พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1236 ปยุตคำนับอาจารย์
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1236 ปยุตคำนับอาจารย์
เช้าวันต่อมา
เสี่ยงนอนกรนของปยุตเมื่อคืนนี้ ทำให้รพีพงษ์รู้ว่าอะไรที่เขาเรียกว่าดังสนั่นฟ้าดิน เขาแทบปิดตาหลับไม่ได้ทั้งคืน จนถึงช่วงดึกรพีพงษ์ถึงจะได้หลับ
เสียงนกร้องในหุบเขา ปลุกรพีพงษ์ให้ตื่นขึ้น
พอกำลังลืมตาขึ้น รพีพงษ์ก็เห็นใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ตรงหน้าตนเอง
รอยยิ้มนั้น มันอบอุ่นบริสุทธิ์ จนน่ากลัว!
รพีพงษ์ก็กำหมัดต่อยออกไปด้วยสัญชาตญาณ โดยไม่ลังเล
“อย่าๆ !”
ปยุตพูดออกมา
รพีพงษ์ก็พบว่า คนที่มายิ้มใส่หน้าตนเองตั้งแต่เช้า ก็คือตาแก่ปยุตนี่เอง
โชคดีที่รพีพงษ์ตอบสนองเร็ว จึงเก็บกำปั้นกลับมาได้
“คุณมาจ้องมองทำไมตั้งเช้าเนี่ย?” รพีพงษ์หัวเสียนิดหน่อย
เล่นแบบนี้ไม่ได้เลย ถ้าตนเองเก็บกำปั้นไม่ทันล่ะก็ ตอนนี้กระดูกของปยุตก็คงจะแหลกสลายไปหมดแล้ว
“ผมแค่อยากจะบอกว่า อาหารเช้ามาส่งแล้ว รีบลุกไปกินเลย” ปยุตเหมือนจะไม่หัวเสียเลย ยังคงยิ้มตาหยีพูดออกมาเหมือนเดิม
รพีพงษ์ก็แอบแปลกใจ ตาแก่คนนี้ วันนี้เป็นอะไรไป รู้สึกไม่เหมือนเมื่อวาน
อยู่ดีๆ มาทำดีด้วย ไม่มีเรื่องดีแน่!
รพีพงษ์ก็คิดในใจว่า ตาแก่นี่ จะต้องมีเรื่องมาขอร้องตนเองแน่
“มา รีบกินสเต๊กเนื้อนี่สิ!”
ปยุตก็เอาสเต๊กเนื้อวากิวจากประเทศญี่ปุ่นใส่ลงไปในจานของรพีพงษ์โดยไม่รอรี
คุณภาพเนื้อนุ่มลิ้น ละลายในปาก
พูดถึงสเต๊กเนื้อแบบนี้ รพีพงษ์ก็ยอมรับในคุณภาพของวัวญี่ปุ่น
“ถ้าคุณจะพูดกับผมเรื่องรอธส์ไชลด์ล่ะก็ บอกเลยว่าไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ผมรับปากคุณแล้ว ผมไม่เบี้ยวคุณหรอก” รพีพงษ์กล่าว
“เปล่า ใช่เรื่องรอธส์ไชลด์ที่ไหนกัน”
ปยุตทำท่าดีใจ แล้วก็ยิ้มใส่ฝั่งตรงข้าม
รพีพงษ์ก็ทำอะไรไม่ได้ คนแก่ๆ คนหนึ่ง มายิ้มให้คุณตั้งแต่มื้อเช้า โดยไม่มีเหตุผล ต่อให้เป็นเนื้อวัววากิวจากญี่ปุ่น ก็ไม่อร่อยแล้ว
“วางมีดกับส้อมลง รพีพงษ์ก็พูดว่า “มีเรื่องอะไรก็บอกมาตามตรงเลยครับ ไม่ต้องมองผมแบบนี้” ”
“จริงๆ ……..ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ถูกเดาความคิดออก ปยุตก็เขินอายขึ้นมา
“จริงๆแล้ว ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะให้คุณช่วย คือว่า……”
พูดถึงตรงนี้ ปยุตก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วก็คำนับไปที่รพีพงษ์ โดยไม่รอให้เขาตอบสนองอะไรเลย
“ผมอยากขอให้คุณมาเป็นอาจารย์ผม สอนให้ผมบำเพ็ญฝึกวิชา!”
