พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1266 ให้เป็นอาหารสุนัข
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1266 ให้เป็นอาหารสุนัข
“คุณว่าผม?”
ชายสวมแว่นพูดด้วยความหงุดหงิด “เอาสิ งั้นคุณลองเล่ามาสิ ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะรู้จักข้าวสารจิ่งหยาง!”
ฝนสุดากับอุเอสึงิ ฮารุก็ตั้งตารอฟังเช่นกัน พวกเธอรู้ว่าการที่รพีพงษ์จงใจให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมานั้น เขาต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน
รพีพงษ์มองไปที่ชายทั้งสามและพูดว่า “ได้สิ วันนี้ผมจะให้บทเรียนพวกคุณสักครั้ง ผมจะให้คนประเทศญี่ปุ่นได้รู้เกี่ยวกับดินแดนและทรัพยากรอันกว้างใหญ่ของประเทศจีน อีกอย่างสุนัขขายชาติอย่างคุณสองคนจะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง!”
“คุณ!”
ทั้งสองโกรธจนลุกเป็นไฟ
รพีพงษ์พูดต่ออย่างเฉยเมย “ข้าวสารจิ่งหยางสามารถปลูกได้เพียงแค่สองหมู่บ้านในอำเภอจิ่งหยางของประเทศจีนเท่านั้น เพราะสภาพที่ดินต้องเป็นที่ชุ่มชื้น ต้องใช้น้ำเย็นและต้องเป็นน้ำธรรมชาติ อีกอย่างเก็บเกี่ยวได้ปีละครั้งและมีพื้นที่ปลูกข้าวชนิดนี้เพียงแค่ร้อยกว่าไร่เท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าผมจำไม่ผิดราคาจะอยู่ที่แปดพันห้าต่อครึ่งกิโลกรัมนะ”
ชายทั้งสามได้แต่ยืนผงะอยู่กับที่จนเวลาผ่านไปสักพัก ชายแว่นดำถึงตอบเขา “เถ้าแก่ เขาพูดถูกไหม?”
“คุณผู้ชายท่านนี้พูดถูกต้องที่สุดเลยครับ แถมยังรู้รายละเอียดมากกว่าผมอีกด้วย”
เจ้าของร้านพูดต่ออย่างพอใจ “ราคาประมาณแปดพันห้าต่อกิโลกรัมจริงๆ นะครับ แต่ถ้าบวกค่าขนส่งและค่าแรง เราจึงขายครึ่งกิโลเก้าพัน คงไม่แพงไปหรอกนะครับ”
50 กิโลเก้าแสน!
นี่ต้องเป็นข้าวที่แพงที่สุดที่ทุกคนในห้องนี้เคยกินมาอย่างแน่นอน
ชายสวมแว่นและเพื่อนๆ รู้สึกเสียดายมากที่ไม่ได้กินข้าวสวยให้มากกว่านี้
ก่อนหน้านี้พวกเขายังหาว่ารพีพงษ์เป็นพวกบ้านนอก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาเองที่เป็นเช่นนั้น
“โคบายาชิซัง ข้าว 50 กิโลนี้ถ้าคุณไม่อยากให้ผมก็ไม่เป็นไรนะ แต่ช่วยจำไว้อย่างหนึ่ง คุณอย่ามองคนแค่ภายนอก สิ่งที่คุณไม่รู้คุณอย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้”
รพีพงษ์พูดอย่างใจเย็น
ความจริงเขาไม่ได้สนใจข้าวสารจิ่งหยาง 50 กิโลกรัมนี้
เพราะปกติอยู่ในตระกูลลัดดาวัลย์ที่เกียวโตเขาก็กินข้าวชนิดนี้เช่นกัน เพียงแต่เหตุผลที่เขากินไปสองถ้วยเมื่อกี้นี้ ก็เพราะเขาได้ความรู้สึกที่กินข้าวอยู่ในบ้านอีกครั้ง
โคบายาชิจุนอิจิยังคงพูดอย่างดูถูก “ชาวประเทศญี่ปุ่นอย่างเราให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือมากที่สุด และเราไม่ได้ฉลาดแกมโกงเหมือนพวกคุณ ในเมื่อผมรับปากแล้วผมก็ต้องทำตามที่พูด”
จากนั้นเขาหยิบการ์ดสีเงินออกมาแล้วยื่นให้กับเจ้าของร้าน “เอาไปรูดซะ”
“นี่มัน……บัตรของธนาคารโลก?”
