พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 438 ปรารถนา
ณ เมืองเจียงโจว
สายฝนยามสารทฤดูยังคงพรำลงมาอย่างไร้ทีท่าว่าจะหยุด ท่านชายเฉิงสี่ยืนลังเลอยู่ในตรอกครู่หนึ่ง ทุกครั้งที่คิดจะออกไปเดินเล่นก็ต้องไปยังเรือนน้องสาวเสียทุกคราวไป
แม้ว่าน้องสาวจะไม่อยู่ที่นี่แล้วก็ตาม
เสียงเกือกม้าดังกระทบกับแผ่นพื้นหินจากด้านหลังท่ามกลางสายฝนดังขึ้น ได้ยินเพียงแค่เสียงก็รู้ได้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร
ได้ยินว่ายามนี้เมืองหลวงนิยมใช้เกือกม้ากันเป็นที่สุด ตอกหรือไม่ก็นาบด้วยไฟไปบนกีบเท้าก็จะสามารถปกป้องกีบเท้าม้าได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นผู้ใดที่คิดค้นขึ้นมา หลังจากพ่อบ้านใหญ่เฉาใช้ในเจียงโจวเป็นคราแรก ยามนี้ผู้คนไม่น้อยต่างครุ่นคิดกันว่าจะหาสิ่งนี้ใส่ให้ม้าตัวเองด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าร้านช่างตีเหล็กก็ยังทำออกมาไม่พอดี ไม่เหมือนเฉาซ่านไฉที่มีเงินและอิทธิพลใหญ่โต จึงซื้อตัวช่างฝีมือดีมากจากเมืองหลวงได้
“ท่านชายเฉิงสี่!” พ่อบ้านใหญ่เฉาตะโกนเรียก
ท่านชายเฉิงสี่รีบหันหลังกลับไปตามเสียงตะโกนนั้น
“พ่อบ้านเฉามิต้องมากพิธี” เขาเอ่ย
แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว พ่อบ้านเฉาที่สวมชุดกันฝนชั้นดีและหมวกสานคำนับให้อย่างนอบน้อม มิได้มีท่าทางอิดออดแม้แต้น้อย
“ท่านชายเฉิงสี่มาได้เหมาะเจาะนัก ข้าได้ชาดีมาใหม่ เหมาะแก่การดื่มในวันฝนพรำนัก” เขาคำนับเสร็จแล้วจึงได้ยิ้มเอ่ย
ท่านชายเฉิงสี่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ
“น้องสาวอยู่ที่เมืองหลวงสบายดีหรือไม่”
“วางใจเถิดขอรับ นายหญิงของข้าไหนเลยจะมีเวลาที่ไม่สบายด้วย”
“นางฝากจดหมายมาด้วยหรือไม่”
“ท่านชายเฉิง นายหญิงข้าไม่ชอบพูดจา และไม่ชอบเขียนจดหมายด้วยขอรับ”
“ก็จริง…”
ทั้งสองเดินไปพลางพูดคุยกันไปพลาง เพิ่งจะถึงหน้าประตูก็เจอเข้ากับหญิงสองนางที่กางร่มมารับด้วยรอยยิ้ม
“ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าให้เงินไปไม่ได้ ต้องให้นายหญิงข้าอนุญาตก่อนจึงจะได้” พ่อบ้านเฉาเอ่ย
หญิงทั้งสองอึกอัก ไม่กล้าพูดอันใดมากก็ลุกขึ้นเดินจากไป
“คือ…” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยถาม
“หญิงทั้งสองนางต้องการเงิน บอกว่าจะเอาไปให้นายรองใช้” พ่อบ้านเฉาเอ่ยอย่างไม่แยแส
นายรองเฉิงดำรงตำแหน่งครบสามปีแล้วถึงเวลาต้องโยกย้ายไปที่อื่น ดังนั้นจึงต้องไปมาหาสู่กับญาติๆ บ้าง
“ท่านชาย เชิญขอรับ”
เสียงของพ่อบ้านเฉาทำให้เขาหยุดความคิดลง เขายิ้มพลางพยักหน้าแล้วเดินเข้าประตูไป
“ไม่ให้รึ ต้องให้นายหญิงอนุญาตอย่างนั้นรึ”
ฮูหยินรองเอ่ยถามขึ้นพลางมองไปยังบรรดาแม่นม
แม่นมพยักหน้า
“ถุย” ฮูหยินรองถ่มน้ำลาย “พอถึงเวลาเช่นนี้กลับบอกว่าต้องรอให้นายหญิงอนุญาตอย่างนั้นหรือ ก่อนหน้านี้เห็นไปดูละครเสียสำเริงสำราญ โยนเงินขึ้นบนเวทีเป็นว่าเล่น เหตุใดจึงไม่ต้องให้นายหญิงเจ้าอนุญาตก่อนเล่า อีกอย่าง ใช่นายหญิงของเจ้าเสียที่ไหน เป็นลูกสาวบ้านข้าต่างหาก!”
