พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 446 ข้าเอง (1)
“จบกัน จบกัน จบกัน…”
ภายในห้องโถงนายใหญ่โจวครุ่นคิดพลางเดินวนไปมา เหล่าสาวใช้ที่นั่งอยู่บนระเบียงสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีความตื่นกลัวหรือหวาดหวั่นอย่างได้ เพราะนายใหญ่โจวเอ่ยประโยคนี้มาสี่ห้าวันแล้ว แม้จะกลัวอยู่บ้างแค่ก็รู้สึกชินชาไปเสียแล้ว
“ข้าบอกท่านแล้วว่าอย่าได้เขียนคำร้องกับพวกเขา แต่ท่านก็ดื้อดึงจะเขียนอยู่ได้ อวดดีนัก ยามนี้เป็นอย่างไรเล่า สวรรค์เข้าข้างเขาเสียแล้ว” ฮูหยินโจวเอ่ยพลางปาดน้ำตา
“สวรรค์จะเข้าข้างเขาได้อย่างไร” นายใหญ่โจวขมวดคิ้วเอ่ยพลางเดินวนไปมา “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร เจียวเจียวร์ของพวกเราเป็นลูกรักสวรรค์แท้ๆ…”
ฮูหยินโจวถุยออกมา
“หยุดกังวลเจียวเจียวร์ของท่านได้แล้ว นางไม่ตายเพราะขัดใจฝ่าบาทคราวนี้ก็นับว่าสวรรค์เมตตานางมากแล้ว” นางเอ่ยพลางนึกถึงท่านชายโจวหกก็เศร้าสร้อยขึ้นมา ก่อนจะคร่ำครวญหาลูกชายของตน “คราวนี้จะทำเช่นไรดี หรือว่าจะถูกเนรเทศออกไปปราบโจรที่หนานเจียงแล้วจริงๆ เช่นนั้นคงตายแน่ๆ…”
นางพูดไปก็ร้องไห้ฟูมฟายไป ก่อนจะถามหาท่านชายโจวหกเสียงสะอื้น
สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกอึกอัก
“ท่านชายหกออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ” พวกนางตอบ
“ไปที่ใด” ฮูหยินโจวเห็นว่ามีพิรุธจึงตวาดถามเสียงลั่น
“ไปเรือนแม่นางเฉิงเจ้าค่ะ” เหล่าสาวใช้ก้มหน้าตอบ
“เป็นเพราะหญิงนางนั้นพาซวยแท้ๆ นางจะจองล้างจองผลาญตระกูลโจวของข้าไปถึงเมื่อใด…”
เสียงพึมพำของนายใหญ่โจวในห้องเงียบหายไป เสียงคร่ำครวญชองฮูหยินโจวดังขึ้นแทน
“เจ้าจะไปไหน”
ขณะเดียวกันภายในเรือนของเฉิงเจียวเหนียง ณ สะพานอวี้ไต้ ท่านชายโจวหกเห็นเฉิงเจียวเหนียงเดินเข้ามาก็เอ่ยเรียกอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“มีธุระอันใดหรือ” เฉิงเจียวเหนียงไม่ตอบ แต่กลับดึงผ้าคลุมหน้าลงแล้วเอ่ยถามขึ้นแทน
“เก็บสัมภาระแล้วไปส่านโจวกับข้า” ท่านชายโจวหกเอ่ย
ปั้นฉินและบรรดาสาวใช้รวมถึงบ่าวในเรือนพากันตกใจแล้วเหลียวไปมองเขา
ทว่าเฉิงเจียวเหนียงยังคงใบหน้าเรียบเฉย
“พอเกิดเรื่องแล้วก็หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยพลางเหลือบตามองท่านชายโจวหก “เจ้าเป็นทหารจริงหรือ”
ท่านชายโจวหกส่งเสียงเย้ยหยัน
“หลบหลีกคมดาบ ก็เป็นหนึ่งในกลศึก จะเรียกว่าขี้ขลาดได้อย่างไร” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง
“ใช่แล้ว คนเท่านั้นที่ต้องหลบหลีกคมดาบ เพราะคบดามไม่หลบหลีกผู้ใด” นางเอ่ยพลางยกมือปรามท่านชายโจวหกที่กำลังจะเอ่ยปากพูดต่อ “ฝีมือธนูเจ้าเป็นเช่นไร”
ท่านชายโจวหกชะงักไป เขาส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะเชิดคางยักไหล่แล้วพูดขึ้น
“หากเจ้ามั่นใจในฝีมือธนูของเจ้าละก็” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เขามั่นใจในฝีมือธนูของเขาอย่างนั้นหรือ หมายความว่าอย่างไร
คำพูดของหญิงนางนี้มีแต่ดูแคลนผู้อื่น!ท่านชายโจวหกถลึงตาใส่ ไม่เอ่ยคำใดต่อ คำพูดเฉิงเจียวเหนียงยังคงดังขึ้นข้างหูเขา
“… ข้าจะขอให้เจ้าช่วยข้า…”
ขอให้เจ้าช่วย…
ขอให้เจ้าช่วย…
ท่านชายโจวหกร้อนรุ่มไปทั้งกาย นางว่าอย่างไรนะ ขอ..ให้ข้า…ช่วยอย่างนั้นหรือ!