“อะไรนะ?”
รพีพงษ์รีบลุกขึ้น “นี่คุณ จะกราบผมเป็นอาจารย์งั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว!”
ปยุตเหลือบาขึ้นมองรพีพงษ์ “ให้ตายเถอะ ไอ้แก่จิรภัทรนั่น มักจะอาศัยว่าตัวมันเองมีวิชาสูงกว่าผม พอพูดไม่เข้าหูก็เอากำลังมาบีบบังคับผม ผมไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก”
รพีพงษ์ก็หัวเราะออก “พูดมาตั้งนาน ที่แท้ก็เรื่องแค่นี้เอง”
“ใช่ ด้วยเหตุผลนี้แหละ แต่ว่า ผมยังมีเหตุผลอื่นด้วย” ปยุตพูด
“คุณลุกขึ้นมาพูดก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรก็ลุกขึ้นมาพูดกันก่อน ถ้าคุณยังคุกเข่าอยู่แบบนี้ล่ะก็ งั้นผมก็จะคุกเข่าลงไปเหมือนกัน” รพีพงษ์กล่าว
ยื่นมือออกไปช้าๆ รพีพงษ์ก็พยุงเขาลุกขึ้นมา
“เก่งกาจกว่าไอจิรภัทรนั่นจริงๆ ด้วย!” ปยุตพูดชมออกมา
“ไหนลองว่ามา มีเหตุผลอะไรที่จะให้ผมช่วยคุณเพิ่มระดับ” รพีพงษ์ถามเบาๆ
“ก็เพราะคุณไง!”
ปยุตพูดสีหน้าปกติ
“ผมงั้นหรือ?”
ครั้งนี้ รพีพงษ์ไม่รู้จริงๆ ว่าในใจของตาแก่นี่กำลังคิดอะไรอยู่ อยู่ดีๆ ทำไมลากเอาตนเองไปเกี่ยวข้องด้วย
“ถูกต้อง”
สายตาของปยุตจริงจังขึ้น ไม่ได้พูดเล่นแม้แต่น้อย แล้วก็พูดว่า “คุณรู้อยู่ว่าตอนนี้ผมอยู่ในระดับแดนปรมาจารย์เท่านั้น ถึงแม้จะมีส่วนช่วยในด้านอายุขัยอยู่มาก แต่ว่า ถึงแม้จะอายุยืน แต่ก็มีวันสิ้นอายุ”
ตาแก่นี่ มีความรู้เหมือนกันนะเนี่ย!
รพีพงษ์คิดในใจ
“ดังนั้นก็เลยจะ……”
ปยุตก็พูดต่อ “ผมเลยคิดว่า อยากจะอาศัยโอกาสที่ได้อยู่กับคนอัจฉริยะแบบคุณอย่างนี้ทุกวัน ไม่สู้รีบเพิ่มตบะบำเพ็ญ ลองดูสิว่าผมจะเลื่อนขั้นได้ไหม”
รพีพงษ์ก็พูดนิ่งๆ ว่า “ที่แท้คุณก็จะทำเพื่อยืดอายุขัย แต่ก็เหมือนที่คุณพูดไว้นะ ต่อให้เป็นระดับแดนเทพ อายุขัยก็จะมีวันสิ้นสุดในสักวัน”
“ถูกต้อง ตอนแรกผมก็คิดแบบนี้ แต่ว่า ตั้งแต่ที่ได้รู้จักคุณ ผมก็อยากมีชีวิตที่ยืดยาวกว่าเดิม”
ปยุตบอกว่า “เพราะว่า คุณทำให้ผมได้มีมุมมองใหม่ต่อสรรพสิ่งต่างๆอยู่ตลอดเวลา ผมอยากดูเห็น อยากจะเห็นว่าสุดท้ายแล้ว คุณจะกลายเป็นยอดฝีมือแบบไหนกันแน่!”