นางพ่นลมออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด ยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่มคำหนึ่งแล้วพ่นออกมา
“ชาอะไรกัน!ใช่ให้คนดื่มหรือ” นางตะคอก
เหล่าแม่นมต่างก้มหน้าไม่กล้าพูดจา ภายในเรือนยามนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว…
“แยกบ้านก็ไม่ได้อีก ยังต้องมาลำบากเพราะพวกเขาอีก…”
ฮูหยินรองเฉิงเดินวนไปมาภายในห้องพลางพร่ำบ่นไม่หยุดหย่อน
“ไป ไปบอกฮูหยินใหญ่ว่าให้รีบเอาเงินมาให้นายใหญ่รอง มาขัดขวงอนาคตของผู้อื่นเช่นนี้ พวกเขารับผิดชอบไหวหรือไร”
เหล่าแม่นมต่างรีบลุกขึ้นออกไป ขณะเดินไปก็ได้ยินเสียงฮูหยินรองบ่นไม่หยุด
“…ยามนี้บ้านแตกสาแหรกขาดก็เพราะพวกเขา อาศัยแต่นายท่านรองของเรา ยังไม่สำเนียกอีกหรือ หรือต้องทำลายอนาคตของนายท่านรองของเราแล้วพวกเขาจึงจะมีความสุข…”
เหล่าแม่นมรีบเร่งฝีเท้าเดินออกไปให้ไกล
“ข้ารู้แล้ว”
ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย
แม่นมที่อยู่เบื้องหน้ากลับไม่ลุกเดินจากไป
“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ เร็วเข้าหน่อยก็ดีนะเจ้าคะ” พวกนางก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา
ฮูหยินใหญ่เห็นท่าทางของเหล่าแม่นม หากเป็นช่วงก่อนนางคงตกใจบ้าง แต่ยามนี้กลับชินแล้ว
“ไปเถิด” ฮูหยินใหญ่หยิบกุญแจคลังเก็บของส่งให้ผู้ดูแลที่อยู่ข้างกาย “เอาเงินให้นายท่านรองเสีย”
แม่บ้านผู้ดูแลสีหน้าลังเลเล็กน้อย
“แต่ว่า…” นางอยากจะพูดบางอย่างแต่ฮูหยินใหญ่เฉิงส่ายหน้าขัดเอาไว้
“นางพูดถูก อนาคตเป็นเรืองสำคัญ หากไร้ซึ่งอนาคตแล้ว ก็จะสูญเสียทุกอย่าง” นางเอ่ย
แม่บ้านผู้ดูแลรับคำแล้วออกไป
ยามนี้แม่นมและสาวใช้ในบ้านถูกขายออกไปไม่น้อย พอคนออกไปกันจนหมด ทั้งนอกทั้งในเรือนต่างเงียบสงบลงมาก
ฮูหยินใหญ่เฉิงเหม่อมองไปบนโต๊ะอย่างใจลอย นางกำลังเปิดบัญชีเพื่อดูว่าในเรือนยังมีอันใดให้ขายได้อีก
สายตานางตกอยู่บนสมุดบัญชี นี่เป็นบัญชีที่บันทึกไว้เมื่อนานมาแล้ว ชื่อแปลกอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นในสายตา
โจวเกอเหนียง
ฮูหยินใหญ่เฉิงยกมือขึ้นลูบไปมาเชื่องช้า
‘ข้าเอาอย่างที่พี่สะใภ้ใหญ่ว่าเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่ว่ามาเลย ข้าทำเอง’
เสียงพูดของหญิงดังขึ้นข้างหู
แม้ว่าจะสั่งสอนตามหลักกุลสตรี ทว่านางเกิดในตระกูลแม่ทัพ จึงมักจะหยาบกระด้างอยู่บ้าง
