พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 446 ข้าเอง (2)
“ฝ่าบาท มีเรื่องหนึ่งน่าสนใจนัก ข้าเองก็เพิ่งรู้มา”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องร้องอ๋อขึ้นมาแล้วพูดขึ้น ทำลายความเงียบภายในห้อง
“รู้เรื่องอันใดมาหรือ” ฮ่องเต้ถามต่อ
“แท้จริงแล้วเกือกม้าเหล็กนั่นก็ได้เหล่าพี่น้องจากเขาเม่าหยวนซานนั่นแลเป็นผู้คิดค้น” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
เขาเม่าหยวนซาน...
ใบหน้าที่เริ่มผ่อนคลายของฮ่องเต้กลับมาเรียบเฉยอีกครั้ง
สายตากวาดมองสองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า เจ้าเด็กสองคนนี้ช่าง…เสียจริง
เพราะเหตุใดคำว่าทหารและอาวุธร้ายมิใช่เครื่องมือของบัณฑิตทำให้ฝ่าบาทมีสีหน้าเช่นนั้น องค์ชายใหญ่นั้นไม่รู้ แต่เพราะเหตุใดฝ่าบาทถึงได้ขุ่นเคืองเมื่อพูดถึงเขาเม่าหยวนซานนั้น องค์ชายใหญ่กลับเข้าใจดี ทันใดนั้นแววตาดีใจที่เห็นผู้อื่นตกที่นั่งลำบากก็ฉายแววขึ้น
“เอาล่ะ เราเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าออกไปเถิด เจ้าเองก็พูดถูก สาส์นพวกนี้วันนี้จะอย่างไรก็คงอ่านไม่จบ เราจะพักสักหน่อย ไม่แน่ว่าพ้นวันเกิดไปแล้ว อาจจะมีข่าวดีก็เป็นได้” ฮ่องเต้เอ่ย
องค์ชายใหญ่และจิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบยืนขึ้นแล้วคำนับลา ขณะกำลังจะยืนขึ้น ก็มีขันทีเขามาจากด้านนอก
“ฝ่าบาท รายงานจากสำนักราชเลขา ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยพลางยกสาส์นนั้นขึ้นเหนือหัว
ฮ่องเต้รับมาแล้วคลี่เปิดอ่าน ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมาในทันใด
คราวนี้เขาโมโหจนระเบิดหัวเราะออกมา
“จริงหรือ…” เขาเอ่ยพลางโยนสาส์นนั้นลงบนโต๊ะ “คนแล้วคนเล่าพากันมาแก้ตัวเช่นนี้ เราเองก็อึดอัดใจนัก”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องค่อยๆ ถอยออกมา หางตาเหลือบมองขันทีที่ข้างกายกำลังขมุบขมิบปากบอกเขา
เฉิง…
“ฝ่าบาท มีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” เขาหยุดฝีเท้าลงแล้วเงยหน้าขึ้นถาม “มีคนมาแก้ต่างให้
เจียงเหวินหยวนหรือขอรับ”
“เสด็จพ่อมิได้รับสั่งให้ตรวจอย่างละเอียดแล้วหรือ เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าวันสองวันจะพิจารณาได้” เขาพูดต่อในทันใด
ฮ่องเต้ส่ายหน้า
“พวกเขาบอกว่าฟ่านเจียงหลิน หนึ่งในพี่น้องแห่งเขาเม่าหยวนซาน จะมอบของขวัญขอบคุณเรา” เขาเอ่ย รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะย้ำว่า “มอบของขวัญขอบคุณเรา”
พอเห็นฮ่องเต้ยิ้มเยาะเช่นนั้น องค์ชายใหญ่ที่ฉลาดพอก็เงียบปากทั้งที่ตอนแรกกำลังจะพูดขึ้น
“จะเป็นของหายยากเหมือนเกือกม้าเหล็กหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ราวกับว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ได้ยินเสียงประชดประชันของฮ่องเต้ ทั้งยังถามต่อด้วยความใคร่รู้
เกือกม้าเหล็กอย่างนั้นหรือ…
ฮ่องเต้ไม่เอ่ยคำใดแต่แววตาเป็นประกาย