ในที่สุดนางก็มองเห็นตน ในที่สุดนางก็ยอมให้เขาช่วยเหลือ ในที่สุด… เป็นเพราะคนเหล่านั้นไม่อยู่แล้ว ก็คงไม่มีผู้ใดให้นางขอความช่วยเหลือกระมัง
ท่านชายโจวหกก้มหน้าแม้จะดีใจนักแต่ก็รู้สึกปวดร้าวเช่นเดียวกัน ความรู้สึกเช่นนี้มันช่าง…
“ช่วยเรื่องใด” เขาถามเสียงขุ่นเคือง
“ตามข้ามา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้าจะให้เจ้าดูก่อนว่าเจ้ากล้าหรือไม่”
ว่าอย่างไรนะ
ท่านชายโจวหกฮึดฮัดแล้วเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่านางก้าวเท้ามุ่งหน้าที่ท้ายเรือนแล้ว
เขาเบ้ปากเชิดหน้าขึ้นก่อนจะเดินตามไปอย่างวางมาด
พอท่านชายฉินสิบสามลงจากม้า เขาไม่ได้ตรงเข้าไปในเรือนนางฟ้าเช่นเคย แต่กลับเงยหน้ามองอาคารสีสันสวยงาม ก่อนจะเหลียวมองรอบกาย
รอบด้านซ้ายขวาล้วนแต่เป็นร้านอาหาร ยามใกล้เวลาอาหารเช่นนี้ภายในจึงมีลูกค้านั่งกันแน่นขนัด เพราะอากาศเริ่มเย็นลงแล้ว ผู้คนก็เริ่มสั่งสุขใจไร้กังวลมากขึ้น มองจากหน้าต่างเข้าไป แต่ละร้านนั่นปกคลุมไปด้วยไอร้อน ราวกลับสรวงสวรรค์มิปาน
สายตาของท่านชายฉินสิบสามหันกลับมามองที่เรือนนางฟ้า ภายในเรือนนางฟ้านั้นยังเงียบสงบเหมือนเคย แต่ความเงียบนี้แตกต่างจากแต่ก่อนนัก
“แปลกจริง ลูกค้าน้อยกว่าเดิมนัก” ผู้ดูแลอู๋เอ่ยพลางพลิกสมุดบัญชี “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ เรื่องของเหล่าเถ้าแก่ไม่ใช่ว่าจบลงแล้วหรือ…”
“เรือนไท่ผิงเองยังพอไหว” สาวใช้เอ่ย
พอเห็นท่านชายฉินสิบสามเดินเข้ามา ทั้งสองก็รีบคำนับต้อนรับ
“ที่เรือนไท่ผิงยังพอไปไหว เพราะแตกต่างจากผู้อื่น” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย “เรือนไท่ผิงมีชาวเมืองมากินเป็นส่วนใหญ่ พอเห็นเถ้าแก่ของพวกเจ้าได้อวยยศ ก็คงคิดว่าเรื่องจบลงแล้ว แต่เรือนนางฟ้านั้นต่างออกไป เพราะคนที่มาล้วนแต่เป็นขุนนางชั้นสูง สำหรับพวกเขาแล้ว…”
ท่านชายฉินสิบสามไม่พูดต่อแต่กลับส่ายหน้า
สำหรับพวกเขาแล้วหากมองสถานการณ์ในราชสำนักออก ก็จะมองออกเช่นกันว่าแม้เรื่องนี้ดูเหมือนพี่น้องเขาเม่าหยวนซานจะเป็นผู้ชนะ แต่ความจริงแล้วกำลังตกอยู่ในอันตรายต่างหาก
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะเลยนี่เจ้าคะ”
“ดูเหมือนคราวนี้โชคจะไม่เข้าข้างนางหญิงของพวกเจ้านัก” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางขมวดคิ้ว
เรื่องนี้เหนือความคาดหมายนัก ผู้ใดจะไปรู้ว่าจะทัพตะวันตกเฉียงเหนือจะเกิดสงครามในยามนี้ หากเกิดหลังจากนี้สักเดือนหนึ่งก็ยังดี
มานะคนหรือจะสู้ฟ้าลิขิต โอกาสก็เช่นกัน โชคชะตาก็เช่นกัน
สาวใช้หัวเราะก่อนก่อนพับเก็บสมุดบัญชีในมือ
“นายหญิงของข้าไม่เคยพึ่งโชคชะตาอยู่แล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ท่านชายฉินสิบสามมองนางยักคิ้วหลิ่วตา
