พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 443 ไม่รีบ
“โจวเฟิ่งเสียงส่งสาส์นสารภาพผิด!”
“ด้วยความผิดอะไร เหตุการณ์เขาเม่าหยวนที่ละเลยในหน้าที่อย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่ แต่เป็นการรายงานเท็จว่าด้วยเรื่องความดีความชอบในศึกสงครามกับกองทัพโจรตะวันตก”
“สวรรค์ เหตุใดถึงเป็นเรื่องรายงานความดีความชอบเท็จได้เล่า”
หลังจากที่ฮ่องเต้ด่าทอด้วยความเกรี้ยวกราด แม้ประตูท้องพระโรงจะปิดแน่นเพียงใดก็ไม่อาจหยุดยั้งให้ข่าวแพร่กระจายออกไปได้ ชั่วพริบตาสำนักราชเลขาและสำนักอื่นที่อยู่ในเขตรอบรั้งวังหลวงก็ล้วนทราบเรื่องนี้กันหมด
นี่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ และเมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้ว กรณีของเหล่าพี่น้องเขาเม่าหยวนซาน แม่นางหมอเทวดาที่เรียกสายฟ้านั้นกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
การรายงานเท็จในเรื่องความดีความชอบทางทหารเป็นความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง ราชวงศ์โจวให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ฝักใฝ่ในการศึกษา ไม่ประหารขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่กลับกล้าลงมือกับขุนนางฝ่ายบู๊ แม้จะไม่มีเหตุผลอันสมควรก็สามารถประหารแม่ทัพได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรายงานเท็จในเรื่องความดีความชอบทางทหาร
เหตุใดถึงเป็นเรื่องรายงานความดีความชอบเท็จไปได้ ใช่ ใช่อยู่ที่รายงานเท็จ มิใช่เรื่องที่ฟางจ้งเหอรายงานเท็จจากศึกป้อมหลินกวนหรือ เหตุใดถึงกลายเป็นเรื่องความดีความชอบในสงครามกองทัพโจรตะวันตกไปได้
เกาหลิงปอที่ยืนอยู่กลางโถงยังคงงวยงง
“…ณ ตอนนั้น ทหารสอดแนมของฝั่งตะวันตกส่งสาสน์รายงาน คาดเดาว่ามีโจรตะวันตกห้าพันคน แม่ทัพและทหารของหลงกู่เรารวมกันหมื่นนาย เมื่อเปรียบเทียบดูแล้ว ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ต้องเป็นของฝ่ายเราเป็นแน่ พวกข้ากระหายชัยชนะ ไม่ได้รอทหารสอดแหนมของกองทัพอื่นส่งสาส์นมา ก็ได้ออกคำสั่งให้กองทัพออกจากค่าย…”
“… หลังจากไฟสงครามของป้อมหลินกวานปะทุขึ้น จึงได้รับสาส์นด่วนจากม้าเร็ว ถึงตระหนักว่าไม่เพียงแต่ไม่สามารถล้อมพวกโจรตะวันตกได้ แต่ตอนนั้นกลับถูกทหารของโจรตะวันตกล้อมไว้แทน…”
“…มีโจรตะวันตกสองพันนายอยู่ด้านหน้า และมีกองทัพหลักแปดพันนายของผู้นำทัพอย่างราชาโจรตะวันตกอยู่ด้านหลัง ต้องประจันหน้าด้วยความหวาดผวา”
“…กลุ่มโจรตะวันตกทำลายป้อมปราการสองแห่ง กองทัพเราบาดเจ็บนับพัน…”
“…รักษาเมืองหลงกู่ไว้ได้ จนในที่สุดกองทัพราชาโจรตะวันตกถอยหนี กล่าวได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างตึงกำลัง ไม่มีใครแพ้ ใครชนะ…”
“…หากศึกครั้งนี้ได้รับการตรวจสอบอย่างรอบคอบล่วงหน้า ก็คงจะไม่ตกหลุมพลางในกลอุบายของโจรตะวันตก และหากวางแผนอย่างเหมาะสมก็คงไม่มีคนบาดเจ็บหรือล้มตายมากถึงเพียงนี้…”
“…ข้าในฐานะผู้ตรวจการ แต่กลับใจร้อนต้องการเห็นความสำเร็จในทันที ข้าได้รับความเมตตาจากฝ่าบาท แต่กลับไม่คิดตอบแทน…”
เสียงของขันทีดังก้องไปทั่วท้องพระโรง
ไร้สาระสิ้นดี!นี่คือการใส่ความ!ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง นี่มันเป็นการสร้างความสับสนให้กับผู้ฟัง!
ถึงกระนั้น ก็ยังได้ชัยชนะและรักษาเมืองหลงกู่ไว้ได้ ก็ถืออว่าเป็นชัยชนะ จะนับว่าเป็นการรายงานเท็จในเรื่องความดีความชอบได้อย่างไร!
“ในเมื่อไม่ใช่รายงานเท็จ เหตุใดถึงปกปิดไม่ยอมตรวจสอบเหตุที่ป้อมหลินกวาน ไม่ยอมรายงาน เหตุใดถึงบีบบังคับพี่น้องจากเขาเม่าหยวนให้มาเมืองหลวง!”
ฝ่าบาทเอ่ยเสียงเนิบ ดวงตาจับจ้องไปที่เกาหลิงปอ
หัวใจของเกาหลิงปอกระตุก คล้ายกับความคิดในสมองที่วุ่นวายชัดเจนขึ้น
“…เราเองยังรู้สึกว่าครั้งนี้ส่งมาเร็วเชียว ที่แท้ก็เพราะกังวล ไม่อยากตรวจสอบต่อ…”
เสียงของฮ่องเต้ลอยลงมาจากด้านบน ราวกับกระแทกเข้าเข้าหัวของเกาหลิงปอ เสียงดังจนเรียกสติเขากลับมา
เป็นเช่นนี้นี่เอง!
เกาหลิงปอมองไปที่เฉินเซ่าทันที
เฉินเซ่า!
ติดกับแล้ว!
เขาชี้นำหลอกล่อให้ฮ่องเต้เข้าใจว่าเฉินเซ่ากับแม่นางเฉิงมีบุญคุณระหว่างมาโดยตลอด ขณะที่เฉินเซ่าเองก็พายเรือตามน้ำทำให้ตนคิดว่าเป็นเช่นนั้น!
ติดกับแล้ว!
เขาคิดเสมอว่าเฉินเซ่าต้องการช่วยชีวิตแม่นางเฉิง เขาถึงได้อ้างเหตุที่เกิดขึ้นกับพี่น้องเขาเม่าหยวนซาน เพื่อลากเฉินเซ่าลงเหว ทว่าเฉินเซ่ากลับไม่คิดเช่นนั้น!
เพื่อแม่นางเฉิง เพื่อพี่น้องเขาเม่าหยวนซาน ไร้สาระทั้งนั้น เขาแค่ต้องการให้กองทัพทหารตะวันตกเฉียงเหนือยอมรับว่าเหตุการณ์ป้อมหลินกวนเกิดขึ้นจริง!
เมื่อยอมรับว่าเป็นความจริง ความสงสัยของฮ่องเต้ก็จะคลี่คลาย!
เหตุการณ์ป้อมหลินกวนเกิดขึ้นจริง จะมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่
เหตุการณ์ป้อมหลินกวนกล้าปกปิด จะมีเรื่องอื่นปกปิดอีกหรือไม่
อันที่จริง รายงานเท็จในเรื่องความดีความชอบนั้นไม่ได้มีอะไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่ และไม่น่ากลัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้โจวเฟิ่งเสียงรับผิดเพียงผู้เดียว เพราะแม้ทั้งกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือจะมารับผิดกันหมด ก็ไม่น่ากลัว
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความสงสัยของฮ่องเต้!
ครั้งนี้ กองทัพตะวันตกเฉียงเหนือทำให้ฮ่องเต้สงสัย ฉะนั้น การกระทำและคำพูดใดๆ ต่อจากนี้ ก็หลีกหนีความสงสัยจากโอรสแห่งสวรรค์ไม่พ้นอีกต่อไป
แย่แล้ว นี่คือการขุดรากถอนโคนกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือเลยนะ!
จิตสังหารผุดขึ้นในใจของเกาหลิงปอชั่วขณะ เขาอยากจะกลืนกินเฉินเซ่าเสียตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด!
เหตุใดถึง…เหตุใดถึง…เป็นเช่นนี้ไปได้!
เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร ทำสำเร็จต่อหน้าต่อตาข้าได้อย่างไร!
ดูเหมือนว่าทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของตน จึงโล่งใจ แต่กลับถูกเขาเล่นงานจากช่องโหว่นี้!
เขาเอาแต่จดจ่อกับเฉินเซ่าและแม่นางหมอเทวดา ไม่สนใจเหตุการณ์ของเหล่าพี่น้องเขาเม่าหยวนซาน ฮ่องเต้ย่อมรู้สึกรังเกียจเฉินเซ่าและแม่นางเฉิงเป็นแน่ เขาคิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าตั๊กแตนไล่จับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง[1]!
เฉินเซ่า!เกาหลิงปอโมโหจนกัดฟัน
ประตูของท้องพระโรงและวังหลวงไม่สามารถยับยั้งให้ข่าวนี้รั่วไหลออกไปได้ โจวเฟิ่งเสียงส่งสาส์นขอรับผิด ชี้ชัดว่าเรื่องที่กองทัพตะวันตกเฉียงเหนือรายงานความดีความชอบเท็จนั้นเลื่องลือไปทั่วแล้ว เดิมทีคลื่นได้กระเพื่อมในราชสำนักแล้ว แต่บัดนี้ก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
“ไม่เลว โจวเฟิ่งเสียงทุ่มสุดตัวและเอาอนาคตมาเดิมพันด้วย”
“วิธีของอำมาตย์เฉินทั้งไร้ความปราณีแล้วเฉียบขาดนัก ลงมือจนกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือรับมือไม่ทัน ทั้งยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะตอบโต้”
“สละโจวเฟิ่งเสียงเพื่อแลกกับเจียงเหวินหยวน ไม่ ไม่ ไม่ใช่แค่เจียงเหวินหยวน พรรคพวกของเจียงเหวินหยวนทั้งหมดจะปั่นป่วน การเดิมพันครั้งนี้ช่างคุ้มค่านัก”
“ไม่เพียงแค่ครั้งนี้ ยังรวมถึงครั้งก่อนด้วย ครั้งนี้รายงานความดีความชอบเท็จ แล้วครั้งก่อนๆ จะมีเรื่องจริง เรื่องเท็จอยู่เท่าไรเชียว”
“อีกอย่าง ยามนี้ฝ่าบาทกำลังหงุดหงิดเรื่องพี่น้องจากเขาเม่าหยวนซาน อับอายต่อหน้าสาธารณชน…และกำลังโมโหจนไม่มีที่ระบาย…กองทัพตะวันตกเฉียงเหนือกลับเสนอหน้ามา…หากฝ่าบาทไม่ลงมือ เห็นทีจะไม่ได้การ...”
“จบแล้ว ครั้งนี้ต้องตรวจสอบอย่างหนักเป็นแน่”
“อาจถึงขั้นติดคุก...”
“พวกเจ้าคาดว่ามีกี่คน”
“คิดว่าเรื่องนี้ตัดสินเสร็จสิ้นแล้วเสียอีก นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นแค่จุดเริ่มต้น!”
เหล่าขุนนางวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา วันต่อมาถึงกับแพร่ไปทั่วทุกร้านอาหารและโรงน้ำชา
“…ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น อย่างน้อยผู้โชคร้ายอย่างก็หลูเจิ้งปลอดภัยแล้ว แถมยังถูกมองว่าเป็นผู้ตรวจสอบด้วยความซื่อสัตย์…”
ณ เรือนตระกูลจาง นายท่านจางกำลังคุยกับเสนาธิการชิงเค่อ
เสนาธิการชิงเค่อพยักหน้า
“ครั้งนี้หลูเจิ้งไม่เพียงแต่รักษาชีวิตไว้ได้ แต่ยังกลับสู่ตำแหน่งเดิมได้อีกด้วย” เขาเอ่ย
นายท่านจางส่ายศีรษะ
“ตำแหน่งผู้ช่วยราชเลขาธิการคนต่อ เขาเองก็คงมีสิทธิ์เข้าชิงแล้ว” เขาเอ่ย
พูดถึงตรงนี้ ทั้งสองสบตาแล้วยิ้มให้กัน
สาวใช้ที่รออยู่ด้านข้างทนฟังไม่ไหวแล้ว
“นายท่าน นายท่าน แล้วนายหญิงข้าล่ะเจ้าคะ” นางถามอย่างกังวล นางไม่สนใจหลูเจิ้งหรือกรมกิจการทหารตะวันตกเฉียงใต้อะไรนั่นทั้งนั้น นางอยากรู้เพียงว่าฮ่องเต้จะตัดสินนายหญิงของนางอย่างไร
นายท่านจางเหลือบมองนางแล้วหันไปมองชิงเค่ออีกครั้ง
“เห็นแล้วหรือไม่ สามสี่ปีมาแล้ว เจ้ายังไม่ใช่คนของตระกูลข้าอีกหรือ…” เขายิ้มเอ่ย
สามสี่ปีมานี้ สาวใช้คุ้นเคยกับนิสัยของนายท่านจาง นางจึงไม่ได้ตื่นตระหนกหรือเกรงกลัวแต่อย่างใด ทั้งยังเดินก้าวเข้าไปใกล้
“นายท่าน ข้าโง่เขลานัก ท่านอย่าแกล้งข้าเลย” นางพูดด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“ปั้นฉิน ไม่มีอะไรแล้ว หลูเจิ้งคือฝั่งโจทก์ นายหญิงของเจ้าก็เช่นกัน ตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว นายหญิงของเจ้าก็ต้องไม่เป็นอะไรเช่นกัน” ชิงเค่อยิ้มเอ่ย
สาวใช้มองไปที่นายท่านจาง นายท่านจางพยักหน้าให้กับนาง นางจึงร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ ยกมือประนมขึ้นสวดมนต์
“แม้พูดว่านางไม่เป็นอะไร”
เมื่อเห็นสาวใช้วิ่งหนีไปอย่างมีความสุข ชิงเค่อก็ส่ายศีรษะอีกครั้งแล้วเอ่ย
“แต่ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร”
นายท่านจางลูบเคราไม่พูดคำใด แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง
“ครั้งนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับทางตะวันตกเฉียงเหนือ ใครได้หรือเสียประโยชน์ นางล้วนไม่ได้ประโยชน์จากมัน จะฝ่าบาทก็ดี หรือเหล่าขุนนางก็ดี ล้วนแต่จะจำได้เพียงว่าเรื่องนี้ถูกจุดชนวนขึ้นได้อย่างไร” ชิงเค่อเอ่ย “นับตั้งแต่นางใช้ชื่อเสียงของตนก่อเรื่องนี้ขึ้น ผลลัพธ์นั้นก็ถูกกำหนดไว้แต่ต้นแล้วแล้ว”
อาศัยชื่อเสียงและบารมีขู่เข็ญให้เรื่องนี้ดังขึ้น ในสายตาของราชสำนักแล้ว ล้วนเป็นสิ่งต้องห้าม น่าขยะแขยง ทั้งยังต้อกำจัด
“หากเป็นเช่นนี้ กล่าวได้ว่านางถูกใช้เป็นเครื่องมือหรือ” นายท่านจางยิ้มเอ่ย “แต่ทว่า ในที่สุดก็ได้กอบกู้ชื่อเสียงให้กับพี่น้องจากเขาเม่าหยวนซานนะ”
“แต่ได้ชื่อเสียงกลับคืนมาแล้วมีความหมายอันใดเล่า” ชิงเค่อถาม
“ได้ชื่อเสียงกลับคืนมา ย่อมมีความหมาย” นายท่านจางตอบพลางตบม้วนหนังสือบนโต๊ะเบาๆ “นางแค่ต้องการอธิบายให้กับพี่น้องจากเขาเม่าหยวนซาน”
ชิงเค่อเหลือบมองแล้วจึงเห็นคัมภีร์ไท่ผิง
“ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ จะตายหรือมีชีวิตอยู่ ก็ล้วนต้องการชื่อเสียงทั้งนั้น” นายท่านจางยิ้มเอ่ย “มีดเล่มนี้คมนัก”
“เจ้ารู้เรื่องที่พวกเขาทำหรือไม่”
ขณะเดียวกัน ณ เรือนของเฉิงเจียวเหนียงบริเวณสะพานอวี้ไต้ เสียงของท่านชายโจวหกก็ดังขึ้น
“เรื่องอะไรบ้างหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
“ใครเผยแพร่และปลุกปั่นชื่อเสียงของเจ้าเกินจริง ใครจับกุมสวีซื่อเกิน ใครวางแผนให้ขุนนางทหารพูดผสมโรง ใครสนับสนุนให้ผู้คนมาสร้างวัดจากการฝังคนเป็นที่ตำหนักไท่อีให้กับเจ้า…” ท่านชายโจวหกกัดฟันเอ่ย พร้อมกับกำมือบนตักไว้แน่น