ตอนนั้นในใจนางจึงดูถูกดูแคลน พูดไม่เป็นเอาแต่ทำอย่างเดียว
ต่อมาพอแต่งภรรยาคนใหม่เข้าเรือน การศึกษาดีมีคุณธรรมจากครอบครัวนักปราชญ์ สุภาพอ่อนหวาน รู้จักพูดจา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็สบายตาสบายใจ
พอมานึกดูเอาตอนนี้ พูดจาดีแล้วมีประโยชน์อย่างไรเล่า!เอาแต่ประจบสอพลอคนของตัวเอง ในตอนนั้นเกอเหนียงจึงทำได้เพียงปกป้องตัวเองจากขี้ปากของผู้อื่น
ฮูหยินใหญ่เฉิงยกมือขึ้นลูบชื่อนั้น น้ำตาไหลรินลงมาอย่างห้ามไม่ได้
‘พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่อยากตาย ข้าจะตายมิได้ ข้าตายไปแล้วเจียวเจียวร์จะอยู่อย่างไร…’
‘พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าคงไม่ดีขึ้นแล้ว…’
ฮูหยินใหญ่เฉิงโน้มกายฟุบหน้าลงร้องไห้กับโต๊ะ
หากเกอเหนียงยังอยู่ หากเกอเหนียงยังอยู่จะดีเพียงใดหนอ
เสียงกระแอมดังขึ้นภายในโถงด้านใน ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบหยุดร้องไห้ ลนลานเช็ดน้ำหูน้ำตาแล้วลุกขึ้นเดินไปด้านใน
“นายท่าน ฟื้นแล้วหรือ” นางเอ่ยถาม
ทว่ากลับเห็นนายใหญ่เฉิงที่อยู่บนเตียงตื่นตั้งนานแล้ว ในมือยังถือตำราม้วนหนึ่งอยู่
“ไม่ได้หลับ” เขาเอ่ย
ไม่ได้หลับ…เช่นนั้นเรื่องเมื่อครู่นี้เขาก็ได้ยินหมดแล้วน่ะสิ
ฮูหยินใหญ่เฉิงนั่งลงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา นายใหญ่เฉิงก็มิได้พูดอันใดออกมาเช่นกัน ทำเพียงอ่านตำราในมือ ฮูหยินใหญ่เฉิงร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงียบไป นางเอ่ยถามเขาว่ากำลังอ่านอันใดอยู่
“ลำดับบรรพชนของตระกูลน่ะ” นายใหญ่เฉิงเอ่ยบอก
“ดูมันทำไมหรือเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยถาม
นายใหญ่เฉิงยิ้มออกมา ยกมือขึ้นชี้ไปบนนั้น
“เจ้ายังจำได้หรือไม่ ว่าเหตุใดตอนนั้นท่านพ่อจึงตั้งชื่อนี้ให้แก่นาง” เขาเอ่ยขึ้น
ฮูหยินใหญ่เฉิงนิ่งอึ้ง ผู้ใดรึ นางโน้มตัวไปดู
เฉิงฟั่ง
เฉิงฟั่งเป็นใคร
สายตานางเลื่อนขึ้นไปด้านบน เห็นชื่อของนายใหญ่รองเฉิง ทันใดนั้นก็รู้สึกแน่นในหน้าอก
“นายท่าน อย่าดูอีกเลย อย่าได้คิดถึงอีกเลย” นางร้องไห้ออกมาอีกครั้งพลางเอ่ย
นายใหญ่เฉิงแย้มยิ้ม
“เหตุใดถึงไม่ดูเล่า เหตุใดจึงไม่ให้คิด เรื่องราวกับบุคคลอันจริงแท้ที่มีอยู่จริง พอไม่สบายใจ พอทรมานใจ จึงไม่ไปดู จึงไม่ไปคิด สิ่งเหล่านั้นก็จะไร้ตัวตน ก็จะผ่านมันไปได้อย่างนั้นรึ ยิ่งเจอกับความยากลำบากนี้ก็ยิ่งต้องเผชิญหน้ากับมันอย่างตั้งใจ ไม่หลบ ไม่หนี” เขาเอ่ย
