พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1158 หนึ่งแสน
“ฉันให้นายหนึ่งหมื่น เพราะฉันเห็นหินก้อนนี้ก่อน ฉันไม่ยอมให้นายขายให้เขา”
ตอนนี้สีหน้าของอาจารย์โอภาสเต็มไปด้วยความโอหัง รพีพงษ์ไม่สามารถเทียบความร่ำรวยกับเขาได้ ดังนั้นเขาจึงให้ราคาหนึ่งหมื่น
เมื่อพ่อค้าเร่ได้ยินคำพูดของอาจารย์โอภาส เขาตื่นเต้นจนน้ำตาจะไหลออกมา เงินตั้งหนึ่งหมื่นเชียวนะ ถึงเขาจะเอาสมุนไพรขายออกไปทั้งหมด ก็ได้แค่หนึ่งถึงสองหมื่นเท่านั้นเอง แต่ทว่าตอนนี้ก้อนหินเพียงก้อนเดียวมีราคาเป็นหมื่น
มีคนค้าขายอยู่รอบๆ เป็นจำนวนมาก เจ้าของร้านยาต่างได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาต่างพากันเข้ามามุงดูสิ่งที่น่าสนใจ
คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาแย่งหินแค่ก้อนเดียวในงานเสวนาด้านสมุนไพรแบบนี้ นี่พวกเขาเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก
“เหอะๆ คุณพูดออกมาซะใหญ่โต พ่อค้า ถ้าเขาให้หนึ่งหมื่น ผมให้สองหมื่น”
รพีพงษ์ไม่มีท่าทีที่จะถอยให้ เขาพูดออกมาทันที
“สองหมื่นงั้นเหรอ”
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์โอภาสหรือพ่อค้าเร่ รวมไปถึงคนรอบๆ ต่างพากันตกตะลึง พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ
คนจนๆ แบบรพีพงษ์ให้เงินถึงสองหมื่นเลยเหรอ นี่มันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ แม้แต่อาจารย์โอภาสก็คิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะน่ากลัวขนาดนี้
ถึงเขาจะแกะสลักหินก้อนนี้และนำออกมาขาย ราคาไม่น่าจะไม่กี่แสน และต้องอยู่ในสถานการณ์ที่มีคนต้องการซื้อด้วย
และเงินที่ใช้ในกระบวนการทั้งหมดก็ต้องคำนวณด้วยตัวเอง กำไรจริงๆ แค่ไม่กี่หมื่นเท่านั้น
แต่ในเมื่อเดินมาถึงจุดนี้ เขาจะไม่ยอมให้รพีพงษ์ตอกหน้าเขาเด็ดขาด รพีพงษ์แค่สวะคนหนึ่งเท่านั้น
“อาจารย์โอภาสว่ายังไงครับ”
ตอนนี้สีหน้าของพ่อค้าเร่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาหันไปถามอาจารย์โอภาส เห็นได้ชัดว่าเขาอยากให้สองคนนี้ทำให้ราคาสูงขึ้นไปอีก
“ฉันให้สามหมื่น!”
ถึงแม้อาจารย์โอภาสจะหงุดหงิดใจ แต่เขาก็ทุ่มสุดตัวแล้ว การใช้เงินสามหมื่นซื้อหินก้อนนี้เป็นจุดต่ำสุดที่เขาจะรับได้แล้ว
เขาไม่เชื่อว่ารพีพงษ์จะให้ราคาสูงขึ้นอีก นี่เงินตั้งสามหมื่นเชียวนะ คนธรรมดาปีนึงไม่สามารถมีเงินเหลือถึงสามหมื่นหรอก เขาไม่เชื่อว่ารพีพงษ์จะไปต่อได้อีก
“โอ้พระเจ้า นี่มันราคาสามหมื่นแล้วเหรอ งานเสวนาสมุนไพรเปลี่ยนเป็นงานซื้ออัญมณีตั้งแต่เมื่อไรกัน”
ผู้คนรอบๆ ต่างพากันพูดขึ้นด้วยความอิจฉาตาร้อน
“อาจารย์โอภาสลงมือทำอย่างเด็ดขาดจริงๆ ราคามันพุ่งไปที่สามหมื่นภายในพริบตา ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะหมดหวังแล้วสิ”
พ่อค้าเร่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมด
สามหมื่นนี่ทำให้เขารวยได้เลย หินที่หยิบมาตามข้างทางขายได้ในราคาสามหมื่น โลกนี้มันเป็นบ้าไปแล้ว
เมื่อรพีพงษ์ได้ยินคำพูดของอาจารย์โอภาส เขาจึงไม่อยากจะเล่นโดยเพิ่มราคาทีละหมื่นอีกแล้ว เพราะเขาคิดว่าการได้หินก้อนนี้มาคือสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงพูดออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“งั้นผมให้หนึ่งแสน”
เมื่อรพีพงษ์พูดจำนวนเงินหนึ่งแสนออกมา คนรอบๆ ถึงกับเอามือปิดปาก จู่ๆ ที่นี่ก็เต็มไปด้วยความเงียบ ทุกคนคิดว่ารพีพงษ์กำลังพูดเล่น หินก้อนนี้จะมีราคาเป็นแสนได้ยังไง ที่นี่ไม่ใช่งานเสวนาด้านอัญมณีสักหน่อย
ถึงมันจะเป็นงานเสวนาด้านอัญมณี หินเก่าๆ แบบนี้จะขายเป็นแสนได้ยังไงกัน
