พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1265 ข้าวสาร 50 กิโลกรัม
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1265 ข้าวสาร 50 กิโลกรัม
โคบายาชิจุนอิจิยิ้มอย่างเยาะเย้ย เดิมทีเขาคิดว่ารพีพงษ์จะเป็นคู่แข่งในการจีบฝนสุดา แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ารพีพงษ์ไม่มีอะไรเลยนอกจากกินข้าวเก่งกับหน้าด้านกว่าคนอื่น
“สุดา คุณไปรู้จักเขาที่ไหนเนี่ย” โคบายาชิจุนอิจิถามลอย ๆ แต่ความตั้งใจของเขาชัดเจนมาก
คนระดับอย่างฝนสุดาคงไม่มีทางไปคบคนแบบนี้เป็นเพื่อนหรอกนะ
“คุณจะถามทำไม แต่ที่แน่ ๆ น่ะ ฉันรู้จักเขาก่อนคุณก็แล้วกัน” ฝนสุดาตอบอย่างไม่ไว้หน้า
ในขณะนั้น พนักงานก็เข้ามา
“คุณผู้ชายคะ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”
รพีพงษ์ยิ้มพูด “อาหารร้านคุณถูกปากผมมาก ตอนนี้มีคนจะซื้อข้าวสารของพวกคุณให้ผม แล้วพวกคุณขายข้าวสารให้ผมได้ไหมครับ?”
“อะไรนะคะ คุณต้องการซื้อข้าวสารเหรอคะ?”
พนักงานรู้สึกประหลาดใจมาก
“คุณก็ขายให้เขาสิ ให้เขาไปสัก 250 กิโลกรัมก่อน แล้วมาคิดเงินกับผม” โคบายาชิจุนอิจิพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“250 กิโลกรัม?”
พนักงานเสิร์ฟที่ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ “เรื่องนี้……หนูต้องถามเจ้าของร้านก่อนนะคะ ถ้าคุณผู้ชายต้องการซื้อจริงๆ หนูขออนุญาตไปเรียกเจ้านายมานะคะ”
จากนั้นพนักงานก็เดินออกไป
“เหอะ ก็แค่ขายข้าวสารสองร้อยกว่าโล ทำไมต้องไปเรียกเจ้าของร้านมาด้วย? โง่จริงๆ”
ชายสวมแว่นพูดขึ้น
อุเอสึงิ ฮารุกับฝนสุดาต่างก็มองหน้ากันด้วยความสงสัย
พวกเธอพอรู้แล้วว่ารพีพงษ์กำลังคิดจะทำอะไรบางอย่าง แต่ว่า เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
จากนั้นสักพัก ชายสวมชุดจีนก็เดินเข้ามาจากประตู
“ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายท่านไหนจะซื้อข้าวสารของเรานะครับ” เจ้าของร้านเดินเข้ามาพูด
“ผมเอง”
โคบายาชิจุนอิจิตอบ “ขอข้าวสาร 250 กิโลกรัมให้พี่ชายผมคนนี้เอากลับบ้านหน่อย”
“250 กิโลกรัม?” เจ้าของร้านตอบอย่างลำบากใจ “คุณผู้ชายครับ คุณผู้ชายเอาน้อยกว่านี้หน่อยได้ไหมครับ ตอนนี้สต๊อกของเราขายได้แค่ 50 กิโลกรัมเท่านั้นครับ ที่เหลือทางร้านยังต้องเก็บไว้ขายให้ลูกค้าคนอื่นๆ ครับ ไม่อย่างนั้นเราไม่มีข้าวสวยให้ลูกค้าคนอื่นๆ กินแล้วนะครับ”
“ร้านใหญ่ขนาดนี้ แค่ข้าวสาร 250 กิโลกรัมก็ไม่มี ตลกจริงๆ! ทำไม คุณคิดว่าผมไม่มีเงินจ่ายคุณน่ะเหรอ?” โคบายาชิจุนอิจิพูดด้วยความโกรธ
“ไม่เป็นไรๆ 50 โลก็ 50 โลครับ เถ้าแก่ ช่วยจัดให้ผมเร็วหน่อยนะครับ ผมยังมีธุระต่อครับ” รพีพงษ์ยิ้มพูด
“ได้ครับ เดี๋ยวเราจัดให้ครับ แล้วคิดเงินกับใครครับ?” เจ้าของร้านถามด้วยความเป็นห่วง
“ก็ผมบอกว่าผมจะจ่ายไม่ใช่เหรอ? รีบไปๆ!”
