พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1106 ชายลึกลับ
หลังจากที่ชายวัยกลางคนและหญิงสาวเห็นฉากนี้ ต่างก็นิ่งอึ้งไป คาดไม่ถึงในช่องทางเดินเกิดใหม่จะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดแบบนี้ขึ้นอย่างกะทันหัน
ที่สำคัญเสียงเมื่อกี้นี้ก็ทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่นี่นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว ก็มีเพียงรพีพงษ์ แล้วเสียงนั้นดังออกมาจากที่ไหน?
ที่สำคัญในช่องทางเดินเกิดใหม่จะขับไล่พลังภายนอกที่มีอยู่ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าหากคนสองคนเข้าร่วมการทดสอบ ต่อให้คนหนึ่งคนจะนอนลงไปในช่องทางเดินเกิดใหม่ คนภายนอกจะเข้าไปช่วยก็เป็นไปไม่ได้
คนคนนี้ที่เข้าไป ก็จะเป็นเหมือนกับคนแรก เริ่มเข้าร่วมการเกิดใหม่
นอกจากว่าพลังจะแข็งแกร่งกว่าเจ้านายของพวกเขา ถึงจะสามารถช่วยคนที่เข้าสู่ในช่องทางเดินเกิดใหม่ออกมาได้
และเมื่อกี้นี้ แสงสีแดงก็ปรากฏขึ้น ห่อหุ้มรพีพงษ์ในทันที และพาเขาบินออกไปด้านหน้า
หรือว่าเจ้าของที่ปลดปล่อยแสงสีแดงออกมา พลังยังแข็งแกร่งกว่าเจ้านายของพวกเขาเหรอ?
ทั้งสองคนสบตากัน ในใจก็เกิดอารมณ์ยากที่จะอธิบาย
อย่างไรพวกเขาก็ไม่รู้เจอกับสถานการณ์แบบนี้ควรทำอย่างไรดี ปีนั้นเจ้านายก็ไม่ได้บอกกับพวกเขาว่าจะจัดการกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร
แน่นอนว่า นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรสนใจ เนื่องจากว่ารพีพงษ์ผ่านช่องทางเดินเกิดใหม่ไปแล้ว ก็ถือได้ว่าผ่านการทดสอบทั้งหมด และมีสิทธิ์รับมรดกของเจ้านาย ส่วนเขาผ่านการทดสอบได้อย่างไร พวกเขาสองคนก็ไม่ต้องไปยุ่งแล้ว
รพีพงษ์รู้สึกเพียงว่าวินาทีก่อนตัวเองยังคงอยู่ในท่านกลางชีวิตที่ดี วินาทีต่อมาก็รับรู้ว่านี่เป็นเพียงความฝันของเขา ต่อจากนั้นก็ตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ
เขาจำได้ไม่ค่อยแน่ชัดว่าตกลงตัวเองผ่านอะไรมากันแน่ เขาจำได้เพียงว่าตัวเองเหมือนราวกับฝันถึงการเกิดใหม่อย่างไม่หยุด ในความฝัน เขาเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองอย่างไม่หยุด และท้ายที่สุดก็ทำให้ตัวเองมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาตั้งใจจะใช้ชีวิตนี้อย่างมั่นคงปลอดภัย เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมา ปลุกเขาขึ้นมาจากความฝันที่ดีทันที
หลังจากนั้น ก็เป็นท่าทางตอนที่เขาตื่นขึ้นมา
เขาหันหน้ามองไปรอบๆตัวเอง พบว่าตัวเองมาถึงในห้องโถงที่งดงามเฉิดฉาย ในห้องโถงนี้ไม่ได้มีความมืดมนของช่องทาง แต่กลับดูสว่างไสวผิดปกติ
ที่สำคัญการตกแต่งของที่นี่สามารถใช้ความหรูหรามาอธิบายได้ สิ่งที่รพีพงษ์คิดได้ว่าสามารถเปรียบเทียบกับที่นี่ได้ ก็มีเพียงพระราชวัง
เขาเห็นอัญมณีที่งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้มากมายบนกำแพงที่นี่ อัญมณีทั้งหมดเหล่านี้อยู่ในโลกภายนอกเป็นสมบัติที่หาได้ยาก แต่อยู่ที่นี่กลับลดลงเพียงเครื่องดับตกแต่งชิ้นเล็กๆเท่านั้น
หรือว่าที่นี่ก็คือปลายทางของช่องทางเหรอ?
