพูด ทุกการกระทำล้วนชัดเจน ไม่ได้ปกปิดตัวตนอันเหี้ยมโหดของนาง ก็เหมือนกับสองปีมานี้หลังจากนางไปท่องเที่ยวทั่วแดนก็จำศีลไม่ออกไปไหน เจ้าลืมไปแล้วหรือ”
เฉินเซ่ายิ้มเจื่อน
ไม่ใช่ว่าเขาลืม แต่พอได้พบหน้าก็ลืมทุกอย่างไปจดหมด หรืออีกนัยหนึ่งคือไม่อยากจะเชื่อ
นางที่อ่อนเยาว์งดงามเพียบพร้อมและสุภาพอ่อนโยนเพียงนั้น แทบจะไม่พูดไม่จา มองอย่างไรก็เหมือนคุณหนูธรรมดาทั่วไป จะเป็นคนเช่นนั้นได้อย่างไร
ใช่แล้ว นางไม่พูดไม่จา เอาแต่ลงมือทำ
ไม่ออกไปไหนมาสองปี พอออกจากบ้านก็ไปสังหารนักบวชใหญ่เป็นอันดับแรก เข้าเมืองหลวงมาก็ก่อความวุ่นวาย ดูๆ แล้วเพียบพร้อมรักษาธรรมเนียม กฎเกณฑ์ไม่บกพร่อง แต่กฎของนางเองกลับไม่สนฝ่ายตรงข้ามว่าจะเป็นผู้ใด หากยั่วโมโหนางเข้าก็จะสังหารอย่างไม่ลังเล ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใดหรือคนอ่อนแอไร้ทางสู้
โหดเหี้ยม โหดเหี้ยมต่อผู้อื่น โหดเหี้ยมต่อตนเอง
“คราวนี้นางตัดหนทางเอาตัวรอดของตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นการตัดหนทางรอดชีวิตของผู้คนอีกเท่าใด” เฉินเซ่าเอ่ย
นายใหญ่เฉิงเงียบไปครู่หนึ่งจึงเงยหน้ามองไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
“ทางตะวันตกเฉียงเหนือ เจ้ารู้เรื่องมากน้อยเพียงใด นางไม่ได้อยู่ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงเหนือไม่เหมือนเมืองหลวง นางยื่นมือไปไม่ถึง อำนาจก็สร้างเองไม่ได้ ยืมมือคนอื่นจัดการ ตัวแปรมีมากมายนัก” เขาเอ่ย
“บอกตามตรงว่าข้าก็ไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าใดนัก แต่ข้าว่านางต้องคว้าชัยมาไว้ในมือแน่นอน” เฉินเซ่ายิ้มเอ่ย “น่าจะเพราะนางไม่เคยทำให้ใครผิดหวังมาก่อนกระมัง”
แล้วครั้งนี้เล่า
ขณะที่สองพ่อลูกมองไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือนั้น คนส่วนใหญ่ภายในเมืองหลวงก็ต่างเงยหน้ามองไปเช่นกัน
การตัดสินแพ้ชนะในครานี้อยู่ที่ตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว