พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 439 เข้าใจ
ยามคนในเมืองหลวงกำลังหันมองทางตะวันตกเฉียงเหนือด้วยความตื่นเต้นนั้น แต่ด้วยระยะทางอันห่างไกล แต่ชาวทัพตะวันตกเฉียงเหนือกลับไม่รู้เลยว่าตนเองคือตัวแปรสำคัญที่จะชี้ผลแพ้ชนะในครั้งนี้
แม้ราชโองการจากราชสำนักยังมาไม่ถึง แต่บรรยากาศภายในเมืองหลงกู่กลับไม่ได้เงียบสงบเลยแม้แต่น้อย
“ดูอะไรกัน!” ชายผู้เป็นหัวหน้าทหารตวาดลั่น
เหล่าชาวเมืองที่กำลังล้อมวงมุงดูกันอยู่ก้มหน้าแล้วพากันแยกย้ายออกไปในทันใด
“ปล่อยตัวสวีซื่อเกินออกมาเดี๋ยวนี้!ไม่เช่นนั้นช้าไม่ยอมจบแน่ๆ!” หลิวขุยตะโกนพลางยกมือขึ้นปาดเลือดที่จมูก
คนเหล่านั้นจ้องหน้าเขา
“ไสหัวไป” พวกเขาเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า
“พวกเจ้าบีบบังคับให้ฟ่านเจียงหลินต้องหนีไป ยามนี้ยังจะจับตัวสวีซื่อเกินอีกหรือ พวกเจ้ากลัวอันใดกัน หรือว่ากลัวเรื่องการตายอย่างไร้ความยุติธรรมของพวกพ้องของสวีซื่อเกินทั้งห้าจะแดงออกมา เจียงเหวิน
หยวน เจ้ากลัวอันใดหรือ” หลิวขุยตะโกน
พอได้ยินเสียงตะโกนนั้น เหล่าชาวเมืองจอมสงสัยใคร่รู้ที่ยืนอยู่ห่างออกไปก็สลายตัวกันในทันที เรื่องเช่นนี้จะเข้าไปมุงดูไม่ได้ แม้แต่ได้ยินก็ไม่ควรจะได้ยิน ไม่ควรแม้แต่จะพูดถึงด้วยซ้ำ หากต้องโทษก่อกบฏสมรู้ร่วมคิดกับโจรตะวันตกเข้าละก็ มีหวังได้นอนตายอยู่ในคุกเป็นแน่
ทันใดนั้นเองหลิวขุยก็ถูกต่อยเข้าอย่างแรงหนึ่งหมัด
“มัดตัวเขาไว้ โทษฐานฝ่าฝืนคำสั่งของกองทัพ” แม่ทัพผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น
ชายเจ็ดแปดคนกระโจนตัวเข้าไปรุมล้อมหลิวขุยเอาไว้
ขณะเดียวกันก็มีเสียงฝีเท้าม้าควบมาอย่างว่องไว ขบวนม้ากำลังเคลื่อนเข้ามาบนถนน
“ทำอะไรน่ะ” คนที่อยู่บนม้าตะโกนขึ้น
ทุกคนเงยหน้ามองก็รีบผละมือออกแล้วก้มหน้า
“ใต้เท้าโจว คนผู้นี้เมาแล้วอาละวาดในศาลาว่าการ พวกข้าได้รับคำสั่งให้จับกุมเขาขอรับ” แม่ทัพผู้เป็นหัวหน้าเอ่ย
โจวเฟิ่งเสียงไม่เอ่ยคำใด แต่กลับพลิกตัวลงจากม้า
“พอได้แล้ว พาเขาออกไปแล้วปลุกให้สร่างก็พอ” จ้าวเฉิงที่อยู่ข้างกันโบกมือไล่
เหล่าทหารผู้น้อยขานรับแล้วพยุงตัวหลิวขุยออกไป
แม่ทัพผู้นั้นกำลังจะเอ่ยปากพูดแต่โจวเฟิ่งเสียงกลับเดินเข้ามาใกล้
“ถอยไป” ผู้ติดตามตวาดไล่
แม่ทัพผู้นั้นก้มหน้าแล้วหลีกทางให้ในทันใด
