พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1122 บอกคุณได้อย่างรับผิดชอบ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1122 บอกคุณได้อย่างรับผิดชอบ
รพีพงษ์พวกเขาทั้งสามคนยืนอยู่ที่เดิม ฟังนลินเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาของตัวเองอย่างตั้งใจ เมื่อเข้าใจนลินอย่างลึกซึ้ง รพีพงษ์ก็ค่อยๆเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อเธอ
ที่แท้ตั้งแต่เกิดวินาทีที่นลิน ก็ถูกตราหน้าว่าโชคร้าย ซึ่งทำให้เธอตั้งแต่เล็กจนโต ก็เป็นตัวประหลาด
ตระกูลณัฐรัชต์เป็นตระกูลอันดับต้นๆของเมืองภูเขาขาว ก่อนหน้าที่เมืองภูเขาขาวจะกลายเป็นเมือง ตระกูลณัฐรัชต์ก็อยู่ที่นี่แล้ว
นายใหญ่ของตระกูลณัฐรัชต์ในปัจจุบันคือปิยะพล เป็นลุงใหญ่ของนลิน ผลอุดมพ่อของนลิน เป็นน้องชายของปิยะพล
จังหวัดเมฆาตั้งอยู่ทางมุมตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ตั้งแต่สมัยโบราณ มีตำนานลึกลับแปลกประหลาดมากมายที่นี่ แม้จะมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยอย่างทุกวันนี้ ที่นี่ยังมีอีกหลายสิ่งที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้เกิดขึ้น
มีข่าวลือว่าวันที่นลินเกิด ทั้งเมืองภูเขาขาวมืดครึ้มด้วยเมฆ ฟ้าร้องฟ้าแลบ วันนั้นผู้คนมากมายกลายเป็นโชคร้ายเป็นอย่างมาก วันนั้นเป็นวันที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมืองภูเขาขาว
ในเวลานั้นมีท่านปรมาจารย์ท่านหนึ่งผ่านมาที่ตระกูลณัฐรัชต์ เห็นนิมิตที่เป็นธรรมชาติ ก็สรุปว่ามีวิญญาณชั่วร้ายเกิดในตระกูลณัฐรัชต์ และรีบพุ่งเข้าไปในตระกูลณัฐรัชต์ ก็จะกำจัดวิญญาณชั่วร้ายนี้
แต่หลังจากที่เข้าไปในตระกูลณัฐรัชต์ ท่านปรมาจารย์พบว่าที่แท้คือรองนายใหญ่ของตระกูลณัฐรัชต์ให้กำเนิดลูกสาวคน และไม่ใช่วิญญาณชั่วร้ายอะไร
ท่านปรมาจารย์ท่านนั้นตรวจดูดวงชะตาของนลินที่เพิ่งเกิด สรุปได้ว่านลินเป็นคนที่นำโชคร้ายมาสู่ผู้คน การเกิดมาของเธอ จะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลณัฐรัชต์ ท่านปรมาจารย์แนะนำให้คนในตระกูลณัฐรัชต์ให้กำจัดนลินที่เพิ่งเกิดทิ้ง
แม้ว่านลินจะอยู่ในร่างของมนุษย์ แต่ว่าท่านปรมาจารย์บอกว่าเธอเป็นบุตรแห่งหายนะ มีชีวิตอยู่ในโลก มีเพียงแต่จะนำพาหายนะและความโชคร้ายมาสู่ผู้คนเท่านั้น
ผลอุดมสองสามีภรรยาทำเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองไม่ลง ก็คุกเข่าลงและขอร้องให้ท่านปรมาจารย์ช่วยลูกของพวกเขา
ท่านปรมาจารย์ภายใต้คำวิงวอนของสองสามีภรรยา รับปากที่จะช่วยผนึกความโชคร้ายที่ติดอยู่บนร่างกายของนลิน ท่านปรมาจารย์อ้างว่าวิชามีจำกัด ดังนั้นกำราบความโชคร้ายของเธอได้เพียงห้าปีเท่านั้น ในเวลาห้าปีนี้นลินสามารถเติบโตเหมือนกับคนปกติทั่วไปได้ แต่ว่าหลังจากห้าปีถ้าหากยังหาวิธีควบคุมความโชคร้ายของเธอไม่ได้ นลินก็จะกลายเป็นหายนะของตระกูลณัฐรัชต์