ฮูหยินใหญ่เฉิงปาดน้ำตาอย่างจนปัญญา
“แต่หมอบอกแล้วนี่ว่า ท่านป่วยอยู่ อย่าเพิ่งคิดเรื่องใดให้อารมณ์เสีย” นางเอ่ยเตือนอ้อมๆ
นึกถึงหญิงนางนั้นคราใด ก็โมโหไปเสียทุกครั้ง จะต้องโมโหจนตายไปหรืออย่างไรนายใหญ่ถึงจะยอมหยุด
นายใหญ่เฉิงไม่สนใจนาง ยังคงดูชื่อบนตำราต่อ
“เฉิงฟั่ง ตอนนั้นเดิมทีชื่อนี้จะตั้งให้เด็กผู้ชาย สว่างไสว เปล่งประกาย ท่านพ่อก็ทราบดีว่าข้าธรรมดาไม่โดดเด่น น้องรองก็พอจะถูไถไปได้ ดังนั้นอนาคตของตระกูลเฉิงเราจึงต้องพึ่งพิงคนรุ่นหลังแล้ว…” เขาเอ่ยต่อ
ฮูหยินใหญ่ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งร้องไห้ฟูมฟายหนักกว่าเก่า
“อนิจจา อนาคตของตระกูลเรากลับถูกทำลายด้วยมือของนางแล้ว” นางเอ่ยทั้งน้ำตา
“ไม่หรอก” นายใหญ่เฉิงเอ่ย
ไม่อย่างนั้นรึ ฮูหยินใหญ่น้ำตานองมองเขา เขาดูผอมลงไปมาก นายใหญ่เฉิงที่เดิมทีป่วยจนไม่พูดไม่จามาหลายวัน ท่าทางเหมือนกำลังขบคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา นางยังบอกอยู่เลยว่าจะเชิญหมอมาดู
นี่คืออาการ...เสียสติอย่างนั้นหรือ
“เจ้าคิดดูสิ นางสามารถทำลายอนาคตของตระกูลเราได้ เช่นนั้นก็ย่อมแบกรับอนาคตของตระกูลเราได้ด้วยเช่นกัน นี่มันเหตุผลเดียวกันอย่างแท้จริง” นายใหญ่เฉิงเอ่ย พูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะออกมายกใหญ่
นี่มันคือหลักเหตุผลเดียวกันอันใด เขาเสียสติไปแล้วจริงๆ
ฮูหยินใหญ่เฉิงปากอ้าตาค้าง
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ณ ศาลาว่าการเมืองลั่วโจว
นายรองเฉิงกำลังส่งลาชายวัยกลางคนผู้หนึ่งด้วยความเคารพนบนอบ
“เจ้าวางใจได้ เรื่องนี้ใต้เท้าของข้ารู้ดีว่าต้องทำเช่นไร” ชายผู้นั้นเอ่ยขึ้น
“นี่คือเงินตอบแทนจำนวนหนึ่ง ท่านเอาไว้ดื่มชาเถิด” นายรองเฉิงยื่นห่อจดหมายให้เขา
ชายผู้นั้นรับมาอย่างไม่เกรงใจ
นายรองเฉิงสีหน้ายิ่งปีติมากกว่าเดิม
“เช่นนั้นข้าคงไม่ไปส่งด้วยตัวเองแล้ว” เขาเอ่ย
ชายผู้นั้นพยักหน้าด้วยความเข้าใจแล้วหันหลังหลับ
“อ้อ จริงสิ เจ้าอย่าลืมเคลื่อนไหวกับเบื้องบนด้วยละ” เขานึกขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้นพลางยกมือชี้ขึ้น
นายรองเฉิงรีบพยักหน้าทันที
“ขอบคุณใต้เท้าที่เตือน ข้าส่งไปแล้ว” เขาเอ่ย
ชายผู้นั้นจึงได้พยักหน้าแล้วจากไป
นายรองยืนมองชายผู้นั้นจากไปจนลับสายตาที่หน้าประตูเรือน ก่อนจะหันหลังกลับมาด้วยสีหน้าโล่งใจ
