พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1170 เรียกผู้จัดการมา
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1170 เรียกผู้จัดการมา
และตัวหนังสือที่เขียนด้วยพู่กันดูเหมือนไม่มีความรู้สึกอายุเก่าแก่มากอะไร คาดว่าไม่มีราคาเท่าไหร่ โสรญาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์นี้เลย
แต่ในใจของรพีพงษ์กลับคิดถึงว่า ครั้งนี้โสรญาคงจะเจอกับหายนะใหญ่แล้ว
และศักดาก็ตะคอกใส่พนักงาน
“แกเรียกใครนะ? ก็แค่ภาพพังๆภาพหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่ว่าพวกเราจะชดใช้ไม่ได้!”
เนื่องจากในความคิดของเขา บริษัทของครอบครัวของพวกเขาก็กำลังไปได้สวยในตอนนี้ เขาไม่เชื่อว่าภาพพังๆแบบนี้ มีหรือพวกเขายังชดใช้ไม่ได้เหรอ?
“ฮ่าๆ ภาพเขียนในทุกห้องวีไอพีของชั้นบนเจ้านายโรงแรมของพวกเราเป็นคนประมูลมาโดยเงินจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะภาพนี้ นั่นเป็นผลงานของชุติเทพลูคัสจิตรกรชื่อดัง!”
“ชุติเทพลูคัสเหรอ?”
ศักดาเอ่ยปากพูดทันที
“นั่นเป็นจิตรกรร่วมสมัยผู้ยิ่งใหญ่ ปีก่อนภาพวาดหนึ่งภาพของเขา ถูกเก็งราคาไปหลายร้อยล้าน!”
ในเวลานี้ในใจของซูโก๋แทบจะจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย ในความคิดของเขา ครอบครัวที่อยู่ตรงหน้าคงจะโชคร้ายแล้ว
“หรือว่าเป็นของจริงเหรอ? ภาพวาดนี้แพงขนาดนี้จริงๆเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูโก๋ ศักดาก็ประหม่าขึ้นมา
และอารียาก็ถามรพีพงษ์ว่าภาพวาดนี้ราคาเท่าไหร่กันแน่ ในเมื่อน้าของเธอเป็นคนทำให้สกปรก ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็คงจะต้องชดใช้
ในขณะนี้ ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวดีมากเดินเข้ามาจากประตู โดยไม่คิดอะไรมาก คนคนนี้น่าจะเป็นผู้จัดการที่พนักงานเรียกมา
ผู้จัดการเห็นภาพเขียนบนกำแพงก็รีบเดินเข้ามาในทันที และตรงไปเอามันลงมาจากบนกำแพง ต่อจากนั้นเอ่ยปากถามว่า
“ราคาตลาดของภาพเขียนนี้ ต้องใช้เงินสามล้านเต็มๆ พวกคุณคิดว่าจะชดใช้ด้วยเงินสดหรือว่ารูดการ์ด?”
เมื่อได้ยินคำนี้ ศักดาก็ตกใจมากในทันที ก่อนหน้านี้ยังตะโกนลั่นใส่พนักงานไม่ใช่ว่าจะชดใช้ไม่ได้ เขาก็ก้มหน้าของตัวเองลงในทันที
เทียบเท่ากับเป็นเรื่องล้อเล่น ไม่นึกเลยว่าภาพเขียนภาพหนึ่งแบบนี้ราคาจะสามล้าน ที่สำคัญด้านบนยังแปดเปื้อนไปด้วยน้ำซุป เทียบเท่ากับว่าตอนนี้กลายเป็นขยะไปแล้ว!
ซูโก๋ส่งก็สายตาให้จักรินในทันที จักรินก็เข้าใจทันที และตะโกนใส่โสรญาว่า
“น้ำซุปบนรูปภาพนี้คุณเป็นคนสาดเอง ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรจะเป็นคนจ่ายเงินนี้ไม่ใช่เหรอ?”
อารียาตะคอกใส่จักรินทันที
“นายเรียกอะไร? ไม่ใช่เรื่องของนาย?”
เมื่อได้ยินคำพูดของอารียา จักรินก็นั่งลงมาในทันที โดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย เขากลับต้องการดูว่าครอบครัวที่อยู่ตรงข้ามนี้จะชดใช้ได้อย่างไร!
