พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 447 ธนูคันหนึ่ง (2)
ชายหนุ่มผู้นั้นวางธนูในมือลง ก่อนจะย่ำลงบนคันธนูนั้น
คนที่อยู่ไกลออกไปเห็นไม่ชัดว่าเขาทำอะไรอยู่ เห็นเพียงแค่หนุ่มน้อยผู้นั้นกำลังยกธนูขึ้นอีกครั้ง ผู้คนในที่นั้นก็พากันเงียบสงัด
ทว่าหนุ่มน้อยผู้นั้นกลับไม่ยิงธนูออกไป แต่กลับขมวดคิ้วแล้วเหลียวมองทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ข้างกัน
“ตั้งไว้เพียงแค่โล่เถิด ให้คนถอยออกไปจะดีกว่า” เขาเอ่ย “นี่เป็นเพียงแค่การทดสอบ ไม่จำเป็นต้องแลกด้วยชีวิตผู้ใด”
พอคำนั้นเอ่ยออกไปเหล่าทหารรักษาพระองค์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ได้แต่งุนงง
เช่นนี้ก็ได้หรือ ระยะไกลถึงเพียงนี้ ยิงทะลุโล่ก็ถือว่าไม่แล้วแล้ว จะยิงคนตายได้เชียวหรือ
พอฮ่องเต้เห็นว่าไม่มีความเคลื่อนไหวอันใดก็ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปใกล้ ขันทีเข้าใจความหมายของเขาในทันที ก่อนจะรีบตะโกนถามออกไป ทหารรักษาพระองค์ด้านล่างทำได้เพียงรายงานสิ่งที่ท่านชายโจวหกพูด
เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นบนกำแพงเมืองอีกครั้ง บ้างก็ส่ายหน้า บ้างก็หัวเราะเยาะ บ้างก็ชักสีหน้า บ้างก็ก่นด่า
“ฝ่าบาท เขาไม่ได้พูดเหลวไหล ต้องระวังมากจริงๆ” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว อยากจะโหวกเหวกโวยวายสักแค่ไหนก็ตามใจเถิด ฮ่องเต้โบกมือปัด
เหล่าทหารรักษาพระองค์ที่ตั้งโล่อยู่ถอยออกมาตามคำสั่ง เหลือเพียงโล่ที่แขวนนิ่งอยู่บนโครงไม้
ท่านชายโจวหกยกธนูขึ้น เล็งไปที่โล่เบื้องหน้า บรรยากาศเงียบสงัดลงอีกครั้ง สายตานับไม่ถ้วนราวกับกำลังจับจ้องไปที่ดวงอาทิตย์อันร้อนแรง เหมือนกำลังแผดเผาคน บวกกับความเงียบสงัดที่ชวยให้อยากจะเป็นลมพับไป สีหน้าของทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ข้างกันดูหวาดหวั่น ก่อนจะเหลียวมองท่านชายโจวหกอย่างอดไม่ได้
หนุ่มน้อยผู้นี้เคยถูกสายตามากมายจับจ้องเช่นนี้หรือไม่ จะยิงธนูออกหรือ
สายตาของทหารรักษาพระองค์จับจ้องไปที่ท่อนแขนของท่านชายโจวหก แววตาแหลมคมนั้นมองหาความสั่นไหว
‘โธ่ นายหญิง นายหญิงเจ้าคะ…’
ราวกับเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้นในหูของท่านชายโจวหกอีกครั้ง เหมือนตนเองย้อนกลับไปที่เรือนสะพานอวี้ไต้ในวันนั้น มองดูเฉิงเจียวเหนียวยืนอยู่ข้างเป้าฟาง นางยกมือขึ้นปลดปิ่นบนหัวออก ผมดำขลับยาวปรกลงมาราวกับน้ำตกมิปาน
สาลี่ลูหนึ่งถูกวางอยู่บนหัวของนาง
สาลี่เนื้อกรอบ ผมยาวสีดำขลับ ดวงตาโตสุกใส ใบหน้าขาวนวล ชายกระโปรงและเสื้อคลุมสีพื้นที่ทิ้งตัวลงมา สิ่งที่ได้เห็นราวกับภาพวาดแสนประณีตท่ามกลางแสงอาทิตย์สาดส่อง
‘มา ยิงสิ’ เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พลางยกมือชี้ไปที่สาลี่บนหัวของตน
เหล่าสาวใช้กรีดร้อง
ท่านชาวโจวหกเองก็ตกตะลึง
ล้อเล่นอะไรกัน!