โคบายาชิจุนอิจิมองไปที่เจ้าของร้านอย่างใจร้อน
“ได้ครับ รอสักครู่นะครับ ผมจะไปเตรียมให้ครับ”
จากนั้นเขาก็หันเดินจากไป
“เหอะ ร้านนี้มันไหวมั้ย พนักงานก็แปลกๆ ยังไม่พอ เจ้าของร้านยิ่งแปลกไปใหญ่ แค่ข้าวสาร 50 กิโลกรัมยังกลัวไม่มีคนจ่าย น่าตลกจริงๆ” ชายสวมแว่นพูด
“นั่นน่ะสิ แต่เมื่อพูดถึงข้าวสารแล้ว ข้าวสารเยว่กวางของประเทศญี่ปุ่นดีที่สุดแล้วล่ะ ไม่มีใครเทียบได้อย่างแน่นอน แต่ราคามันก็แพงเอาเรื่องเลยนะ”
ชายอีกคนพูดอย่างประจบสอพลอ
โคบายาชิจุนอิจิหัวเราะแล้วพูดอย่างได้ใจ “ถ้าคุณชอบจริงๆ รอให้งานของเราสำเร็จก่อน เดี๋ยวผมจะซื้อไปฝากคุณเป็นตันเลย”
“เยี่ยมไปเลยครับ ครอบครัวผมชอบกินข้าวโคชิฮิคาริของประเทศญี่ปุ่นที่สุดเลยครับ”
ชายคนนั้นยิ้มพูด
“แค่กๆ ……”
รพีพงษ์ไออย่างเสียงดังขึ้นมา
ฝนสุดากับอุเอสึงิ ฮารุก็รีบถามอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไรมั้ย ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
“เปล่าครับ” รพีพงษ์ส่ายหัวแล้วพูดต่อ “ผมก็แค่คลื่นไส้กับคำพูดเมื่อกี้”
“ไงนะ!”
ชายคนนั้นทุบโต๊ะแล้วหน้าแดงขึ้นมาทันที จากนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “เหอะ ผมไม่อยากถือสาคุณหรอกนะ เพราะคุณไม่รู้อะไรเลย มันเป็นเรื่องปกติที่คุณจะไม่เข้าใจว่าพวกเราคุยอะไรกันอยู่”
“คำพูดเหมือนหมาเห่า ยังมีคุณหน้าไปประเมินข้าวของคนอื่นเหรอ?” รพีพงษ์พูดด้วยความโกรธ
“นาย……พูดใหม่อีกรอบสิ!” ชายคนนั้นรู้สึกโกรธมาก
“ก็เขาพูดถูกแล้วนี่นา ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีอาหารหลากหลายมาตั้งแต่ยุคไหนแล้ว ข้าวสารของเขามีตั้งมากมาย แต่คุณคิดว่าของคุณดีที่สุด บอกตรงๆ นะ ฉันก็เป็นคนประเทศญี่ปุ่นเหมือนกัน แต่ฉันรู้สึกว่าคุณแย่มาก”
ฝนสุดาพูด
“โคบายาชิซังครับ นี่ผม……”
ชายคนนั้นถึงกับทำตัวไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าคำพูดประจบสอพลอคำเดียวจะทำให้ทุกคนดูถูกเขาได้ขนาดนี้
“ในเมื่อคุณสุดาไม่ชอบคุณ ผมก็ไม่ชอบคุณเหมือนกัน คุณจู คุณหยุดพูดได้แล้ว”
โคบายาชิจุนอิจิยกมือห้ามเขา
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีถังไม้ขนาดใหญ่เข้ามา
“นี่คือข้าวสาร 50 กิโลที่พวกคุณสั่งครับ เป็นสต๊อกสุดท้ายของทางร้านแล้ว” เจ้าของร้านพูด
“โอเคครับ ขอบคุณมากนะครับ”
รพีพงษ์ยกถังข้าวสารมาวางไว้ข้างเขาโดยที่ไม่เกรงใจ
“พี่ชายแข็งแรงจังเลยนะครับ” เจ้าของร้านชื่นชม
โคบายาชิจุนอิจิพูดอย่างเบื่อหน่าย “พอแล้วๆ คุณออกไปเถอะ อย่ารบกวนเวลารับประทานอาหารของเรา”
“คือว่า เรารบกวนท่านช่วยเช็คบิลก่อนได้ไหมครับ เราจะได้ไม่ต้องกังวลครับ” เจ้าของร้านพูด
“บากา!”