และซูโก๋ก็ทำเรื่องขยายใหญ่โตลุกลามออกไป
“อันที่จริงนะ เรื่องนี้จะโทษโสรญาทั้งหมดไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ว่ารพีพงษ์ทำเรื่องราวแบบนี้ให้เธอโกรธ ที่สำคัญยังรู้เพียงแต่กินไม่หยุด เธอจะตบถ้วยข้าวจนพลิกคว่ำไปโดนภาพเขียนนี้อย่างไม่ทันระวังได้อย่างไร?”
“ใช่!”
เมื่อโสรญาได้ยินคำพูดของซูโก๋ ก็ลากไปที่รพีพงษ์ในทันที ต่อจากนั้นตะคอกว่า
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะแก!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ รพีพงษ์ขมวดคิ้วในทันที ถ้าไม่ใช่ว่าภรรยาของเขาคืออารียา ตอนนี้เขาก็คงจะกระแทกประตูจากไปตั้งนานแล้ว ครอบครัวนี้ช่างไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!
“คุณน้า เรื่องนี้จะโทษรพีพงษ์ได้อย่างไร ทั้งๆที่คุณน้าเป็นคนทำด้วยตัวเอง!”
ใบหน้าของอารียาเต็มไปด้วยความจนใจในทันที
“พวกเรารีบคิดกันดีกว่าว่าจะจ่ายเงินนี้อย่างไรกันเถอะ”
หลังจากที่อารียาพูดจบก็หยิบการ์ดของตัวเองออกมา
“ช่างเถอะ โสรญาคุณก็ไม่คิดดู เศษสวะอย่างรพีพงษ์จะเอาเงินมากมายขนาดนี้ออกมาได้อย่างไร สุดท้ายอารียาก็ต้องจ่ายอยู่ดี?”
ศักดาส่ายทันที และสายตาของเขาที่มองไปที่รพีพงษ์ก็ยิ่งแย่มากขึ้น
แต่ในใจของโสรญากลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ไม่มีสาเหตุและไม่มีเหตุผลก็จะต้องจ่ายสามล้าน เทียบเท่ากับใจดวงหนึ่งของเธอกำลังมีเลือดไหลหยด
ในขณะนี้จารุดาที่ส่งวิลเลียมออกไปแล้ว กลับมาถึงในห้องวีไอพีเห็นเหตุการณ์ตรงหน้านี้ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามว่า
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เดิมทีตอนที่กลับมา จารุดายังคิดว่าเพราะเรื่องราวของรูปภาพก่อนหน้านั้นของรพีพงษ์ อารียากำลังโกรธรพีพงษ์ ดังนั้นพนักงานจึงเข้ามาไกล่เกลี่ย เธอยังคิดว่าในสุดก็มีเรื่องสนุกให้ดู
“ใช้แล้ว จารุดาเธอรู้จักกับคุณชายวิลเลี่ยมไม่ใช่เหรอ? เธอดูว่าขาสามารถที่จะช่วยพวกเราได้มั้ย?”