“ท่านรองสั่งให้จับคนเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร”
ภายในศาลาว่าการ โจวเฟิ่งเสียงเอ่ยถามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
เจียงเหวินหยวนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะสีหน้าเรียบเฉย แต่ก่อนหากได้ยินคำเรียกนี้เขาคงรู้สึกระคายหูนัก แต่ยามนี้กลับรู้สึกจิตใจแสนสงบ ราวกับรู้ว่าคงต้องทรมานถูกเรียกขานเช่นนี้อีกเพียงแค่ไม่กี่วัน
“สวีซื่อเกินก่อข่าวลือ มอมเมาเหล่าทหาร ย่อมต้องลงโทษตามกฎของกองทัพ” เขาเอ่ยพลางโยน
สาส์นกราบทูลข้อราชการออกไป
โจวเฟิ่งเสียงหยิบสาส์นขึ้นมา
“เขาก่อข่าวลืออันใดกัน เจ้าต่างหากที่ก่อข่าวลือ ยามนี้ยังไม่วุ่นวายพออีกหรืออย่างไร” เขาเอ่ยพลางเปิดคลี่สาส์นฉบับนั้น ทันใดสีหน้าก็เปลี่ยนไป ท่าทางเป็นกังวล “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“เรื่องด่วนจากราชสำนัก ข้าสอบสวนใกล้จะเสร็จแล้ว” เจียงเหวินหยวนเอ่ยพลางหัวเราะ ก่อนจะเชิดคางขึ้นแล้วมองหน้าโจวเฟิ่งเสียง “ในเมื่อเป็นคำร้องไม่ไว้วางใจข้า ข้าเองก็ย่อมต้องพยายามอย่างเต็มที่”
“หากเจ้าพยามอย่างเต็มที่ ก็ย่อมต้องนิ่งเฉยอย่าได้ก้าวก่าย” โจวเฟิ่งเสียงเอ่ยขึ้นแล้วโยนสาส์นในมือลง “เจ้าทำเช่นนี้เรียกว่าสอบสวนได้หรือ เหตุใดถึงกลายเป็นว่าเขาร้ายป้ายสีผู้อื่นได้เล่า”
“สอบสวนสวีซื่อเกินไม่ถูกต้องหรือ ในเมื่อเขาเป็นคนยื่นเรื่องเอง หากไม่สอบสวนจากเขาจะให้ไปสอบสวนผู้ใด” เจียงเหวินหยวนเอ่ย “เขามิได้ร่วมศึก ไม่ได้เห็นเองกับตา ฟังคำคนอื่นพูดมาทั้งนั้น เช่นนี้ไม่เรียกว่าสร้างข่าวลือ ไม่เรียกว่าใส่ร้ายป้ายสีอีกหรือ”
โจวเฟิ่งเสียงโมโหแต่กลับหัวเราะออกมา
“เขาไม่ได้ออกศึก ก็ใช่ว่าผู้อื่นจะไม่ได้ออกศึกด้วย เขาไม่ได้เห็นเองกับตาจึงกลายเป็นว่าสร้างข่าวลืออย่างนั้นหรือ เช่นนั้นฟังคนที่เห็นเองกับตาแล้วบอกต่อ เช่นนี้ก็เรียกว่าสร้างข่าวลืออย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ย
เจียวเหวินหยวนราวกับรอให้เขาเอ่ยประโยคนั้น พอได้ยินแล้วก็วางมือบนโต๊ะแล้วยิ้มบาง
“ใต้เท้าผู้ตรวจการเข้าใจเช่นนั้นก็ดี ข้าเองก็ได้ไปถามมาหมดแล้ว” เขาเอ่ยพลางหยิบสาส์นอีกฉบับขึ้นมา “ไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชาหรือว่านายทหารผู้น้อย ข้าก็ได้สืบถามอย่างชัดแจ้งแล้ว ว่าตอนนั้นได้รับข่าวมาอย่างไร ว่าแผนกลศึกอย่างไร…”
