พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1207 หมู่บ้านที่เงียบสงัด
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1207 หมู่บ้านที่เงียบสงัด
หุ่นเชิดสองตนที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินคำพูดที่กล้าหาญอย่างนี้ อดไม่ได้ที่จะเกิดความภูมิใจขึ้นมา
หลายร้อยปีก่อน พวกเขาติดตามจอมมารชูร่า ต่อต้านกับผู้คนทวีปโอชวินเช่นกัน
จนตอนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะตายกันไปแล้ว กลายเป็นหุ่นเชิด แต่ว่า ในตอนสุดท้ายจอมมารยอมปล่อยให้พวกเขาติดตามรพีพงษ์
นี่เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดอย่างไม่มีข้อสงสัยเลย!
เมื่อเทียบกับจอมมารชูร่าเมื่อปีนั่นแล้ว รพีพงษ์มีพรสวรรค์เช่นกัน ที่สำคัญไปมากกว่านั้นก็คือ การไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ยิ่งผิดหวังก็ยิ่งกล้าหาญ ก็ยิ่งกลายเป็นเงื่อนไขที่สำคัญของการช่วยชีวิตคนทั่วไปให้รอดพ้น
ร่วมทำงานกับคนที่มีความสามารถเช่นนี้ แม้ว่าต่อไปจะต้องตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ขอเพียงแค่มีอานุภาพเกรียงไกร ก็ตายอย่างคุ้มค่า!
“ตมิสา ชยนต์!”
รพีพงษ์มองไปยังสองคนที่อยู่ตรงหน้า : “ฉันมีงานๆหนึ่ง ที่จะต้องมอบหมายให้พวกนายทำ”
“นายท่านมีธุระอะไรรีบพูดมาเลย ต่อให้อันตรายหรือยากมากแค่ไหน ผมชยนต์ก็พร้อมบุกไปกับคุณ”
“ใช่ค่ะ ตมิสาก็เช่นกัน!”
ชยนต์กับตมิสาตอบกลับ
รพีพงษ์พยักหน้าเบาๆ เมื่อเทียบกับบางคน หุ่นเชิดคงจะมีความจงรักภักดีมากเกินไป
“พรุ่งนี้เช้า ฉันจะต้องออกเดินทางไกล ไปครั้งนี้น่าจะหนึ่งเดือน หรืออาจจะครึ่งปี หรืออาจะมากกว่านั้น”รพีพงษ์พูดกล่าว
“วางใจ ไม่ว่านายท่านจะไปที่ไหน ฉันและชยนต์ก็จะคุ้มกันคุณ!”ตมิสาพูดกล่าว ชยนต์ก็ไม่ได้คัดค้านไปโดยปริยาย
รพีพงษ์ส่ายหน้า : “งานที่ฉันจะมอบหมายให้พวกนายทำสำคัญมาก ขนาดที่ว่า สูงส่งกว่าชีวิตของฉัน ถ้าหากพวกนายทำสำเร็จไม่ได้ ฉันจะไม่ให้อภัยพวกนายแน่นอน!”
“นายท่าน!”
ชยนต์และตมิสาทั้งสองคนมองไปยังเจ้านายอย่างสงสัย
สำคัญกว่าชีวิตของเจ้านาย หน้าที่นี้มันคืออะไรกัน?
“ช่วงเวลาเหล่านี้ที่ฉันไม่อยู่ พวกนายจะต้องปกป้องอยู่ข้างกายของแคลร์และขวัญนลินตลอดเวลาเหมือนปกป้องฉันยังไงอย่างนั้น รับรองความปลอดภัยของพวกเขา ได้ยินแล้วยัง?”รพีพงษ์พูดสั่ง
ชยนต์และตมิสามองตาซึ่งกันและกัน เข้าใจทันที
สิ่งที่อยู่เหนือกว่าชีวิตของรพีพงษ์ ที่แท้ก็คือความปลอดภัยของแคลร์และขวัญนลิน!
“รับทราบ!”ทั้งสองคนพูดจาพร้อมเพรียงกัน
รพีพงษ์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ มีคนที่แข็งแกร่งอย่างแดนดั่งเทพชั้นยอดทั้งสองคอยคุ้มกัน ดูแลปกป้องบ้านรับรองความปลอดภัยของอารียาและขวัญนลิน ตระกูลลัดดาวัลย์ก็จะไม่มีเหตุร้ายใดๆเกิดขึ้นแล้ว
นี่คือการมีอยู่ของแดนดั่งเทพชั้นยอด ภายใต้แดนเทพ อีกอย่าง ยังมีสองท่าน!