“ยินดีกับนายท่านด้วย” บัณฑิตสองเดินออกมาคำนับด้วยรอยยิ้ม “ครานี้ตำแหน่งผู้ตรวจการไหลหยางก็ไม่หนีไปไหนแล้ว”
นายรองเฉิงส่ายหน้าด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม
“ผลยังไม่ออก” เขาเอ่ยขึ้น ทว่าสีหน้ากลับไม่เหมือนที่ยังไม่รู้ผลดั่งปากพูด
“ออกแล้ว ออกแล้ว หลิวอวี้คุนตอบกลับแล้วมิใช่หรือ อาของเขาทางนั้นบอกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างได้ตกลงเสร็จสิ้นแล้ว” ปัญญาชนยิ้มเอ่ย
นายรองเฉิงอมยิ้มไม่เอ่ยคำใด
คราแรกแม้ว่าจะมิได้รับการช่วยเหลือจากจางฉุน แต่หลิวอวี้คุนที่ได้เจอกันหน้าเรือนตระกูลจางกลับไม่เลวเลยทีเดียว ไปมาหาสู่กันมาโดยตลอดเวลาสามปีนี้ อีกทั้งหนทางการเป็นขุนนางของเขาก็สมดังปรารถนา ที่สำคัญที่สุดก็คืออนาคตสายราชการของหลิวผิง ท่านอาของเขาก็ดีมาก
สานสัมพันธ์กับตระกูลเขาครานี้น่าจะไม่มีปัญหาแล้ว
“นับว่าได้ตำแหน่งไหลหยางนี้มาแล้ว” เหล่าปัญญาชนถอนหายใจ “แม้ว่าจะช้าไปสามปีก็เถอะ”
นึกถึงเรื่องนี้ สีหน้านายรองเฉิงก็พลันหม่นหมองลง
สามปี!
เขากัดฟันแน่นอย่างอดไม่ได้ เดิมทีเขาควรจะได้ตำแหน่งนี้มาครองตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าถูกผู้ใดมาทำลายอนาคตเอา เสียเวลาไปอย่างไร้ประโยชน์ตั้งสามปี
สามปี!ในชีวิตของมนุษย์จะมีสามปีได้สักกี่ครั้งกัน!
“เอาเถิดใต้เท้า ไม่ว่าอย่างไร ได้สมดังปรารถนาก็พอแล้ว” บรรดาบัณฑิตต่างรีบปลอบใจเขา
นายรองถอนใจพลางพยักหน้า ได้สมดังปรารถนาก็พอแล้ว เขาฮัมเพลงออกมาอย่างอารมณ์ดีพลางเดินเข้าไปด้านใน
ณ เมืองหลวง ภายในกรมขุนนางที่ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานเงียบสงัดเล็กน้อย บรรดาขุนนางต่างรวมตัวกันซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์อยู่บนถนนสายเล็กของทางไปจวนว่าการ จนกระทั่งมีเสียงกระแอมดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทุกคนจึงได้หันไปมอง ก็เห็นเป็นขุนนางใบหน้าเคร่งขรึมผู้หนึ่ง
“หลิวเจิ้งเหยียน[1]” ทุกคนรีบคำนับทักทาย
ผู้มาใหม่คือบัณฑิตฮั่นหลิน ช่างเขียนแบบ และขุนนางฝ่ายเสมียนกลางฝ่ายขวาแห่งกั๋วจื่อเจียน[2] หลิวผิง
“ไร้ระเบียบวินัยนัก” หลิวเจิ้งเหยียนขมวดคิ้วเอ่ย
ทุกคนต่างรีบหดคอแยกย้ายกันไป
ขุนนางคนหนึ่งเชิญหลิวผิงเข้ามายังโถงราชการด้านใน พลางยื่นสมุดเล่มหนึ่งให้
“ใต้เท้า นี่คือการจัดการโยกย้ายตำแหน่งขุนนางในครานี้ โปรดอ่านดู” เขาเอ่ย
หลิวผิงพลิกเปิดตามอำเภอใจอย่างไม่เกรงใจ พลิกไปได้ไม่กี่หน้าก็หยุดลง ยกมือขึ้นชี้