พอพูดคำนั้นออกมารอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไป พร้อมทั้งเน้นย้ำคำว่ากลศึก
สีหน้าของโจวเฟิ่งเสียงเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
“ว่าแต่… ก็เหลือเพียงแค่ใต้เท้าผู้ตรวจการแล้วล่ะ ที่ข้าไม่กล้าถาม ใต้เท้านั้นรู้แจ้งอยู่แก่ใจยิ่งกว่าผู้ใด เช่นนั้นแล้วใต้เท้าเขียนสำนวนเองเถิด” เจียงเหวินหยวนเอ่ยพลางยื่นสาส์นในมือให้
โจวเฟิ่งเสียงชะงักไปครู่หนึ่งแล้วยื่นมือออกไปรับ แต่เจียงเหวินหยวนกับไม่ยอมปล่อยมือ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
“หากใต้เท้าไม่เชื่อใจข้า เช่นนั้นท่านก็ลองไปถามเองเถิด ถามให้หมดทุกคน ถามให้รู้แน่ชัด” เจียง
เหวินหยวนเน้นชัดหนักแน่นทุกพยางค์
โจวเฟิ่งเสียงยื่นมือออกไปกระชากสาส์นนั้นมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ขอบใจใต้เท้ารองที่เตือน” เขาเองก็เน้นเสียงหนักทุกคำเช่นกัน
พอเห็นโจวเฟิ่งเสียงเดินออกไป ฟางจ้งเหอที่อยู่ห้องโถงปีกข้างก็เดินเข้ามา ก่อนจะคำนับด้วยท่าทางร้อนรน
“ใต้เท้า ข้าน้อยกลับไปได้หรือยังขอรับ” เขาถาม
“กลับไปได้แล้ว” เจียงเหวินหยวนเอ่ย
“เช่นนั้นใต้เท้าโจวเขา… จะมาถามข้าน้อยอีกหรือไม่…” ฟางจ้งเหอถามอย่างร้อนใจ พลางเหลียวซ้ายแลขวา แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของโจวเฟิ่งเสียงแล้ว
“เขาไม่ถามหรอก” เจียงเหวินหยวนมองไปข้างนอกแล้วแค่นยิ้ม “แล้วก็คงไม่กล้าถามด้วย”
“นั่นสิขอรับใต้เท้า มีอันใดให้ถามอีก ไม่ใช่เรื่องน่าเห็นดีเห็นงามเสียหน่อย…” ฟางจ้งเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทว่ายังไม่ทันพูดจบ เจียงเหวินหยวนก็เหลียวมามองเขาตาเขียว
ฟางเจ้อเหอก็ฉลาดพอที่จะไม่พูดต่อ
“ไม่ใช่เรื่องน่าเห็นดีเห็นงาม เจ้าหมายถึงเรื่องที่หนีออกมาระหว่างศึกสงครามน่ะหรือ” เจียงเหวินหยวนเอ่ยเสียงเยือกเย็น
ฟางจ้งเหอรีบคุกเข่าลงในทันใด
“ไสหัวไป หากยังไม่มีใจจงรักภักดีต่อบ้านเมืองเช่นนี้อีก เจ้าคงหนีไม่พ้นกฎของกองทัพเข้าสักวัน” เจียงเหวินหยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
ฟางจ้งเหอโขกหัวกับพื้นอย่างแรงสามหน เขาเอ่ยขอบคุณใต้เท้าแล้วลนลานวิ่งออกไป