“ช่วงนี้นายหญิงของเจ้ายุ่งการใดอยู่ เหตุใดถึงไม่อยู่ที่เรือนเลย” เขาถาม
สาวใช้เม้มปากยิ้ม
“นายหญิงของข้ากำลังเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับคนผู้หนึ่งเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
ของขวัญชิ้นใหญ่อย่างนั้นหรือ
ท่านชายฉินสิบสามครุ่นคิด ของขวัญชิ้นใหญ่อย่างนั้นหรือ เหมือนกับตอนนี้เหล่าพี่น้องเขาเม่าหยวนซานจากเมืองหลวงไปอย่างนั้นหรือ
เช่นนั้นคงน่าจับตาดูไม่น้อย
…
องค์ชายใหญ่วางสาส์นในมือลง พลางมองดูฮ่องเต้ที่ยกมือกุมหน้าผากหลับตาลงเพื่อสงบจิตใจอยู่หลังโต๊ะ
“เสด็จพ่อ พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของท่าน” เขาเอ่ย “วันนี้รีบพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยขึ้นเช่นกัน “เหนื่อยล้ามาหลายวันแล้ว ยามนี้ก็ไม่มีเรื่องเร่งด่วนอันใด”
ฮ่องเต้ยิ้มแล้วลืมตาขึ้น
“นั่นสินะ เหตุใดถึงได้ประจวบเหมาะกับวันเกิดของเราเช่นนี้ ราชาโจรตะวันตกจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เราหรือ” เขาเอ่ย
แม้ฮ่องเต้จะยิ้ม แต่ความขุ่นเคืองในแววตานั้นไม่อาจปกปิดได้
จะต้องปลอบโยนเช่นไรดี
ในคัมภีร์หรือตำราเองคงมีตัวอย่างบ้างกระมัง องค์ชายใหญ่นึกแล้วนึกอีกอยู่ในหัว
“จะเรียกว่าของขวัญชิ้นใหญ่คงไม่ได้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “ยามนั้นฝ่าบาทอายุได้เพียงห้าปีก็สวมเกราะออกรบแล้ว แม้แต่ราชาโจรตะวันตกผู้โหดเหี้ยมก็ทำอะไรฝ่าบาทมิได้”
ฮ่องเต้มองแววตาแสนภาคภูมิใจของเขา หนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น คราวนี้เป็นเสียงหัวเราะที่มาจากใจจริง
“เรื่องนั้นเรามิได้ทำอันใดเลย อย่าได้พูดถึง อย่าได้พูดถึง จะนับเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ตนยิ่งไม่ได้” เขาเอ่ย
ทว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคงมองเขาอย่างเคารพเทิดทูน ราวกับสิ่งนั้นเป็นเกรียติยศอันยิ่งใหญ่
“พูดต่อหน้าผู้อื่นไม่ได้ ยามนั้นเหล่าขุนนางบอกเราว่า ทหารและอาวุธร้าย…” ฮ่องเต้หัวเราะพลางเอ่ย ทั้งยังไม่ได้โกรธที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่เชื่อฟัง
พอองค์ชายใหญ่ได้ยินคำพูดนั้นแววตาก็เป็นประกายขึ้นมา
“มิใช่เครื่องมือของบัณฑิต!” เขาพูดต่อประโยคในทันใด
ในตอนนั้นเหล่าขุนนางอำมาตย์ตำหนิฮ่องเต้น้อยจนร้องไห้ขี้มูกโป่งไปทั้งวัน แม้จะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่ฮ่องเต้ก็ยังจำได้ดี พอได้ยินองค์ชายใหญ่เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาอีก ใบหน้าของฮ่องเต้ก็กระอักกระอ่วนขึ้นมาในทันใด
ภายในตำหนักเงียบสงัดอย่างแปลกพิลึก
เกิดอะไรขึ้นหรือ
องค์ชายใหญ่งุนงงเป็นยิ่งนัก ทั้งยังดูร้อนรนเหมือนอย่างจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ปากที่กำลังอ้าก็หุบลงในทันใด