“นายท่าน คุณวางใจเถอะ ภรรยาและลูกของคุณ มอบให้เป็นนายที่ของผม”
ชยนต์พูดอย่างจริงใจ
รพีพงษ์ได้ยินคำพูดของชยนต์ เหมือนว่าไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่ เมื่อคิดพิจารณาถึงความซื่อบื้อของชยนต์ ก็ไม่ได้ซักถามลงลึกอะไร
“เจ้านาย ฉันยังมีอีกหนึ่งคำถาม” ตมิสาเอ่ยถาม : “ถ้าหากมีคนเข้ามายั่วยุตระกูลลัดดาวัลย์จริงๆ หรือว่าข่มขู่ความปลอดภัยของภรรยาและขวัญนลิน งั้นเราควรจะทำอย่างไรดี พาพวกเขาหนีไป หรือว่า……”
“คนที่กล้ามาข่มขู่อารียาและขวัญนลิน สับให้ตายคาที่!” รพีพงษ์พูดกล่าว
ตมิสายิ้มพร้อมพูดว่า : “ค่ะนายท่าน เมื่อคุณพูดแบบนี้ก็โอเคค่ะ เราก็รู้แล้วว่าควรทำยังไง”
“อืม พวกนายถอยกันไปก่อนเถอะ” รพีพงษ์พูดกล่าว
กลางคืน รพีพงษ์นั่งอยู่บนหลังคาบ้านเพียงลำพัง
ช่วงนี้ประมือกับคนของทวีปโอชวินสองครั้งแล้ว ทำให้รพีพงษ์รู้ซึ้งถึง ความแข็งแกร่งของตัวเองยังคงไม่เพียงพอ
อีกอย่าง ยังมีเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือภายในเวลาหนึ่งปี ต้องหายาถอนพิษ และช่วยชีวิตอารียาให้รอดพ้น
เมื่อคิดถึงลูกสาวที่นอนหลับฝันหวานบนเตียง รพีพงษ์ก็อดไม่ได้ที่จะฝืนยิ้ม
ดูเหมือนว่า ตัวเองจะต้องออกจากบ้านไปเป็นเวลานานอีกแล้ว ไม่สามารถอยู่เป็นเคียงข้างยัยตัวน้อยคนนี้ได้แล้ว
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ามีหมอกปกคลุม
ตั้งแต่เช้าตรู่ รพีพงษ์ก็จะออกไปจากบ้านพักหลังใหญ่
“รพีพงษ์ ระวังตัวด้วยนะคะ ” อารียาพูดกล่าว
รพีพงษ์พยักหน้า และกอดสาวสวยคนนี้แปปหนึ่งอีกครั้ง
“จริงสิ นี้เป็นรูปที่ฉันและขวัญนลินถ่ายไว้ก่อนหน้านี้ เวลาที่คิดถึงลูกสาว ก็สามารถเอามาดูได้” อารียาพูดกล่าว หยิบภาพใบนี้ออกมา
นัยน์ตาของรพีพงษ์เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ในรูป ขวัญนลินยิ้มได้สดใสมาก
“ที่นี่ ก็มอบให้เป็นหน้าที่ของพวกนายแล้วนะ”
รพีพงษ์พูดกับชยนต์และตมิสา
“วางใจเถอะนายท่าน” ทั้งสองคนตอบกลับ
รพีพงษ์ก็ไม่พูดอะไรมากอีกแล้ว ขับ Maserati ออกไปอย่างรวดเร็ว
อารียาและทั้งสองคนที่อยู่ข้างกายมองดูรพีพงษ์ออกไป จนกระทั่งหายไป
ในใจของชยนต์และตมิสามีลางสังหรณ์บางอย่าง รอวันที่รพีพงษกลับมาอีกครั้ง เขาจะต้องกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าตอนนี้!