“เป็นเพราะฟางเจ้อเหอก่อเรื่องทั้งนั้น…” ชิงเค่อที่อยู่ข้างกายเอ่ยขึ้น
“แบบนี้จะเรียกก่อเรื่องได้อย่างไร” เจียงเหวินหยวนพูดแทรกขึ้น แล้วขมวดคิ้วเอ่ยต่อว่า “เขาไม่ทำตามคำสั่งหรือ เขาไม่ได้ไปที่ป้อมหลินกวานหรือ เขาส่งข่าวบอกกองหนุนไม่ทันเวลาหรือ เขาไม่ใช่คนที่พากำลังพลเพียงน้อยนิดต้านศัตรูปกป้องเมืองหรือ”
ใช่ ใช่ทั้งหมด
เหล่าชิงเค่อพยักหน้าขานรับ
“แล้วเขาก่อเรื่องอันใดเล่า เพราะเขาไม่ได้ตายในสนามรบจึงต้องโทษอย่างนั้นหรือ” เจียงเหวินหยวนเอ่ยพลางลุกยืนขึ้น “ศึกป้องกันเมืองนั้นน่าเวทนานัก เจ็บตายย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงเพราะคนตายไม่กี่คน จะมาบีบบังคับคนที่มีชีวิตรอดเช่นนี้ได้อย่างไร”
เหล่าชิงเค่อพยักหน้าอีกครั้งแล้วขานตอบว่าไม่ได้อย่างพร้อมเพรียง
“พวกเราเข้าใจเหตุผลดี คนที่ประจำชายแดนพร้อมออกศึกทุกวันอย่างพวกเราย่อมเข้าใจดี แต่พวกขุนนางฝ่ายบุ๋นในเมืองหลวง ที่วันๆ เอาแต่ขี้ม้าทัดดอกไม้ข้างหู เที่ยวร่อนไปวันๆ จะไปรู้อะไร ในสายตาของพวกเขา พวกเราตายในสนามรบคือเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว” มีคนเอ่ยขึ้น
เจียงเหวินหยวนหน้าดำคร่ำเครียด
“ขุนนางฝ่ายบู๊เช่นพวกเรา ชนะศึกจะเรียกร้องคุณงามความดีใดก็ไม่ได้ แพ้ศึกก็ต้องโทษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังไม่ทันได้ขยับตัวไปไหนก็มีคนร้องเรียนไม่ไว้วางใจ” เขาเอ่ย “หากคราวนี้ข้ายอมรับผิด วันหน้าคนก็คงแห่ไปตีกลองร้องทุกข์ถึงเมืองหลวงกันหมด ที่นี้กองทัพจะทำศึกกันอย่างไรเล่า!”
เหล่าชิงเค่อพยักหน้า
“แต่ใต้เท้าผู้ตรวจการโจวดูจะปกป้องห้าพี่น้องจากเขาเม่าหยวนซานนั่นเสียเหลือเกิน…” คนหนึ่งเอ่ยอย่างกังวลใจ
“แล้วอย่างไรเล่า เพื่อคนจากเขาเม่าหยวนซานพวกนั้น เขาจะยอมสละอนาคตของตนเองหรือ ที่เขาอยากจะเปิดโปงเรื่องนี้ ก็เพราะจะชี้ความผิดว่าในตอนนั้นพวกเราสืบข่าวคลาดเคลื่อนอย่างนั้นหรือ วางแผนผิดพลาดอย่างนั้นหรือ ประมาทเลินเล่อจนก่อให้เกิดความเสียหายอย่างนั้นหรือ ได้ชัยชนะมาแต่สูญเสียไปมากกว่าอย่างนั้นหรือ หากพูดเช่นนั้นออกไป จะมีประโยชน์อะไรกับเขา” เจียงเหวินหยวนเอ่ยพลางหัวเราะ “เขางัดกับข้ามานานถึงขนาดเพื่ออันใดกัน เพื่อจะไล่ออกไปพวกเราจากทัพตะวันตกเฉียงเหนืออย่างนั้นหรือ เขาอยากทำเช่นนั้น คิดว่าคนอื่นจะไม่อยากเหมือนกันหรือ!”