“เกือกม้าเหล็กใช่ของหายากเสียที่ไหนกัน” องค์ชายใหญ่เอ่ยอย่างเหยียดหยาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองเขาแล้วยิ้ม จริงใจเสียจนแม้แต่แววตานั้นยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ฝ่าบาท แม้เกือกม้าเหล็กจะดูขัดหูขัดตานัก แต่ในแต่ละปีกลับช่วยมิให้ม้าบาดเจ็บได้นับพันตัว หากลดจำนวนม้าที่บาดเจ็บได้ ก็เท่ากับเพิ่มจำนวนม้ามิใช่หรือ ก็เท่ากับว่าปีหนึ่งมีม้าเพิ่มขึ้นอีกนับพันตัว” เขาเอ่ย
“ม้าพันตัวแล้วอย่างไรเล่า ก็แค่ม้ามิใช่หรือ…” องค์ชายใหญ่เอ่ยเสียงฮึดฮัด
“เอาล่ะ” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น “พวกเจ้าไปกันได้แล้ว”
องค์ชายใหญ่และจิ้นอวันจวิ้นอ๋องไม่กล้าพูดต่อ พวกเขาโค้งตัวคำนับพากันก้มหน้าแล้วออกไป
ภายในตำหนักเงียบสงัด สายตาของฮ่องเต้ทอดมองบนโต๊ะ
เกือกม้าเหล็กก็เป็นฝีมือของหนึ่งในพี่น้องเขาเม่าหยวนซานอย่างนั้นหรือ คับคล้ายคับคลาจำได้ว่า…คนที่ชื่ออะไรสักอย่างนี่แหละเป็นคนทำ
เกือกม้าเหล็กอย่างนั้นหรือ
ฮ่องเต้หยิบสาส์นขึ้นมาดูแล้วเปิดออก
ณ ตำหนักของชิ่งอ๋อง มีเสียงหัวเราะดังขึ้น
“ลิ่วเกอร์ ลิ่วเกอร์ ทางนี้ ทางนี้ ส่งมาให้พี่”
คนกลุ่มหนึ่งกำลังเตะลูกชู่จวี จิ้นอันจวิ้นอ๋องสวมเสื้อแขนสั้น พลางรั้งแขนเสื้อขึ้นแล้วร้องตะโกน
แน่นอนว่าชิ่งอ๋องที่กำลังเตะชู่จวีหัวเราะร่าอยู่นั้นไม่เข้าใจ และก็คงไม่แตะส่งให้เขา ทว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ยังคงวิ่งต่อไปด้วยรอยยิ้มดังเดิม
ชิ่งอ๋องวิ่งเล่นได้ครู่หนึ่ง ร่างอ้วนท้วนนั้นก็วิ่งไม่ออกเสียแล้ว เขาหอบหายใจแล้วนั่งลงบนพื้น
“ลิ่วเกอร์ มานี่สิ เล่นต่ออีกสักหน่อย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องวิ่งเข้าไปใกล้พลางเอ่ยเกลี้ยกล่อม
แต่ไม่ว่าจะโน้มน้าวอย่างไร ชิ่งอ๋องก็ไม่ฟัง แถมยังล้มตัวลงนอนดีดดิ้นเสียอย่างนั้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องจึงทำได้เพียงเอ่ยคะยั้นคะยอให้เขาลุกขึ้น ก่อนจะลากคอเสื้ออีกคนให้ไปอาบน้ำด้วยตัวเอง
“เป็นอย่างไรบ้าง”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องอาบน้ำชิ่งอ๋องด้วยน้ำอุ่นไปพลาง ถามขันที่กำลังเดินเข้ามาไปพลาง
“ฝ่าบาทยินยอมพ่ะย่ะค่ะ วันพรุ่งนี้ฟ่านเจียงหลินผู้นั้นถูกเรียกให้มาเข้าเฝ้าที่ประตูเสวี้ยนเต๋อ” ขันทีเอ่ยเสียงแผ่วเบา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า มุมปากยกยิ้มบาง
“ลิ่วเกอร์ ไหนเจ้าเดาซิว่านางจะให้อะไร” เขาถามด้วยรอยยิ้ม
แน่นอนว่าชิ่งอ๋องที่กำลังเล่นของเล่นในอ่างอาบน้ำไม่สนใจเขา
“ต้องเป็นอาวุธร้ายแรงแน่นอน” จิ้นอันจวิ้นอ๋องพูดต่อ พลางรวบผมที่สระแล้วของชิ่งอ๋องขึ้น พูดถึงเพียงเท่านั้นเขาก็หยุดลง “แต่น่าเสียดาย ไม่ได้ไปเห็นกับตา แต่ก็ไม่เป็นอะไร รู้ว่าเป็นอะไรก็พอ”
เขาคว้าผ้าขนหนูที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะยกชิ่งอ๋องขึ้นมาแล้วห่อหุ้มไว้ จากนั้นจึงส่งให้เหล่าข้าหลวงอุ้มเขาออกไป
“วันพรุ่งนี้ น่าตื่นเต้นนัก”
ยามฟ้าเริ่มสาง แม่นางเฉินสิบแปดก็นั่งอยู่ในห้องโถงแล้ว ภายในห้องแออัดไปด้วยผู้คน ท่านแม่และเหล่าพี่น้องกำลังหัวเราะพูดคุยอย่างสนุกสนาน
“ชุดนี้ไม่เรียบเกินไปหรือ ไม่เปลี่ยนเป็นชุดงานฉลองเล่า”