“คนนี้ ไม่ย้าย” เขาเอ่ย
ขุนนางคนนั้นก้มหน้าดูด้วยความตกใจ เห็นตัวอักษรบนนั้นแล้วก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่
“คนนี้ มิใช่ที่ใต้เท้า…” เขาอดพูดไม่ได้
“ข้าทำไมรึ” หลิวผิงขมวดคิ้วเอ่ยขัดขึ้น
ขุนนางนิ่งอึ้งไป ขุนนางที่รับตำแหน่งอยู่ในวังหลวงแห่งนี้มีคนใดบ้างที่ไร้ไหวพริบปฏิภาณ
“ใต้เท้าท่านพูดถูกขอรับ การโยกย้ายครานี้จำเป็นต้องรอบคอยนัก ต้องตรวจสอบให้เข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิม” เขาเอ่ยขณะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง
หลิวผิงพยักหน้าแล้วเดินจากไป
ขุนนางผู้นั้นยืนอยู่ในห้องด้วยความไม่เข้าใจ เปิดสมุดเล่มนั้นอีกครั้ง
“หรือจะตัดสัมพันธ์กันแล้ว” เขาพึมพำกับตัวเอง
มีคนเดินมาจากด้านข้าง ชะเง้อมองดูแล้วหัวเราะเยาะออกมา
“เจ้าโง่หรือไร เจ้าไม่ดูบ้างว่าคนคนนี้เป็นใคร” เขาเอ่ย
เป็นใครรึ ขุนนางคนนั้นดูชื่อแซ่อย่างตั้งใจ
เฉิงต้ง
อำเภอโจวมีขุนนางมากมาย เขาจะไปจำได้อย่างไร
“เฉิง!” ขุนนางด้านข้างเอ่ยเตือนให้พลางยกมือชี้ไปทางเขตพระราชฐานด้านใน “เพิ่งจะพูดเรื่องทัพตะวันตกเฉียงเหนือน เจ้าก็ลืมแล้วหรือ”
ขุนนางผู้นั้นพลันกระจ่างแจ้ง ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาหยิบพู่กันวงชื่อเฉิงต้งเอาไว้ทันที พอเสร็จแล้วก็ระบายทับชื่อนี้ไปอย่างไม่รอช้า จึงได้วางใจลง
“มีลูกสาวเยี่ยงนี้ ยังคิดอยากจะเลื่อนตำแหน่งอีก ไม่นานตระกูลเขาก็คงล่มสลายแล้ว” เขาพึมพำ
“มันก็ไม่แน่” ขุนนางด้านข้างเอ่ย “เรื่องทัพตะวันตกเฉียงเหนือยังไม่มีมติแน่ชัดออกมาเสียหน่อย”
ขุนนางคนนั้นเบ้ปาก
“ทัพตะวันตกเฉียงเหนือไม่ใช่ถิ่นของนางเสียหน่อย” เขาเอ่ย “คนในกองทัพก็มิใช่ชาวเมืองที่เหล้าเข้าปากแล้วจะเมาเสียหน่อย”
ก็จริงอย่างที่ว่า
“แต่ข้ากลับอยากเห็นนักว่านางจะล่อฟ้าได้อย่างไร…”
“ข้าไม่เคยเห็นฟ้าผ่าคนด้วยตาตัวเองสักครั้ง”
เสียงหัวเราะพูดคุยดังขึ้นภายในโถง ทั้งสองต่างหันไปมองยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
สุดท้ายแล้วเรื่องทัพตะวันตกเฉียงเหนือจะเป็นอย่างไรหนอ
………………
[1] เจิ้งเหยียน ขุนนางในฝ่ายเสมียนกลาง หน้าที่หลักคือจัดทำนโยบาย ความรับผิดชอบโดยมากเป็นการถวายฎีกาและร่างรับสั่ง
[2] กั๋วจื่อเจียน เป็นสถานบันที่ช่วยสนับสนุนกิจการสอบไล่ขุนนางของราชสำนัก มีหน้าที่จัดการเรียนการสอนเพื่อผลิตสุดยอดบัณฑิตของแผ่นดิน