ผลอุดมสองคนสามีภรรยารู้สึกซาบซึ้งต่อท่านปรมาจารย์เป็นอย่างมาก แม้ว่าจะเป็นเพียงเวลาห้าปี แต่สำหรับผลอุดม ก็เพียงพอแล้ว พวกเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อตามหาวิธีสัมผัสกับความโชคร้ายบนร่างกายของนลิน
ก็แบบนี้ นลินใช้เวลาชีวิตที่มีความสุขมากที่สุดของตัวเองผ่านไปห้าปีอย่างสงบสุข เพียงแต่ว่าเวลานั้นเธอยังจำความอะไรไม่ได้ ดังนั้นต่อให้จะมีความสุขแค่ไหน สำหรับเธอในตอนนี้ ก็ไม่มีความรู้สึกที่เกิดความสะเทือนอารมณ์สะท้อนใจลึกซึ้งมากเกินไป
เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาห้าปีแล้ว แต่ผลอุดมสองสามีภรรยายังหาวิธีที่จะบรรเทาความโชคร้ายบนร่างกายเธอไม่ได้ ทั้งตระกูลณัฐรัชต์ก็เข้าสู่ในความมืดครึ้มอย่างกะทันหัน
ในเวลานั้นคนในตระกูลณัฐรัชต์กลัวว่านลินจะนำพาหายนะมาสู่พวกเขา ก็แนะนำผลอุดมสองสามีภรรยาให้ออกจากตระกูลณัฐรัชต์ หรือว่าพวกเขาก็สามารถเลือกทางที่ปลอดภัยกว่า ฆ่านลิน
ผลอุดมสองสามีภรรยาฆ่านลินไม่ลงเป็นธรรมดา ที่สำคัญพวกเขาก็อาศัยอยู่ในตระกูลณัฐรัชต์มาหลายชั่วอายุคน ออกจากเมืองภูเขาขาว พวกเขาก็ไม่มีที่ไป
เมื่อครอบครัวผลอุดมสามคนเตรียมรับกับความรังเกียจของคนของตระกูลณัฐรัชต์ เกือบจะถูกขับไล่ออกจากตระกูลณัฐรัชต์ ลุงใหญ่ของนลิน ปิยะพลได้เอาถุงหอมกลับมาหนึ่งถุง บอกว่าถุงหอมนี้สามารถช่วยต้านทานความโชคร้ายบนร่างกายของนลินได้
ใส่ถุงหอมนี้ไว้ แม้ว่าไม่มีทางกำจัดความโชคร้ายของนลินได้ทั้งหมด แต่ก็เพียงพอที่จะไม่ทำให้คนเกิดหายนะได้แล้ว
แน่นอนว่า คนที่สัมผัสกับนลินมากเกินไป ยังคงก่อให้เกิดความโชคร้ายอยู่เป็นอย่างมาก บางครั้งอาจจะประสบกับโศกนาฏกรรมทันที
สิ่งนี้สำหรับครอบครัวทั้งสามคนของผลอุดม เป็นข่าวดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าความโชคร้ายบนร่างกายไม่สามารถกำจัดไปได้ทั้งหมด แต่มีของที่สามารถต้านทานความโชคร้ายอยู่ ก็ถือได้ว่าเป็นความหวังอย่างหนึ่ง
ครอบครัวทั้งสามคนของผลอุดมก็ไม่ได้ถูกขับไล่ออกจากตระกูลณัฐรัชต์เป็นเพราะเหตุนี้
ที่สำคัญนายใหญ่ปิยะพลยังออกคำสั่งว่า ใครก็ไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของนลินได้ตามใจชอบ ใครก็ตามที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความโชคร้ายบนร่างกายของนลิน ก็จะถูกไล่ออกจากตระกูลณัฐรัชต์ทันที
ปิยะพลก็ยังแสดงความรักอย่างสุดซึ้งต่อนลิน โดยปฏิบัติต่อเธอในฐานะคุณหนูใหญ่ของตระกูลณัฐรัชต์ และยกทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลณัฐรัชต์ให้เธอ
ด้วยเหตุนี้ผลอุดมสองคนภรรยาต่างก็รู้สึกซาบซึ้งต่อปิยะพลมาก และตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อตระกูลณัฐรัชต์