ตลอดทางที่ลงใต้ รพีพงษ์ไม่ได้ อาลัยอาวรณ์กับทิวทัศน์ที่งดงามระหว่างทางเลย
ตอนนี้สำหรับรพีพงษ์แล้ว เวลาเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุด
เมื่อมองจากเหตุการณ์ในตอนนี้ คนของทวีปโอชวิน ดูเหมือนว่ามีการเดินทางไปกลับจากโลกบ่อยครั้งอย่างมาก
และทุกอย่างนี้ รพีพงษ์เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับวิญญาณที่ดับสูญไปของจอมมารชูรา
เพราะงั้น สิ่งที่รพีพงษ์จำเป็นต้องทำในตอนนี้ ก็คือพยายามยกระดับความแข็งแกร่งของตัวเองโดยเร็วที่สุด ก่อนที่คนของทวีปโอชวินจะเข้ามาโจมตีอย่างรุนแรง ต้องมีพลังที่จะใช้ในการต่อสู้
ก่อนหน้านี้ รพีพงษ์เคยไปที่สำนักเทพยาเซียน เขารู้ ระหว่างทางที่จะไปสำนักเทพยาเซียน มีหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง
ตอนนี้ รพีพงษ์ถึงหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้แล้ว
วิวทิวทัศน์ของหมู่บ้านไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนอะไรมากมาย แต่ว่า ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว กลับเห็นได้ชัดว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีประชากรเบาบางลงแล้ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?ฉันจำได้ว่าตอนที่มาครั้งก่อน แม้ว่าคนของที่นี่จะไม่ได้มีมากอะไร ไม่สามารถเปรียบเทียบกับเจริญรุ่งเรืองของเกียวโตได้ แต่ว่า แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่ว่าเปลี่ยนแปลงมาเป็นแบบนี้นะ”
รพีพงษ์คาดการณ์ภายในใจ แต่ก็ไม่ได้คิดมากมาย
ผ่านเข้ามายังหมู่บ้าน ต่อมาก็เป็นถนนบนภูเขา ทำได้เพียงใช้เท้าเดินไปทั้งนั้น
หลังจากที่จอดรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว รพีพงษ์ก็คิดจะพักที่โรงแรมสักหน่อย ฟื้นฟูกำลังวังชา พรุ่งนี้เช้าก็มุ่งหน้าตรงไปที่สำนักเทพยาเซียน
ไม่มีใครสักคนอยู่บนถนนเลย แม้ว่าจู่ๆจะปรากฏออกมาสองสามคน แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าที่หวาดกลัว
สิ่งที่ยิ่งจะทำให้รพีพงษ์รู้สึกประหลาดใจก็คือ คนที่อยู่บนถนนเหล่านี้มีท่าทางที่เร่งรีบ พวกเขาล้วนแต่สวมใส่หน้ากากอนามัย
“หรือว่า คนของหมู่บ้านแห่งนี้ ป่วยกันทั้งกลุ่มแล้ว?”
รพีพงษ์บ่นพึมพำในปาก
และในเวลานี้ ลุงสูงวัยกลางคนหนึ่งในมือถือถุงอาหารสามสี่ถุงเดินผ่านข้างกายรพีพงษ์ไปพอดี
“คุณลุง!”
รพีพงษ์ใช้มือรั้งชายวัยกลางคนท่านนี้ไว้ : “ขอถามหน่อยที่นี่เป็นอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่เหรอ?”
ลุงเงยหน้ามองรพีพงษ์แวบหนึ่ง สั่นคลอนไปทั้งตัว แล้วถอยลงไปสามสี่ก้าว เว้นช่องว่างระหว่างรพีพงษ์ไว้ ทันใดนั้น เขาก็หยิบสเปรย์ออกมา ฉีดเข้าไปยังรพีพงษ์อย่างมั่วซั่วเลย
แอลกอฮอล์?
รพีพงษ์ตอบสนองกลับมาทันที ก็ได้ ลุงวัยกลางคนคนนี้กำลังฆ่าเชื้อให้กับตัวเอง?
“ไอ้หนุ่ม ทำไมเวลาออกจากบ้านไม่ใส่หน้ากากอนามัยล่ะ?นายไม่รู้เหรอกว่าช่วงนี้อยู่ในวิกฤติ?” ชายวัยกลางคนพูดถาม
“วันนี้อากาศก็ดีมากเลยไม่ใช่เหรอครับ ทำไมถึงต้องใส่หน้ากากอนามัย?” รพีพงษ์ถามกลับ
“นายมาจากที่อื่นสินะ”
ลุงพูดต่อ เมื่อเห็นรพีพงษ์พยักหน้ายอมรับก็พูดอีกว่า : “งั้นฉันแนะนำให้นายรีบออกไปเถอะนะ ตอนนี้ที่นี่กำลังมีการระบาดของโรคที่น่ากลัวชนิดหนึ่ง นายไม่เห็นเหรอ ทางเดินเส้นนี้ ปัจจุบันนี้ไม่มีใครกล้าออกจากบ้านแล้ว”
“โรคที่น่ากลัว?”
รพีพงษ์ขมวดคิ้วแน่น
“พอแล้วพอแล้ว ฉันไม่คุยกับนายแล้ว อีกเดี๋ยวหลิงเฉินจื่อนักพรตเต๋าจะเริ่มให้ยา ฉันจะต้องรีบไปเข้าแถวแล้ว”
พูดแล้ว ชายวัยกลางคนก็รีบออกไปจากที่นี่อย่างลุกลี้ลุกลน
มองไปที่ด้านหลังของอีกฝ่าย รพีพงษ์ส่ายๆหน้า ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เป็นฤดูแห่งการระบาดของไข้หวัดใหญ่ และเกียวโต ในช่วงเวลานี้ก็มีผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ไม่น้อยเลย
เป็นเพียงแค่ คนในหมู่บ้านเล็กๆที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเอะอะโวยวายทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
โรงแรมชิงเฟิง รพีพงษ์มองการตกแต่งของโรงแรมแห่งนี้ไม่เลวเลยทีเดียว พร้อมเดินเข้าไปแล้ว
“คุณจะทำอะไร ไม่รู้เหรอว่าที่นี่ไม่อนุญาตให้เข้าไป!”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตู ขวางกั้นรพีพงษ์ไว้