หากได้ย่ำเท้าเข้าสู่ตำแหน่งขุนนางฝ่ายบู๊แล้ว ก็เหมือนถูกล่ามโซ่ตรวนที่ตัดไม่ขาดไปตลอดชีวิต พอเป็นขุนนางแล้วก็ต้องก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น กลายเป็นเป้าหมายที่ไม่อาจละทิ้งได้ในชีวิตนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ชีวิตของตน แต่ยังต้องทำเพื่อลูกหลาน เพื่อเกียรติยศและความมั่งคงชนรุ่นหลัง
“ประพฤติชอบดั่งเซี่ยอัน[1] ละทิ้งทุกสิ่ง หนีไปอยู่ในป่าเขาเพื่อเกียรติยศของตระกูล แม้โจวเฟิ่งเสียงจะเด็ดเดียวเพียงใดก็คงไม่เท่าเซี่ยอันหรอกกระมัง” เจียงเหวินหยวนแค่นยิ้มพลางเอ่ย
“ใต้เท้า!ใต้เท้า!”
เมื่อเห็นโจวเฟิ่งเสียงเดินออกมา หลิวขุยก็พุ่งตัวเข้าหาแต่ถูกเหล่าผู้ติดตามรั้งไว้เสียก่อน
“ใต้เท้า ได้โปรดช่วยเหลือสวีซื่อเกินด้วยเถิด”
โจวเฟิ่งเสียงเหลือบมองเขาแล้วก้าวเท้าเดินต่อไป
“ใต้เท้า!” หลิวขุยชะงักไปเพราะความโกรธ ไม่สนใจเหล่าผู้ติดตามที่ขวางไว้ พยายามจะโถมตัวเข้าหา “ใต้เท้า!”
โจวเฟิ่งเสียงหยุดฝีเท้าลง
“สวีซื่อเกินต้องโทษก่อข่าวลือ ปลุกปั่นทหารในกองทัพ” เขาเอ่ย
“ใต้เท้าเขาไม่ได้ก่อข่าวลือหรือพูดจาเหลวไหล นั่นเป็นความจริงทั้งสิ้น ล้วนแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น” หลิวขุยเอ่ย
“หลักฐานเล่า” โจวเฟิ่งเสียงเหลียวไปมองเขาแล้วถาม
หลิวขุยอ้าปากแต่กลับพูดไม่ออก
“เจ้าเป็นพยานได้หรือไม่” โจวเฟิ่งเสียงพูดต่อ “สวีซื่อกินไม่ได้ร่วมศึกที่ป้อมหลินกวาน เจ้าเองก็ไม่ได้ร่วม แล้วเหตุใดถึงได้พูดเป็นเรื่องไปราวได้ขนาดนี้ เพราะฟ่านเจียงหลินเป็นคนบอกอย่างนั้นหรือ ผู้ที่ร่วมรบในศึกป้อมหลินกวานมีเกือบสองพันคน นอกจากคนที่ตายไปนับร้อยแล้ว ก็มีเพียงฟ่านเจียงหลินเท่านั้นที่พูด อีกร้อยกว่าคนไม่เห็นจะพูดอันใด หลิวขุย เช่นนี้แล้วจะให้ราชสำนักเชื่อได้อย่างไร เจ้าจะให้ชาวเมืองเชื่อได้อย่างไร”
หลิวขุยอ้าปากจะพูดก็เหมือนลิ้นจุกคอ
โจวเฟิ่งเสียงเอ่ยพลางมองไปที่เขาแล้วก้าวเดินต่อไป คราวนี้หลิวขุยไม่ได้ตามแค่ก็ยืนนิ่งอยู่ริมทาง
นั่นสินะ เรื่องราวบนโลกนี้ง่ายดายเช่นนั้นเสียที่ไหน...
ผู้คนเดินขวักไขว่บนถนน มองดูชายผู้หนึ่งที่ยืนเหม่อลอยอยู่ริมทาง ทุกคนพากันชี้นิ้วพลางเดินเลี่ยงออกไป
……………….
[1] เซี่ยอัน (谢安) ขุนนางในสมัยโบราณเป็นผู้ประพฤติชอบ มากความสามารถ เหล่าขุนนางอื่นอิจฉาริษยาใส่ร้ายจนทำให้ต้องตัดสินใจออกจากราชการแล้วใช้ชีวิตอย่างสันโดษในป่า เพื่อปกป้องชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล