พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1239 สอนเธอสักคาบหนึ่ง
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1239 สอนเธอสักคาบหนึ่ง
แข่งกันกลั่นยางั้นหรือ?
ตนเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า ในช่วงวัยเดียวกัน ตอนนี้ตนเองอยู่ในระดับไหนกันแน่
“ได้ ผมรับปาก” รพีพงษ์ตอบกลับไป
“ได้ พอถึงตอนนั้นพวกเราก็ตัดสินแพ้ชนะในครั้งเดียวเลย ไม่ว่าใครแพ้ จะต้องยอมเป็นคนรับใช้ให้อีกฝ่าย” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมา
ช่างเป็นผู้หญิงแก่นจริงๆ
“ได้ แต่คนใช้บ้านผมมีมากพอแล้ว คุณยังไม่เหมาะสมที่จะเป็นคนรับใช้ของผม” รพีพงษ์พูดนิ่งๆ
“คุณนี่ยังไง น่าเกลียดเสียจริง!”
สาวน้อยถูกยั่วจนโมโห แล้วก็เอามือชี้หน้ารพีพงษ์ “พรุ่งนี้ตอนสาย ฉันจะดูสิว่า คุณจะยังอวดเก่งแบบนี้อีกหรือเปล่า!”
พูดไป สาวน้อยก็หันหลังเดินกลับออกไป
ตอนนี้รพีพงษ์ก็ไม่มีใจอยากจะเดินเที่ยวต่อไปอีกแล้ว จากนั้นก็เดินกลับไปยังถ้ำตนเอง
ปยุตยังคงหลับอยู่ ดูเหมือนว่า จะไม่ได้พักผ่อนมา20กว่าชั่วโมง มันมีผลกระทบต่อเขามากพอสมควร
รพีพงษ์ใบหน้าอมยิ้ม แต่ไม่ได้รบกวนเขา แต่เดินมานั่งข้างๆ อย่างเงียบๆ
สักพักใหญ่ จนถึงตอนนี้ชายหนุ่มคนที่ส่งอาหารมาถึง ปยุตก็สะดุ้งลุกขึ้นจากเตียงราวกับถูกไฟฟ้าช็อต “หอมมาก คงจะเป็นกลิ่นเนื้ออบแน่ๆ”
พอเห็นรพีพงษ์ ปยุตก็ยิ้มถามว่า “ทำไมรึ เมื่อครู่นี้คุณนั่งอยู่ข้างๆ ตลอดเลยหรือ?”
“เปล่า นั่งอยู่พักเดียว ก่อนหน้านั้นไปเดินเล่นในสำนักเทพยาเซียนมา”
“อ๋อ”
ปยุตถามว่า “สำนักเทพยาเซียนรวบรวมพลังทิพย์ของฟ้าดินเอาไว้ ไม่ค่อยมีคนมาถึงที่นี่ พวกทิวทัศน์ก็เลยถูกรักษาไว้อย่างดี”
“สวยไม่เหมือนที่อื่นจริงๆ” รพีพงษ์กล่าวชม
“แต่ว่า ในป่าลึกนั้น ผมขอเตือนคุณว่าอย่าไป ดีที่สุด” ปยุตกล่าว
“โอ๋? ในป่าลึกนั่นมีอะไร?” รพีพงษ์สงสัย
“มีสิ่งน่ากลัวอยู่น่ะสิ แต่ว่าขอเพียงพวกเราไม่เข้าไป ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก”
ในเมื่อปยุตไม่พูด รพีพงษ์ก็ไม่ถามต่อ
“มีบางเรื่องอยากจะถามคุณ พวกลูกศิษย์อายุน้อยๆ ของสำนักเทพยาเซียน มีผู้หญิงคนหนึ่งใช่หรือไม่” รพีพงษ์ถาม
“หญิงสาวงั้นหรือ?”
ปยุตมองรพีพงษ์อย่างมีลับลมคมใน “ศิษย์ผู้หญิงของสำนักเทพยาเซียนมีทั้งหมด7คน คุณชอบคนไหนเข้าล่ะ ให้ผมช่วยคุยให้ไหม?”
รพีพงษ์ก็หน้าเจื่อน “ผมแต่งงานแล้ว ไม่สนใจเรื่องพวกนี้แล้วล่ะ”
“แต่งงานแล้วงั้นหรือ?” ปยุตเบ้ปาก “งั้นก็น่าเสียดายแล้วล่ะ”
“หญิงสาวคนนั้นท่าทางป่าเถื่อน ผมแค่เดินผ่านไป เห็นเธอกำลังดูดเอาพลังทิพย์ในบ่อน้ำ แล้วเธอก็จะเอามีดสั้นมาโจมตีผม”
พูดไปรพีพงษ์ก็มองปยุต “สำนักเทพยาเซียนของพวกคุณ มีหญิงสาวป่าเถื่อนแบบนี้ด้วยหรือ?”
ปยุตครุ่นคิด แล้วก็พูด “หญิงสาวคนนี้ที่คุณพูดถึง เป็นจิลลาแหงๆ”
“ชื่อจิลลางั้นหรือ?”
รพีพงษ์คิดในใจ เธอก็เป็นดั่งชื่อตนเองจริงๆ ป่าเถื่อนเสียไม่มี
“ถูกต้อง ได้ยินคุณว่าแบบนี้ จะต้องเป็นจิลลาแน่นอน”
กินเนื้ออบไปคำใหญ่ ปยุตก็พูดว่า “เธอเป็นคนเก่งในหมู่ลูกศิษย์วัยรุ่น คาดว่าครั้งก่อน คุณคงเคยเห็นโตษินแล้ว คุณคิดเห็นอย่างไรกับพรสวรรค์ของโตษิน?”
“ก็พอได้”
รพีพงษ์ตอบออกมาแบบนั้น
ปยุตก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ได้ยินการประเมินแบบนี้ออกมาจากปากของรพีพงษ์ ก็ถือว่าเป็นการยอมรับในตัวโตษินมากพอแล้ว
“จิลลาคนนี้ มีพรสวรรค์มากกว่าโตษิน” ปยุตกล่าว “ไม่เหมือนกับโตษิน เธอมีพรสวรรค์ด้านกลั่นยามาก ในหมู่วัยรุ่นด้วยกัน ไม่มีใครสู้ได้”
“ป่าเถื่อนแบบนี้ เกรงว่าอนาคตจะประสบความสำเร็จยาก” รพีพงษ์กล่าว
นักกลั่นยา จะต้องเน้นเรื่องจิตสมาธิรวมเป็นหนึ่ง ไม่ถูกรบกวนจากภายนอก ถ้าเหมือนกับจิลลา ต่อให้มีพรสวรรค์มากแค่ไหน ก็ประสบความสำเร็จยาก
“ไอจิรภัทรรักจิลลามาก คนในสำนักล้วนทำตามเธอ อาศัยที่ตนเองมีพรสวรรค์มาก ยัยหนูคนนี้ก็เลยไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ” ปยุตกล่าว
ดูเหมือนว่า ที่หญิงสาวคนนี้มีนิสัยป่าเถื่อน จะเกี่ยวข้องกับภาพแวดล้อมด้วย
“หลายปีมานี้ ลูกศิษย์รุ่นมากมายในสำนักถูกเธอรังแก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ใครให้เธอมีพรสวรรค์สูงล่ะ เลยคิดว่าคนอื่นทำอะไรเธอไม่ได้รึไง?” ปยุตพูด
รพีพงษ์วางตะเกียบ แล้วพูดว่า “วันพรุ่งนี้ตอนสาย เธอนัดผมไปแข่งกลั่นยากันที่ข้างหลิงฉวน ผมตอบรับไปแล้ว”
“แข่งกลั่นยางั้นหรือ? เหอะ ยัยหนูคนนี้ แสดงว่าต้องพ่ายแพ้ในมือคุณ ก็เลยจะเอาการกลั่นยามาเพื่อกู้หน้าตนเอง” ปยุตคาดเดา
“คุณคิดว่า ระดับของผมตอนนี้ เทียบกับเธอเป็นอย่างไรบ้าง?” รพีพงษ์ถาม
ปยุตตาหยี แล้วก็มองรพีพงษ์อย่างลึกซึ้ง
“ชนะแน่นอน!”
“แต่คุณเคยบอกไว้ว่า พรสวรรค์ด้านการกลั่นยาของเธอนั้นสูงมาก”
ปยุตพูดนิ่งๆ ว่า “นั่นมันเป็นการเปรียบเทียบกับคนอื่นเฉยๆ เมื่อเทียบกับคุณ พรสวรรค์อันน้อยนิดของเธอ สู้ไม่ได้หรอก!”
“รพีพงษ์ วันพรุ่งนี้ก็ต้องดูฝีมือคุณแล้วล่ะ สั่งสอนยัยหนูคนนั้นเสียหน่อย ไม่งั้นล่ะก็ ผมกังวลว่าอนาคตเธอจะเดินทางผิด” ปยุตกล่าว
“เอ่อ…….ได้เลยครับ”
รพีพงษ์พูดเบาๆ ตอบไป
วันที่สอง ที่ข้างหลิงฉวน
ลูกศิษย์วัยรุ่นเก่งๆ ของสำนักเทพยาเซียน ก็มารวมตัวกันที่นี่
“จิลลา คุณบอกว่าเมื่อวานเจอคนคนหนึ่ง แล้วนัดเขามาที่นี่ เขาจะมาไหม?”
ชายหนุ่มคนหนึ่งถามขึ้น
จิลลาอยู่ในกลุ่มคน แล้วพูดดูถูกออกมาว่า “ทางที่ดีเขาอย่ามาเลย ถ้ากล้ามาล่ะก็ ฉันก็จะรอให้เขามาโขกหัวคำนับฉัน3ครั้ง”
“ใช่แล้ว ฝีมือกลั่นยาของน้องจิลลา เจ้าสำนักก็ยังชื่นชม แค่คนนอกคนหนึ่ง จะเก่งสักแค่ไหนเชียว” อีกคนก็พูดชื่นชมขึ้นมา
“ใช่น่ะสิ……ฉันว่าวันนี้เขาไม่กล้ามาหรอก” จิลลามองไปไกลๆ โดยไม่เห็นรพีพงษ์อยู่ในสายตา
ในตอนนี้ ในกลุ่มคน ก็มีคนหนึ่งลุกขึ้นมา แล้วขยับมาทางจิลลา
“พี่จิลลา คุณดูสิ ถ้าชายคนนั้นมาล่ะก็ ก็ให้พวกคุณ2คนแข่งกันเองก็แล้วกัน พวกเราก็จะไม่เข้าร่วมแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะ?” จิลลาหันไปมองที่เขาถาม
“คุณก็รู้ พวกเราแข่งกันทุกครั้ง คุณก็ชนะตลอด แล้วพอคุณชนะแล้ว ก็สั่งพวกเราทำนู่นทำนี่ ช่วยคุณยกน้ำชาให้อีก”
“ไอ้ลิงบ้านี่ พูดมากจริง ทำไมล่ะ ไม่ยอมยกน้ำชามาให้ฉันรึไง? ถ้านายเก่งก็มาเอาชนะฉันสิ!” จิลลาพูดอย่างได้ใจ
คนที่ชื่อชุติเดชรีบพูดขึ้นมาว่า “พวกเรา………พวกเรายอมรับใช้คุณเอง อีกอย่าง ใครบ้างไม่รู้ว่าวิชากลั่นยาของคุณเก่งที่สุดในหมู่พวกเรา พวกเราจะเอาชนะคุณได้ไงล่ะ เพียงแต่……..”
“แต่อะไร รีบพูดมา!” จิลลาถามไปอย่างไม่พอใจ แต่ว่าคำชมของชุติเดชก็ได้ผลอยู่เหมือนกัน
“คุณเกลียดผู้ชายคนเมื่อวานมากไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวคุณสองคนก็แข่งกันเองเลย ถ้าเขาแพ้ งั้นก็ให้เขามาทำหน้าที่แทนพวกเราทั้งหมด แบบนี้ ศิษย์พี่ก็จะสะใจแล้วไม่ใช่หรือ?” ชุติเดชกล่าว
จิลลาได้ยินดังนั้น ก็เบ้ปากออกมา “สมองของชุติเดชช่างดีจริงๆ ก็ได้ งั้นก็ทำตามที่นายพูดแล้วกัน นอกจากจะให้เขามาโขกหัวคำนับแล้ว ยังจะต้องมารับใช้ฉันอีก1เดือนด้วย!”
“ดีเลย พี่จิลลาเก่งมาก พวกเราจะช่วยตะโกนเชียร์!”
ชุติเดชเรียกคนอื่นๆ คนอื่นรอบๆ ก็ทำตามไปด้วย
ที่แท้ หลังจากจบประชุมหลอมโอสถทุกครั้ง จิลลาก็จะมีข้อแม้ที่ไม่เป็นธรรม คนพวกนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยอมอ่อนข้อเพื่ออยู่รอด วันนี้เห็นว่ามีคนมาออกรับแทนพวกตนเอง ก็เลยดีใจไม่น้อย
“ดูสิ มีคนมาแล้ว!”
ทุกคนก็มองไปยังนิ้วมือที่ชี้ไป จริงด้วย เห็นเป็นรพีพงษ์ค่อยๆ เดินมา
“ไม่คิดเลยว่า ว่าคุณจะมาให้ถูกเยาะเย้ยเองเสียนี่” จิลลาพูดดูถูก
รพีพงษ์สีหน้านิ่งๆ “อย่าพูดมาก เริ่มกันได้หรือยัง?”