รพีพงษ์ขมวดคิ้วเล็กๆ แล้วมองปยุต
คำที่ปยุตพูดแต่ละคำมันมาจากใจ ถึงขนาดแม้แต่ตนเองก็ยังไม่เคยได้คิดถึงปัญหาจุดนี้เลย
ใช่น่ะสิ หลังจากนี้หลายปี ผมจะกลายเป็นคนแบบไหนกันแน่?
ในใจรพีพงษ์ไม่มีคำตอบ แต่เขารู้ดีว่า จากการที่ระดับที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับ มันก็จะหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่ตนเองแบกรับไว้ ก็คือแรงกดดันที่คนอื่นไม่สามารถรับรู้ได้
“ปยุต คุณให้ผมสอนคุณ จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” รพีพงษ์กล่าว
ปยุตเตรียมจะคำนับลงไปอีกครั้ง รพีพงษ์ก็ยื่นมือไปพยุงเข้าขึ้น
“เรื่องการกราบเป็นอาจารย์ ก็ไม่ต้องหรอก พอดีเลยว่า ผมก็กำลังจะขอให้คุณสอนเรื่องการกลั่นยา พวกเราก็ถือว่าเจ๊ากันไป คุณว่าไง?” รพีพงษ์กล่าว
พอปยุตได้ยิน ก็ไม่ได้บังคับอะไร
“ได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ จากนี้พวกเราก็เรียกชื่อซึ่งกันและกัน ไม่ต้องมาคิดเรื่องผู้ใหญ่ผู้น้อย เป็นไง?” ปยุตยิ้มพูด
“ตามนี้!”
สายตาของรพีพงษ์มีรอยยิ้ม รู้จักกัน2วัน เขาก็มองตาแก่นี่ในอีกแบบหนึ่ง
ปยุตคนนี้ มีความคิดซื่อตรง จะทำอะไรก็ทำตามความชอบของตนเอง ไม่ถูกควบคุมจากเรื่องราวภายนอก ใช้ชีวิตอย่างปลดปล่อย
“ผมมีเคล็ดวิชาอันหนึ่ง เหมาะกับการฝึกวิชาของคุณเหมือนกัน ขอเพียงคุณขยันฝึกฝน จะเลื่อนขั้นได้ในไม่ช้า” รพีพงษ์กล่าว
“เคล็ดวิชาอะไรครับ?”
ปยุตรีบถาม
“คาถาคำสิบ”
รพีพงษ์ตอบ
ก่อนหน้านี้ หลังจากที่รพีพงษ์ได้รับการถ่ายทอดทั้งหมดจากจอมมารชูร่าแล้วนั้น ก็เคยจดจำกระบวนท่าของจอมมารชูร่าทั้งหมดอีกครั้ง
เขาก็ได้พบกับคาถาคำสิบบทนี้เข้า
เคล็ดวิชานี้ เหมาะสมกับคนที่มีพื้นฐานแล้วอย่างมาก
เคล็ดวิชามีทั้งหมด10ตัวอักษร เมื่อฝึกได้แต่ละอักษรแล้ว พลังของตนเองก็จะเพิ่มขึ้น
ถ้าหากว่าฝึกครบทั้ง10ตัวอักษรแล้ว รพีพงษ์ก็คาดว่า ปยุตก็จะสามารถเข้าสู้ช่วงกลางของระดับแดนดั่งเทพ
เพียงแต่ สำหรับรพีพงษ์ที่เข้าสู่ระดับแดนดั่งเทพแล้วนั้น เคล็ดวิชาแบบนี้มันไม่มีประโยชน์แล้ว
“คาถาคำสิบงั้นหรือ?”
ปยุตได้ยินดังนั้น ก็แปลกใจอย่างมาก “นี่มันเป็นคาถาซ่างกู่ เป็นสุดยอดเคล็ดวิชา คุณไปได้มันมาอย่างไร?”