เมื่อโสรญาเห็นจารุดาปรากฏตัวก็พุ่งเข้าหาทันที คว้ามือของจารุดาไว้ทันทีต้องการให้จารุดาช่วย
เธอเห็นว่าก่อนหน้านั้นวิลเลียมออกเงินได้ใจกว้างใจมากขนาดไหน ตาไม่กะพริบ ก็เอาเงินออกมาหนึ่งล้าน
แต่จารุดาไม่มีความตั้งใจที่จะสนใจโสรญาแม้แต่น้อย ก็หันหลังเดินกลับไปที่นั่ง
หลังจากที่เข้าใจคร่าวๆ เธอรู้แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอพูดด้วยใบหน้าเต็มไปการเยาะเย้ย
“ขอโทษด้วยจริงๆ คุณชายวิลเลี่ยมนั่งบินเครื่องกลับไปแล้ว คงจะติดต่อเขาไม่ได้”
เมื่อโสรญาได้ยินคำพูดของจารุดา นั่งลงมาด้วยความหงุดหงิดโมโหทันที ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้พวกเขาหนีไม่พ้น
และจารุดากลับชะงักนิ่งแล้วเอ่ยปากพูดต่ออีกว่า
“แต่ถ้าหากว่ารพีพงษ์สามารถที่จะคุกเข่าขอโทษฉันอยู่ตรงหน้าฉันได้ ที่สำคัญทางที่ดียังสามารถขอบคุณคุณชายวิลเลี่ยมด้วย ถ้าอย่างนั้นไม่แน่ฉันอาจจะมีวิธีติดต่อเขาได้ ให้เขาช่วยพวกคุณ”
ความจริงเธอก็ไม่มีวิธีที่จะติดต่อกับวิลเลียม เพราะแม้แต่เบอร์โทรของวิลเลียมก็อยู่ภายใต้การใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมไม่หยุดของเธอถึงฝืนให้เธอมาได้
เมื่อเห็นท่าทางของลูกสาว ซูโก๋ก็ชื่นชมอยู่ในใจทันที ไม่เสียแรงที่ลูกสาวเรียนมหาวิทยาลัยมาจริงๆ ตอนนี้ทำเรื่องราวได้แทบจะรอบคอบ และยังเก่งกว่าลูกชายของตัวเองเป็นอย่างมาก
“รพีพงษ์เศษสวะอย่างแก! ยังไม่รีบคุกเข่าให้จารุดาอีก!”
ศักดาตะคอกทันที
“ใช่ เศษสวะอย่างแก ก็คงจะไม่เคยคิดเลยว่าแค่การคุกเข่าของตัวเองก็มีค่าถึงสามล้าน ครั้งนี้เสียเปรียบให้แกเกินไปแล้ว”
สีหน้าของโสรญาเหมือนราวกับว่าคนที่ทำลายภาพเขียนนี้คือรพีพงษ์ แต่ไม่ใช่เธอ
และในเวลานี้ทุกคนก็ไม่รู้ว่าในใจของรพีพงษ์เต็มไปด้วยความเย็นชาแล้ว แต่ว่าก็สลายไปในทันที
เนื่องจากว่าเขาแต่งานเข้าตระกูลฉัตรมงคลก็เป็นเพราะเห็นแก่หน้าของท่านศักดา และเขาไม่สามารถที่จะทำอะไรคนเหล่านี้ได้
เห็นเพียงเขาค่อยๆลุกขึ้นยืน เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พวกคุณรอฉันสักครู่ ฉันจะไปโทรศัพท์”
“เด็กเวรอย่างแกยังคิดจะหนีเหรอ?”
โสรญาด่าด้วยความโกรธทันที
“เป็นเศษสวะที่ไม่มีความรับผิดชอบจริงๆ เกิดเรื่องแล้วก็คิดจะหนี ฉันจะบอกแกให้วันนี้แกอย่าได้คิดจะไปไหน!”
ใบหน้าของศักดาก็เต็มไปด้วยความโกรธ
“ฉันกลับต้องการดูว่าเขาจะสามารถโทรหาใครได้ จะว่าไปแล้วท่าทางแบบนี้จะสามารถรู้จักใครได้!”
และรพีพงษ์เดินออกจากห้องหาสถานที่ไม่มีใครอยู่แล้วโทรหาเลขานุการคนก่อนหน้านั้นของเขา
เสียงของเลขานุการเส้นไหมก็ดังมาอีกด้านของโทรศัพท์
“นายน้อย คุณหาฉันมีอะไรมั้ย?”
ในช่วงสองวันมานี้ จอกหนูก็กำลังติดตามทุ่งยาสมุนไพร เขาก็กลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก แต่โชคดีตั้งแต่วันนั้นหลังจากที่รพีพงษ์ทำการรักษา ยาสมุนไพรเหล่านั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรแม้แต่น้อย
“เส้นไหม คุณช่วยฉันตรวจสอบดูโรงแรมที่ฉันอยู่ในตอนนี้ เดี๋ยวฉันส่งชื่อให้คุณ”
“รับทราบ”
หลังจากที่รพีพงษ์ส่งไปไม่ถึงหนึ่งนาที เสียงของเส้นไหมก็ดังมา
“นายน้อย โรงแรมแห่งนี้ก็เป็นกิจการของตระกูลพวกเรา”