แต่ว่าตัวเองควรรับการทดสอบอยู่ในช่องทางเดินเกิดใหม่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?
หรือว่าตัวเองก็แค่ฝันไป ก็ผ่านการทดสอบนี้ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็มาถึงที่นี่เหรอ?
ด้วยความสงสัยแบบนี้ รพีพงษ์มองไปรอบๆตัวเอง และในไม่ช้า สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่บนบัลลังก์สีทองให้ห้องโถง
พลังกดดันที่มองไม่เห็นปลดปล่อยออกมาจากบนบัลลังก์สีทอง เหมือนราวกับว่าจะทำให้ทั้งโลกยอมจำนนอยู่ภายใต้เท้าของเขา รพีพงษ์เพียงแค่มองไปแวบหนึ่ง ก็เกิดความคิดอยากจะคุกเข่าก้มลงกราบ
แต่โชคดีที่พลังจิตตานุภาพของเขามั่นคง และไม่ปล่อยให้ร่างกายของตัวเองตอบสนองไปตามสัญชาตญาณ
ถ้าเป็นคนที่มีพลังจิตตานุภาพที่อ่อนแอกว่าเล็กน้อย เห็นบัลลังก์นี้ คงจะคุกเข่ากับพื้นอย่างแน่นอน
ในใจของเขาเกิดความสยดสยอง เพียงแค่เป็นที่นั่งแห่งหนึ่ง ก็ทำให้คนเกิดปฏิกิริยาแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าของสถานที่แห่งนี้จะมีพลังอยู่มากมายเพียงใด
ในเวลานี้บนบัลลังก์นั้น มีชายคนหนึ่งที่ผมยาวพลิ้วไหว ดูไปแล้วมีวิชาความรู้ที่สง่าผ่าเผยเป็นพิเศษและไม่ธรรมดากำลังอ่านหนังสืออยู่
เมื่อสายตาของรพีพงษ์จ้องมองไปที่ชายคนนั้น เขาก็วางหนังสือในมือของตัวเองลง และมองไปทางรพีพงษ์
เมื่อเขาเห็นการปรากฏตัวของรพีพงษ์ เห็นได้ชัดว่านิ่งอึ้งไปชั่วครู่
รพีพงษ์ก็นิ่งอึ้ง ยังไงเขาคาดไม่ถึงว่า ในห้องโถงแห่งนี้ ยังมีคนอยู่หนึ่งคน!
หรือว่านี่ก็คือเจ้าของสถานที่แห่งนี้เหรอ?!
ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงๆ ถ้าอย่างนั้นความแข็งแกร่งของคนคนนี้คงจะแข็งแกร่งมากจนรพีพงษ์ไม่สามารถจินตนาการได้ กลัวว่าแค่สายตาเดียวของฝ่ายตรงข้ามก็สามารถกำจัดตัวเองได้
รพีพงษ์ก็ประหม่าขึ้นมาทันที อยู่ตรงหน้าของลูกพี่แบบนี้ ไม่กล้ากำเริบเสิบสานแม้แต่น้อย
ในเวลาเดียวกันในใจของเขาก็เกิดความสงสัย สถานที่แบบนี้ควรจะเป็นที่ที่ทิ้งไว้หลังจากที่ปรมาจารย์เสียชีวิตไม่ใช่เหรอ ทำไมที่นี่ยังมีคนอยู่อีก?
แม้ว่าอายุของชายคนนั้นดูไปแล้วเกือบจะเท่ากับตัวเอง แต่ในใจของรพีพงษ์มีความรู้สึกว่า คนคนนี้คงจะเป็นตัวประหลาดแก่ที่มีชีวิตอยู่มาหลายพันปีหรือว่าหลายหมื่นปี
ดังนั้นเขาจึงคารวะให้กับชายคนนั้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพนับถือ แล้วพูดว่า: “ท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยรพีพงษ์ ไม่ทราบว่าที่นี่คือไหน?”