รพีพงษ์ก็อึ้งๆ จริงอยู่ จอมมารชูร่าเป็นแค่การสืบทอดวิชาการต่อสู้ แต่ล้วนแล้วไม่ธรรมดา
“เรื่องนี้คณไม่ต้องกังวล สรุปว่า เดี๋ยวผมจะถ่ายทอดคาถาคำสิบนี้แก่คุณเอง”
พูดจบ รพีพงษ์ก็พูดไป ปยุตก็จดจำอย่างขึ้นใจ
ปยุตที่มีพลังจิต ความจำก็ไม่ได้แย่เลย ไม่นาน เขาก็จดจำคาถาคำสิบได้
“ขอบคุณมาก” ปยุตยกมือคำนับ
รพีพงษ์ยิ้มเบาๆ “ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ต่อจากนี้ คุณก็ควรจะสอนผมกลั่นยาชั้นเลิศแล้วใช่ไหม?”
ปยุตหุบรอยยิ้ม แล้วพูดหน้านิ่งว่า “ตามผมมาเลย!”
ทั้งสองเดินออกถ้ำไป เดินไปได้กว่า10ลี้ ก็มาถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง
“จะกลั่นยากันที่นี่งั้นหรือ?” รพีพงษ์ถามขึ้นมา
“ใช่แล้ว!”
ปยุตตอบกลับไป
รพีพงษ์ก็เห็นสภาพแวดล้อมรอบๆ มีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ด้านหน้าก็เป็นหน้าผาสูงมาก
ปยุตคนนี้ ทุกครั้งที่ให้ตนเองกลั่นยา สถานที่กลั่นยาก็มักจะทำให้ชวนคิดเสมอเลย
ครั้งก่อนก็กลั่นยาในความมืด ครั้งนี้ก็มากลั่นยาที่หน้าผา รพีพงษ์เดาทางไม่ถูก
“ที่นี่ก็คือสถานที่ที่คุณจะกลั่นยา ยาเม็ดหลงกู่!”
ปยุตกล่าว แล้วก็เอาสูตรยามายัดใส่มือของรพีพงษ์
รพีพงษ์เห็นสูตรยา แล้วก็สงสัยว่า “น่าแปลก ยาเม็ดทั่วไปครั้งก่อนก็มีตัวยาตั้ง10กว่าชนิด ยาเม็ดระดับสูงมี30กว่าชิด ทำไมยาเม็ดหลงกู่มีตัวยาแค่3ชนิดล่ะ?
“เปลี่ยนซับซ้อนให้เป็นง่าย ของที่มีราคาสูง ก็จะยิ่งไม่มุ่งเน้นที่ความหรูหรา ดูไปเหมือนมีตัวยาแค่3ชนิด จริงๆ แล้ว มันก็เป็นความท้าทายต่อจิตสมาธิของคุณมาก!” ปยุตกล่าว
รพีพงษ์ก็คิดตามจากสิ่งที่เขาพูดมา ก็เหมือนกับการเรียนการต่อสู้ คนมีฝีมือเก่งๆ ก็จะคิดออกระบวนท่าคิดชีวิตไปเลย ใช้วิธีที่ง่ายที่สุด เพื่อเอาชีวิตฝั่งตรงข้าม
ดูเหมือนว่า หลักการแบบนี้มันจะใช่ร่วมกันได้
“งั้นพวกเราเริ่มกันเลย” รพีพงษ์กล่าว แทบจะทนรอไม่ได้แล้ว
ถ้าตนเองสามารถกลั่นยาชั้นเลิศออกมาได้โดยใช้เวลาเพียง2วันล่ะก็ เช่นนั้น ยาเม็ดระดับเทพเซียนในมือของโจซี่ ก็จะได้มาในไม่ช้านี้
“รอเดี๋ยว”
สายตาของปยุตเปลี่ยนไป แล้วมองรพีพงษ์เหมือนมีอะไรสักอย่าง
“ยาชั้นเลิศ ถ้ามีปัญหาอะไรระหว่างกลั่นยาล่ะก็ ก็จะถูกพลังของยาตีกลับจนเป็นอันตรายได้ ถ้าหนักก็ต้องจบชีวิต คุณเข้าใจแล้วใช่ไหม?”