โคบายาชิจุนอิจิทุบโต๊ะแรงๆ และพูดด้วยภาษาท้องถิ่นของเขาด้วยความโกรธ “มันก็แค่ข้าวสาร 50 กิโลกับอาหารบนโต๊ะไม่ใช่เหรอ ต่อให้คุณจะขายแพงแค่ไหน ผมก็มีเงินจ่ายคุณ เถ้าแก่ หรือว่าคุณดูถูกตระกูลโคบายาชิแห่งประเทศญี่ปุ่นของเรา?”
“เปล่า เปล่าครับ ผมแค่อยากให้คุณเช็กบิลก่อนแล้วพวกคุณจะได้ทานต่ออย่างสบายใจครับ” เจ้าของร้านยิ้มพูด จากประสบการณ์ในการทำงานมาหลายปี ความรอบคอบเป็นเรื่องที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดแล้ว
“เอาไป การ์ดใบนี้มีอยู่สามหมื่น น่าจะพอจ่ายให้คุณแล้วนะ ส่วนที่เหลือคุณไม่ต้องทอน ผมยกให้เป็นทิป แล้วก็รีบออกไปซะ!”
โคบายาชิจุนอิจิพูด
“สามหมื่น?”
เจ้าของร้านยิ้มพูดต่อ “โคบายาชิซังครับ ถ้ามีแค่สามหมื่น ผมเกรงว่าคุณจะต้องเพิ่มเข้าไปอีกครับ”
“สามหมื่นยังไม่พอเหรอ?”
โคบายาชิจุนอิจิรู้สึกประหลาดใจมาก
“ใช่ครับ” เจ้าของร้านพยักหน้า
โคบายาชิจุนอิจิขมวดคิ้วแล้วพูดต่อ “แล้วมันเท่าไหร่กันแน่ คุณบอกมาเลย”
“เมื่อกี้ผมดูบิลมาแล้วครับ ทั้งหมดเก้าแสนครับ” เจ้าของร้านยิ้มพูด
“คุณว่าไงนะ! เก้าแสน?”
โคบายาชิจุนอิจิถึงกับอึ้ง และเพื่อนสองคนที่นั่งข้างเขาก็ลุกขึ้นมาพูดว่า “เถ้าแก่ คุณอย่ามามั่วนะ ผมเคยมากินที่นี่สองครั้งแล้ว อีกอย่างครั้งก่อนๆ เราสั่งอาหารเยอะกว่านี้ และยอดยังไม่ถึงสองหมื่นด้วยซ้ำ แล้ววันนี้คุณหมายความว่าไง?”
“นั่นน่ะสิ เถ้าแก่” ชายสวมแว่นพูดต่อ “หรือว่าร้านคุณขึ้นราคาหลังโรคระบาด?”
“ผมไม่ได้ขึ้นราคานะ ก่อนที่คุณหมอใหญ่ปุรุเมธจะไป แกได้สั่งไว้ว่าให้ผมรักษามาตรฐานราคานี้ไว้ ผมไม่ได้ขึ้นราคาเลยสักแดง” เจ้าของร้านตอบกลับ
“ยังบอกว่าไม่ได้ขึ้นราคาอีก ผมถามคุณหน่อย อาหารเจ็บถึงแปดอย่างนี้มันแพงขนาดนั้นเลยเหรอ? คุณไม่กลัวผมไปฟ้องคุณใช่ไหม!” ชายสวมแว่นชี้หน้าแล้วพูดกับเจ้าของร้าน
“อ้อ คุณหมายถึงอาหารบนโต๊ะเหรอครับ!” เจ้าของร้านเพิ่งเข้าใจและพูดต่อ “อาหารไม่แพงหรอกครับ ปกติแล้วเราเหมือนสั่งหนึ่งที่ให้กินฟรีหนึ่งที่เลย แต่ที่แพงคือข้าวสารครับ”
“ข้าวสาร?”
ชายทั้งสามและรวมไปถึงฝนสุดากับเพื่อนของเธอต่างก็รู้สึกแปลกใจมาก
“ใช่ครับ อาหารที่นี่ไม่แพงครับ ความจริงแล้วทางร้านของเราเน้นคุณภาพของข้าวสวยในการดึงดูดลูกค้ามากกว่าครับ เพราะมันคือข้าวสารจิ่งหยางนะครับ!”
“ข้าวสารจิ่งหยาง? มันคือสถานที่บ้าบออะไรที่ไหน ทำไมผมไม่เคยได้ยิน” ชายสวมแว่นพูด
“ไม่เคยได้ยินก็หุบปากไปซะ พูดมากก็ยิ่งทำให้คุณดูโง่กว่าเดิม” รพีพงษ์พูดอย่างเย้ยหยัน