อย่างไรก็ตามก็เป็นแบบนี้ หลังจากที่นลินอายุห้าปี ยังคงกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาของทุกคน ไม่มีใครกล้าเล่นกับเธอ มีเด็กบางคนไม่รู้เรื่องที่เล่นกับเธอ ผ่านไปไม่กี่วัน ก็จะเป็นโรคแปลกๆที่รักษาไม่หาย และบางคนก็ทำให้คนทั้งครอบครัวติดร่างแหกลายเป็นโชคร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า
ค่อยๆ นลินก็บ่มเพาะจนชินกับนิสัยสันโดษ เธอเป็นตัวประหลาดในสายตาของทุกคน และทุกคนอยู่ในสายตาของเธอจะไม่เป็นสัตว์เลือดเย็นได้อย่างไร
ทั้งตระกูลณัฐรัชต์ มีเพียงผู้ติดตามสองคนที่ปิยะพลจัดให้เธอเท่านั้นที่อดกลั้นความกลัวในใจอยู่กับเธอ และแม้แต่ผลอุดมสองสามีภรรยา ก็น้อยมากที่จะสัมผัสกับนลิน
เป็นแบบนี้ไปอย่างช้าๆ ทั้งเมืองภูเขาขาวก็รู้ว่าคุณหนูของตระกูลณัฐรัชต์เป็นสัตว์ประหลาด และการใกล้ชิดกันจะนำความโชคร้ายมาสู่ผู้คน ที่สำคัญข้อเท็จจริงมากมายได้พิสูจน์เรื่องนี้ด้วย ดังนั้นนลินก็กลายเป็นสัตว์ในสายตาทุกคนในเมืองภูเขาขาว ไม่ว่าใครเห็น ก็จะต้องหลบไปให้ไกลๆ
ในตอนเริ่มแรกข้างในใจของนลินทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่มีใครอยากถูกปฏิบัติเหมือนสัตว์ประหลาด
แต่ว่าผ่านไปนาน เธอก็ค่อยๆยอมรับ ปิยะพลเคยบอกกับเธอว่า นี่คือชะตากรรมของเธอ ไม่มีทางหนีจากมันไปได้ ให้เธอมีความสุขหนึ่งวันก็คือหนึ่งวัน
หลังจากฟังสิ่งที่นลินเล่า บนใบหน้าของรพีพงษ์ก็ปรากฏความสงสัย เอ่ยปากถามว่า: “ถุงหอมถุงนี้ของคุณ ลุงใหญ่ของคุณไปเอามาจากที่ไหน ?”
นลินตอบว่า: “ตามที่ลุงใหญ่บอก ถุงหอมนี้ก็คือท่านปรมาจารย์ท่านนั้นที่ปรากฏตัวขึ้นในปีนั้นวันที่ฉันเกิดให้มา ลุงใหญ่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจนแทบล้มประดาตาย ก่อนหน้าที่ฉันอายุจะครบห้าปี ถึงหาท่านปรมาจารย์ท่านนั้นพบ”
“เวลานั้นวิชาของท่านปรมาจารย์ได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นจึงสร้างถุงหอมที่สามารถต้านทานต่อความโชคร้ายบนตัวของฉันได้”
“เพียงแต่ว่าลุงใหญ่บอกว่า ท่านปรมาจารย์ไม่ได้ให้ถุงหอมนี้ถุงนี้มาช่วยฉันโดยไม่มีเหตุผล เขาสามารถเอาถุงหอมนี้คืนได้ ก็มีเงื่อนไขว่า มีถุงหอมถุงนี้แล้ว ฉันยังสามารถใช้ชีวิตที่ถือได้ว่าปกติจนถึงอายุยี่สิบห้า รอฉันปีที่ฉันอายุยี่สิบห้า ท่านปรมาจารย์ก็จะปรากฏตัว และพาฉันไป”
“ในตอนนั้นฉันต้องยอมรับความต้องการของท่านปรมาจารย์อย่างไร้เงื่อนไข ไม่ว่าเขาจะให้ฉันทำอะไร ฉันก็ต้องรับปาก ฉันสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ก็ถือได้ว่าโชคดีแล้ว ดังนั้นก็ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้”
รพีพงษ์จ้องมองนลินอย่างลังเล จากนั้นเอ่ยปากพูดกับเธอว่า:“ฉันสามารถบอกคุณได้อย่างรับผิดชอบ คุณถูกลุงใหญ่และคนที่เรียกว่าท่านปรมาจารย์หลอกแล้ว