‘ไม่กล้าหรือว่าทำไม่ได้’ หญิงสาวถามพลางยิ้มสงบ
คำพูดและรอยยิ้มนั้นเสียดแทงหัวใจของชายหนุ่มนัก เขาส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะง้างธนูในมือ
‘โธ่ ท่านชายโจว อย่าเลยเจ้าค่ะ’ ปั้นฉินตกใจตะโกนขึ้นมาในทันใด นางกางแขนแล้วยืนขวางเฉิงเจียวเหนียงเอาไว้
‘ปั้นฉินเจ้าไม่เชื่อใจข้า หรือไม่เชื่อใจท่านชาย’ เฉิงเจียวเหนียงถาม
ปั้นฉินเหลียวกลับไปมอง
‘นายหญิง ให้ข้าทำเถิดเจ้าค่ะ ให้ข้าทำเถิดเจ้าค่ะ’ นางเอ่ยอย่างร้อนรน
‘ให้เจ้าทำ สู้ข้าทำเองจะดีกว่า’ เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พลางยกมือบอกให้นางถอยออกไป
ปั้นฉินเม้มปากแน่น เหลียวไปมองท่านชายโจวหก ท่านชายโจวหกก้าวเข้ามาแล้วง้างธนู สีหน้าหยิ่งยโส ไม่มีท่าทีว่าจะเอ่ยคำใด
สองคนนี้ก็เหลือเกิน ดื้อรั้นกันทั้งคู่
ปั้นฉินถอยออกไปอย่างไร้ทางเลือก
‘มาเลย’ เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เมื่อสิ้นเสียง มือของท่านชายโจวหกก็ปล่อยลูกธนูออกไป ผลสาลี่บนหัวของเฉิงเจียวเหนียงถูกแทงทะลุจนกระเด็นออกไป ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของสาวใช้
ปั้นฉินกุมอกรีบร้อนเข้าไปใกล้ ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดน้ำซับน้ำหวานที่ไหลเปรอะบนใบหน้าของนาง
‘พอเถิดเจ้าค่ะ พอเถิดเจ้าค่ะ อย่าเล่นอีกเลย อย่าเล่นอีกเลย’ นางเอ่ยไม่หยุด
ทว่าเฉิงเจียวเหนียงเจียวเหนียงกลับส่ายหน้าแล้วยื่นมือออกมา
“เอามาอีก” นางเอ่ย
ปั้นฉินตาเบิกโพลง
‘ข้าไม่ได้เล่น แล้วก็ไม่มีเวลาเล่นด้วย’ เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ‘แล้วข้าก็ล้อเล่นไม่เป็นด้วย’
ไม่มีเวลาเล่น… ล้อเล่นไม่เป็น
เหตุใดเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วถึงได้รู้สึกปวดใจนัก
สาลี่ผลหนึ่งในถาดผลไม้ถูกหยิบขึ้นมา เขามองดูเฉิงเจียวเหนียงวางมันไว้บนหัวไหล่
ยังไม่จบเพียงแค่นั้น เฉิงเจียวเหนียงมองดูท่านชายโจวหกเอื้อมมือออกไปปัดผลสาลี่ให้ตกลง ปั้นฉินและเหล่าสาวใช้ถึงได้เบาใจขึ้นมา
‘นายหญิง…’ ทุกคนโห่ร้องออกมาอย่างอดไม่ได้
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว สี่ก้าว ห้าก้าว…
ท่านชายโจวหกมองดูหญิงสาว ในใจก็นับตามไป จนในที่สุดนางก็หยุดอยู่ริมกำแพง
‘ในเรือนเล็กเกินไป’ เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย มือหนึ่งเอื้อมไปรวบไว้ฝั่งหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งก็ชี้ไปที่ผลสาลี่บนหัวไหล่ ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง “มาเลย”
ท่านชายโจวหกกัดริมฝีปากล่าง หรี่ตามองนาง ผลสาลี่สีเขียวสดภายใต้แสงอาทิตย์ตั้งอยู่ถัดจากใบหน้าของนาง เส้นผมที่ถูกรวบมาไว้ฝั่งเดียวกันเผยให้เห็นใบหูขาว ทว่าไม่มีนางไม่ใส่ต่างหูเหมือนหญิงสาวคนอื่นๆ แล้วก็คงไม่ได้เจอหูด้วย
สติไม่สมประกอบตั้งแต่เล็ก ใครจะเจาะหูให้นางกัน
ใครกันจะเจาะผิวพรรณแบบนั้นได้ลงคอ… เป็นใครก็ทำไม่ลง…
ท่านชายโจวหกปล่อยศรธนูออกไป
เสียงพรึบดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงดังฉึก
โล่ที่ห่างออกไปเจ็ดสิบก้าวสั่นไหว
ทว่ายังไม่จบ ชายหนุ่มลดธนูลงก่อนจะก้มตัวลงแล้วยืนให้มั่น จากนั้นก็ยกคันธนูขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงดังพรึบต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ดังกึงก้องอื้ออึ้งอยู่ในหูของคน ณ ที่นั้น
“ยิงได้เร็วนัก…” ทหารรักษาพระองค์นายหนึ่งเอ่ยพึมพำ
“ท่าทางยิงได้เบาสบายนัก…” ทหารรักษาพระองค์อีกนายหนึ่งก็พึมพำขึ้นมาเช่นกัน
หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ หมายความว่าช่วยประหยัดเวลา เวลาในสนามรบนั้นมีความหมายอย่างไรกัน หมายถึงความเป็นความตายอย่างไรเล่า
ธนูสิบดอกถูกยิงติดต่อกันจนจบ ท่านชายโจวหกถึงจะวางธนูในมือลง ทหารรักษาพระองค์ที่เอาแต่จ้องมองเขา ในที่สุดก็ได้เห็นชายหนุ่มหอบกระชั้นและท่อนแขนอันสั่นเทาอย่างที่ต้องการ
แต่ตอนนี้ผู้ใดสนใจเรื่องพรรค์นี้กันเล่า
สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังโล่ที่ตั้งอยู่ไกลออกไปเจ็ดสิบก้าว
ทหารรักษาพระองค์บางนายวิ่งเข้าไปใกล้
“ทะลุ!” เขาตะโกนลั่นพลางชูโล่ขึ้นให้กับฮ่องเต้ที่อยู่บนกำแพงเมืองได้เห็น จากนั้นก็หมุนตัวรอบทิศให้ชาวเมืองได้ดู
เหล่าชาวอยากจะโห่ร้องยินดี ทว่ายังไม่ทันได้ส่งเสียง โล่อันแล้วอันเล่าก็ถูกชูขึ้นเรื่อยๆ
“ทะลุ!”
“ทะลุ!”
“ทะลุ!”
โล่กำบังถูกชูขึ้นตามเสียงตะโกน คนที่กำลังจะอ้าปากโห่ร้องกลับตะโกนไม่ออก เหล่าขุนนางชั้นสูงที่ยืนอยู่อย่างใกล้ชิดนั้นรู้ดีว่าหมายความว่าอย่างไร แต่ละคนสีหน้าดูตื่นตระหนก พวกเขาตะโกนไม่ออก บรรดาชาวเมืองที่อยู่ด้านหลังไม่เข้าใจนักว่าหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ทำได้เพียงเงียบตาม
แม้จะมีผู้คนมากมายเบียดเสียดกันหน้าประตูเมือง ทว่าบรรยากาศนั้นเงียบสงัด ราวกับวินาทีที่ฮ่องเต้เสด็จมาถึงประตูเมืองอย่างไรอย่างนั้น
ทว่ายามนี้ฮ่องเต้นั้นยืนอยู่บนกำแพงเมือง
เหล่าชาวเมืองพากันเงียบ โล่กำบังที่ถูกแทงทะลุอย่างเห็นได้ชัดถูกชูขึ้นเรียงรายเป็นแถว ช่างเป็นภาพที่ดูแปลกพิลึกยิ่งนัก
“พวกเจ้าลองคิดดู หากแนวหน้ามีทหารถือธนูเช่นนี้สักหนึ่งแถวหรือสองแถว เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
จะเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ
เมื่อศรธนูแต่ละดอกถูกยิงออกจากมือของเหล่าทหาร ห่าฝนธนูที่ถาโถมเข้าใส่กองทัพศัตรูโจรตะวันตกคงจะไม่กระแทกกับโล่กำบังแล้วร่วงหล่นลงมาเช่นเคย แต่จะทะลุเข้าไป
ทะลุ!
ทะลุ!
เลือดเนื้อและซากศพจะกองพะเนินไปทั้งแผ่นดิน ทหารยอดฝีมือของกองโจรอย่างนั้นหรือ นักรบม้าเหล็กแห่งกองโจรตะวันตกอย่างนั้นหรือ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทหารรักษาพระองค์นายหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้ก็ก็หัวเราะอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
ไม่มีใครนึกตำหนิติเตียนเรื่องที่เขาเสียกิริยาต่อหน้าฝ่าบาท แค่หลังจากเสียงหัวเราะนั้นจบลงก็รู้สึกว่าตนเองนั้นชาไปทั้งตัว ดั่งเปลวไฟร้อนรุ่มแผดเผาไปทั่วร่าง
อา!วุธ!ร้าย!