“ปิ่นนี่ด้วย ไม่น้อยเกินไปหรือ”
“แต่งหน้าอีกสักหน่อยเถิด”
เหล่าพี่สาวน้องสาวรายล้อมออกความเห็นกับการแต่งกายของแม่นางเฉินสิบแปด
“ข้าสวมชุดนี้แหละ แค่ติดตามองค์หญิงป๋อหยางไปเท่านั้น ใช่ว่าจะได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทเสียหน่อย” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย พลางก้มหน้ามองดูเสื้อผ้าของตน
เสื้อผ้าชุดนี้ยังคงเป็นแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อน เพียงแต่ชายกระโปรงตกแต่งด้วยดอกไม้ดิ้นทอง เพิ่มความมีชีวิตชีวา แต่ก็ไม่ได้ลดความเคร่งขรึมลง
ราวกับเสื้อผ้าชุดนี้สงบจิตใจของผู้สวมใส่
เมื่อความคิดแวบเข้ามาในหัว นางก็ยิ้มออกมา หรืออาจเรียกได้ว่าตัวนางเองสามารถสงบจิตสงบใจตัวเองได้กระมัง
“ข้าต้องไปแล้ว จะให้ปล่อยองค์หญิงรอไม่ได้” นางเอ่ยพลางลุกยืนขึ้น ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับเสียงให้กำลังใจของเหล่าพี่สาวน้องสาว
นางเตรียมตัวมาอย่างดี อนาคตช่างนั้นช่างชวนให้คนเฝ้ารอนัก
ยามท้องฟ้าสว่างไสว ฮ่องเต้พร้อมกับเหล่าขุนนางกำลังยืนอยู่บนประตูเสวี้ยนเต๋อ เหล่าขุนนางนับร้อยที่มารวมตัวกันตั้งแต่เช้า บวกกับเหล่าชาวเมืองที่ยืนอยู่ไกลออกไปพากันโห่ร้องคำว่าทรงพระเจริญ เสียงนั้นดังสนั่นไปทั่วทั้งแผ่นดิน
แม้ใช่ว่าปีหนึ่งจะได้ยินเพียงแค่หนึ่งครั้ง แต่ทุกครั้งที่ได้ยินก็ยังทำให้เขารู้สึกสุขใจ
แม้จะต้องเหน็ดเหนื่อยอยู่ทุกคืนวัน แม้ขุนนางในราชสำนักจะทะเลาะไม่มีหยุดพัก แม้ชายแดนจะถูกคุกคามไม่หยุดหย่อน แม้จะมีเรื่องน่าปวดหัวเรื่องแล้วเรื่องเล่า แต่ความรู้สึกที่ได้ควบคุมใต้ฟ้าด้วยมือของตนเองนั้นช่างชวนให้คนมัวเมาเสียจริง
“ใต้เท้าเฉินไร้มารยาทนัก วันเช่นนี้กลับไม่มาเข้าร่วม”
เสียงจากด้านหลังลอยเข้าหู รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้จางหายไปในทันใด
เฉินเซ่าขอลาออก ฮ่องเต้ก็คัดค้านไปแล้วถึงสองหน แต่เฉินเซ่าก็เอาแต่อยู่ในเรือนเพื่อแสดงความรับผิดชอบ หากวันนี้ไม่มาก็คงไม่แปลก
เป็นเพราะแม่นางหมอเทวดานั่นก่อเรื่องแท้ๆ คนทั่วหล้าถึงได้รู้จักประโยชน์ของการกดดันราชสำนัก เริ่มมีคนเรียนรู้บ้างแล้วคนสองคน
ยังมีหน้ามาบอกว่าจะมอบของกำนัลขอบคุณอีกหรือ…
พวกเจ้าจะให้เราเล่นละครต่อหน้าคนทั้งแผ่นดินหรืออย่างไร
ฮ่องเต้หันหลังกลับกำลังจะเดินออกไป ก็มีขุนนางจากราชสำนักผู้หนึ่งยืนขึ้น
“ฝ่าบาท คนที่รอมามอบของกำนัลได้รับอนุญาตให้เข้ามาแล้ว ท่านว่าคำพูดของเขาจะเชื่อได้สักแค่ไหนพ่ะย่ะค่ะ”
คนเป็นขุนนางต้องพูดจามีเหตุมีผล พูดคำไหนคำนั้น
แต่ก็ยังมีขุนนางกลุ่มที่นับวันยิ่งไม่ได้ความ หยิบยกคำสั่งของสำนักราชเลขามาคัดค้านราชโองการของฮ่องเต้ ปีหนึ่งเกิดเหตุเช่นนี้อยู่หลายต่อหลายหน
“แม้ใต้เท้าเฉินจะไม่มา แต่สำนักราชเลขาก็ทำงานเต็มที่”
จู่ๆ ก็มีเสียงคนพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบจนลอยเข้าหูฮ่องเต้ คำพูดนั้นทำให้สีหน้าของฮ่องเต้ขุ่นมัวยิ่งกว่าเดิม
ได้ เช่นนั้นเราจะเล่นละครไปกับพวกเจ้าเอง
เขาหันหลังกลับ
“เรียกฟ่านเจียงหลินมา” เขาเอ่ยเสียงเนิบ