ชายคนนั้นลุกขึ้นมา เดินลงบันไดมา และมาถึงตรงหน้ารพีพงษ์
บนร่างกายของชายคนนี้สวมใส่ชุดคลุมสีเขียวแกมน้ำเงิน การแต่งกายแบบนี้ค่อนข้างโบราณ แต่ว่าน่ามองกว่าเครื่องแต่งกายโบราณที่รพีพงษ์เคยเห็นมา
ที่สำคัญวัสดุของเสื้อผ้าที่สวมบนร่างกายของเขาคงจะค่อนข้างล้ำค่าอย่างแน่นอน ไม่ใช่เสื้อผ้าที่ทำด้วยเส้นไหมธรรมดา
รวมทั้งผู้ชายคนนี้มารูปลักษณ์ที่งดงามเป็นอมตะ ไม่เพียงแต่ทำให้รพีพงษ์สงสัยว่าเขาลงมาจากสวรรค์หรือเปล่า
ชายคนนั้นมองรพีพงษ์ตั้งแต่หัวจรดเท้าหลายครั้ง เอ่ยปากถามว่า: “นายรอดมาจากช่องทางเดินเกิดใหม่เหรอ?”
รพีพงษ์ก็ไม่กล้าที่จะปิดบัง พยักหน้า
“นายผ่านช่องทางเดินเกิดใหม่มาได้อย่างไร? ว่ากันตามเหตุผล บนโลกใบนี้ ไม่มีใครสามารถผ่านการทดสอบนี้ได้”ชายหนุ่มเอ่ยปากพูด
รพีพงษ์นิ่งอึ้งทันที คิดในใจว่าในเมื่อไม่มีใครสามารถผ่านการทดสอบนี้ได้ ทำไมยังจะตั้งการทดสอบแบบนี้ออกมา เพื่อให้คนเหล่านี้เข้าใจถึงความสิ้นหวังเหรอ?
แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าแสดงความคิดในใจออกมา และตอบไปอย่างตรงไปตรงมา: “ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ ผมเพียงแค่รู้สึกว่าตัวเองฝันไป ต่อมาไม่รู้ว่าผมถูกปลุกตื่นขึ้นมาได้อย่างไร จากนั้นก็พบว่าตัวเองอยู่ที่นี่แล้ว”
ชายคนนั้นก็สงสัย จ้องมองไปที่รพีพงษ์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เอ่ยปากพูดว่า“พูดแบบนี้ นายค้นพบกับชีวิตที่สมบูรณ์แบบของตัวเองแล้ว แต่นายกลับตื่นขึ้นมา น่าแปลกน่าแปลกใจจริงๆ คาดไม่ถึงยังมาเรื่องแปลกแบบนี้ด้วย”
รพีพงษ์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และโดนชายคนนี้จ้องมองจนขนลุก
ในแววตาที่ชายคนนั้นมองไปที่รพีพงษ์ ดูเหมือนจะมีพลังที่พิเศษแพร่กระจายออกมา ห่อหุ้มเขาไว้ ทั้งตัวในขณะนี้ รพีพงษ์รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความลับอะไรทั้งนั้นเมื่ออยู่ตรงหน้าชายคนนี้
“เป็นเพียงแค่ชายหนุ่มที่อยู่แดนธรรมวิสุทธิ์ชั้นยอด ดูไปแล้วเหมือนจะไม่มีอะไร……”
คำพูดของเขายังพูดไม่หมด บนใบหน้าก็แสดงสีหน้าท่าทางตกตะลึงออกมา จากนั้นเขายื่นมือออกไป รพีพงษ์รู้สึกเพียงว่ามีรูเปิดอยู่ในโลกของวิญญาณของตัวเอง ต่อจากนั้นรังสีแสงก็บินออกมาจากในหัวสมองของเขา ก็คือกระบี่สยบเซียน!