ใคร ใครล้วนมีศัตรูกันทั้งนั้น ควรมีคนที่มีความเมตตา คนที่เกลียดแค้น คนที่มีพระคุณ…
เฉิงเจียวเหนียงยิ้ม
“ข้าไม่จำเป็นต้องรู้” นางเอ่ย
“แต่พวกเขาอาศัยการเหยียบย่ำเจ้าจนได้ประโยชน์!” ท่านชายโจวหกกัดฟันเอ่ย “นี่เป็นทำลายเจ้า ทำให้เจ้าไม่มีที่ยืนในเมืองหลวง”
ฟ่านเจียงหลินที่เดินถึงข้างประตูหยุดเดินเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้
“น้องสาว” เขาตะโกนเรียก กำมือที่พึงประตูไว้แน่น
เป็นเพราะเรื่องนี้ เจ้าถึงถูกขับไล่ใช่หรือไม่
“ข้าอยากอยู่ที่ไหนก็ย่อมได้ตามที่ข้าต้องการ ไม่มีใครและไม่มีเรื่องอะไรที่จะขัดขวางข้าได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นยืน “อีกอย่าง คนอื่นจะอาศัยข้าได้อะไร ข้าไม่สนใจ ข้าสนใจเพียงว่าข้าได้ในสิ่งที่ข้าต้องการหรือไม่”
ไม่สนใจว่าคนอื่นจะได้อะไร สนใจเพียงว่าตนได้ในสิ่งที่ต้องการและบรรลุเป้าหมายหรือไม่
“เจ้าปล่อยวางเก่งไม่เบา” ท่านชายโจวหกเอ่ย “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้าใจกว้างถึงเพียงนี้”
“คนที่ใจแคบคือเจ้า คนที่ไม่เคยลืมเรื่องราวในอดีตก็คือเจ้า” ท่านชายฉินสิบสามที่นิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยด้วยรอยยิ้ม พลางยื่นมือตบไหล่เขาแล้วลุกยืน
ถูกต้อง เขาเองที่จำเรื่องราวทุกอย่างได้ เขาเองที่หาเรื่องใส่ตัว ในสายตาของหญิงสาวผู้นี้ ไม่เคยใส่ใจเรื่องเหล่านี้เลย
ท่านชายโจวหกสะบัดมือ ลุกขึ้นและเดินจากไป
“เจ้าคงต้องรอสิ่งที่เจ้าต้องการอีกสักหน่อย” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ยพร้อมกับคำนับลาเฉิงเจียวเหนียง
เนื่องจากเกิดเรื่องของโจวเฟิ่งเสียงขึ้น สำนักราชเลขาประจำเมืองไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่น เดิมทีจะมอบรางวัลให้กับเหล่าพี่น้องจากเขาเม่าหยวนซานทั้งห้าให้เสร็จสิ้นในทันที แต่ก็ต้องเลื่อนออกไปโดยปริยาย
“เรื่องนั้นหรือ ไม่รีบ” เฉิงเจียวเหนียงพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับคำนับตอบ
เรื่องนั้น ไม่รีบ แล้วเรื่องไหนที่รีบหรือ
ท่านชายฉินสิบสามมองมาที่นางแล้วยิ้มอย่างเข้าใจ ดังนั้ สิ่งที่นางต้องการมีมากกว่านั้น สิ่งที่พวกเฉินเซ่าต้องการ นางก็ต้องการเช่นกัน
บอกแล้วว่านางไม่ใช่มีด แต่นางเป็นคนทำมีด
น่าสงสารคนนับพันของกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเขาไม่รู้ว่าแม่นางผู้นี้ใจแคบเพียงใด
………………
[1] มักใช้เปรียบเปรยถึงผู้ที่ไร้วิสัยทัศน์มักเล็งผลระยะสั้นโดยไม่ระวังว่าจะมีผลร้ายในระยะยาวรออยู่ รวมถึงเปรียบเปรยผู้ที่จ้องจะคิดบัญชีกับผู้อื่นโดยลืมไปว่าตนเองก็อาจจะกำลังถูกคนอื่นจ้องจะคิดบัญชีเช่นกัน