“หนึ่งแสนอย่างนั้นเหรอ นายบ้าหรือเปล่า หินก้อนนี้จะราคาเป็นแสนได้ยังไง ถึงฉันจะแกะสลักหินก้อนนี้ออกมาราคาของมันก็แค่ไม่กี่แสน สมองนายมีปัญหาหรือเปล่า”
เมื่ออาจารย์โอภาสได้ยินรพีพงษ์ให้ราคาเป็นแสน เขาถึงกับงงไปหมด ตอนนี้เขาหงุดหงิด จึงตวาดใส่รพีพงษ์
“ใช่ เงินเป็นแสนเชียวนะ นายบ้าไปแล้วหรือไง”
คนรอบๆ ได้ยินบทสนทนาของรพีพงษ์กับอาจารย์โอภาส เพราะพวกเขาซื้อหินนั่นมาแกะสลักเท่านั้น
ทุกคนต่างพากันพูดขึ้นมา ส่วนพ่อค้าเร่ตะลึงไปแล้ว เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหินก้อนนี้จะราคาเป็นแสน หรือว่าสองคนนี้บ้าไปแล้ว
ต่อจากนี้เขาไม่ต้องขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรอีกแล้ว หาเก็บหินเอาตามข้างทางก็พอแล้ว ถ้าวันนี้เขาขายหินได้ในราคาเป็นแสน งั้นเขาก็รวยภายในพริบตาแล้วล่ะสิ
“คุณจะจ่ายเป็นเงินสดหรือรูดบัตรครับ”
เขากลัวว่ารพีพงษ์จะเปลี่ยนใจ จึงรีบพูดออกมาทันที
“รูดบัตร”
น้ำเสียงของรพีพงษ์ราบเรียบ ไม่นานรพีพงษ์ก็จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย
หลังจากที่ใส่รหัสเรียบร้อย ทุกคนได้ยินเสียงการจ่ายเงินสำเร็จก็อึ้งไปทันที นี่มันราคาเป็นแสนจริงๆ
“ให้ตายเถอะ ทำไมฉันต้องออกจากบ้านมาเจอคนโง่แบบนายด้วย”
ตอนนี้อาจารย์โอภาสโมโหเป็นอย่างมาก เขาหันหลังและเดินออกไป เขาคิดว่าการซื้อก้อนหินด้วยเงินเป็นแสน มันบ้าไปแล้วจริงๆ
เขาคิดว่ารพีพงษ์ไม่น่าจะเสียเงินเป็นแสนเพื่อซื้อหินก้อนนั้น รพีพงษ์ควรจะไปตรวจสมองที่โรงพยาบาล
ส่วนรพีพงษ์ก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกแล้ว เพราะในมือของเขามีทั้งหญ้าบริสุทธิ์และก้อนหินที่ล้ำค่า
สำหรับเงินแสนที่เพิ่งเสียไปเมื่อครู่ มันเป็นแค่เศษเงินในสายตาของรพีพงษ์ เพราะความร่ำรวยของเขาไม่มีใครสามารถเทียบได้อยู่แล้ว
ถึงหินก้อนนี้จะอยู่ในงานประมูล อย่างน้อยๆ เขาต้องใช้เวลานานกว่าจะได้มันมา เพราะของแบบนี้ใช่ว่าใครจะเจอได้
รพีพงษ์กะว่าจะไปทักทายโพธิสุทธิ์ และจะถามโพธิสุทธิ์ว่ายังมีสมุนไพรล้ำค่าอะไรอยู่ที่นี่อีกบ้าง ถ้าไม่มี เขาจะได้กลับก่อน
โพธิสุทธิ์กำลังนั่งดื่มชาอยู่ภายในห้องที่อยู่ชั้นบนสุด และกำลังพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงข้าม เขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นนาถินีกับท่านปุณยธร
“โพธิสุทธิ์ ฉันเห็นสมุนไพรชนิดหนึ่งในงานนี้ ฉันหาสมุนไพรชนิดนี้มานานแล้ว เดี๋ยวนายช่วยฉันพูดได้ไหม ฉันอยากซื้อมันมาจากใครบางคน แค่นายยอมช่วยฉัน แค่เขายอมขาย ราคาเท่าไรฉันก็ยอม!”
ตอนนี้สีหน้าของท่านปุณยธรเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้ผมจะพยายามดูครับ แต่ผมไม่รับรองนะว่าจะทำสำเร็จ”
โพธิสุทธิ์มีสีหน้ายิ้มแย้ม
“โพธิสุทธิ์ ชื่อเสียงของคุณที่นี่ มีหรือที่จะทำไม่สำเร็จ คุณถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
นาถินีพูดขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“แต่ก็ไม่แน่นะครับ ผมอาจจะไม่สามารถทำให้เขาขายให้คุณก็ได้”
โพธิสุทธิ์ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้ม
“ฉันไม่สนหรอก โพธิสุทธิ์นายต้องช่วยพวกเราให้ซื้อสมุนไพรนั่นให้ได้นะ”
เมื่อนาถินีได้ยินที่โพธิสุทธิ์พูด จู่ๆ เธอก็พูดอ้อนเขาขึ้นมาทันที
“พอแล้วๆ ผมจะพยายามช่วยพวกคุณอย่างเต็มที่”
เมื่อโพธิสุทธิ์ได้ยินดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ เพราะความสัมพันธ์ของเขากับทั้งสองคนดีมาก รู้จักกันมาหลายปีแล้ว ถ้าเขาสามารถช่วยได้เขาก็จะช่วย
แต่เขาไม่รู้ว่าสมุนไพรที่คนพวกนี้ต้องการซื้อคือสมุนไพรที่อยู่ในมือของรพีพงษ์
ตอนนี้รพีพงษ์กำลังมาหาโพธิสุทธิ์ รพีพงษ์เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงของชายคนที่โดนเขาทำร้ายก็ดังขึ้นมา