เจ้าของร้านร้านนี้เคยเจออะไรมามากมายเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเคยเห็นบัตรธนาคารแบบนี้
“ใช่ คุณก็ใช่ย่อยนะที่รู้จักบัตรธนาคารโลก นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะมีได้นะ และมันก็เป็นรองแค่การ์ดสีดำเท่านั้นด้วย” ชายสวมแว่นพูด
โคบายาชิจุนอิจิยืดตัวตรงและรู้สึกภาคภูมิใจมาก “ครอบครัวตระกูลโคบายาชิของผมไม่ได้จะเป็นแค่แนวหน้าของประเทศญี่ปุ่นในการประกอบกิจการร้านอาหาร แต่เราจะเป็นแนวหน้าของโลกด้วย ดังนั้นผมเชื่อว่าอีกไม่เกินสิบปีผมจะมีการ์ดสีดำใบนั้นไว้ครอบครอง!”
ชายสวมแว่นกับเพื่อนอีกคนแทบจะลุกขึ้นมาปรบมือให้เขา แต่รพีพงษ์กับสาวสวยทั้งสองได้แต่นั่งเงียบๆ และรู้สึกขำในใจ
“คนประเทศญี่ปุ่นของคุณเป็นคนตลกแบบนี้กันหมดไหมนะ?” รพีพงษ์กระซิบถามฝนสุดา
“พูดไปเรื่อย คุณดูฉันเหมือนพวกเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฝนสุดาทำหน้าบึ้งใส่
เธอไม่รู้จะใช้คำพูดอะไรแล้ว เพราะรพีพงษ์เป็นคนถ่อมตัวและแน่วแน่ขนาดนี้ ส่วนคนประเทศของเธออย่างโคบายาชิจุนอิจิกลับหยิ่งผยองและหยาบคายอย่างไม่รู้ยางอาย
ทุกคนก็มีสิทธิ์เลือกที่จะเข้าข้างใคร
แต่สำหรับฝนสุดาแล้ว คนที่รักเธอแต่เธอไม่ได้รักเขา ส่วนคนที่เธอรักนั้นก็เป็นของคนอื่นไปแล้ว
จากนั้นสักพัก เงินเก้าแสนก็ถูกหักไป
“คุณผู้ชายครับ บัตรธนาคารของคุณครับ” เจ้าของร้านพูด
โคบายาชิจุนอิจิพยักหน้าแล้วมองไปที่รพีพงษ์ “พี่ชาย กินข้าวมื้อหนึ่งใช้เงินผมไปเก้าแสน ผมจะจำคุณไว้ให้ดี หวังว่าวันหลังเราจะได้พบกันอีกนะครับ”
รพีพงษ์ยิ้มจางๆ “ผมต้องขอขอบคุณสำหรับข้าวสารที่ให้ผมนะครับ”
มุมปากของโคบายาชิจุนอิจิกระตุก และนัยน์ตาก็เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
ตั้งแต่เริ่มทานอาหารมาจนถึงเวลานี้เขาถูกล้อเลียนมาตลอด ซึ่งก็ทำให้คนหยิ่งจองหองอย่างเขาสุดจะทนจริงๆ เพียงเพราะเห็นแก่ฝนสุดาเขาถึงไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา
“ถ้าทุกท่านไม่มีอะไรให้ช่วยผมขอตัวก่อนนะครับ”
เจ้าของร้านพูดด้วยความเคารพแล้วค่อยๆ ถอยออกไป
“เดี๋ยวก่อนครับ!”
ในขณะนี้ รพีพงษ์ก็เรียกเจ้าของร้านอีกครั้ง
“คุณผู้ชายมีอะไรให้ผมช่วยครับ?” เจ้าของร้านถาม
รพีพงษ์มองไปที่ชายทั้งสามแล้วยิ้มพูด “ผมอยากถามคุณหน่อยครับ ร้านคุณมีข้าวสารเยว่กวางของประเทศญี่ปุ่นไหมครับ?”
“ข้าวสารเยว่กวาง? มีอยู่ครับ” เจ้าของร้านตอบ
เมื่อได้ยินรพีพงษ์พูดถึงข้าวสารเยว่กวาง ทั้งสามคนที่อยู่ตรงข้ามก็เกิดความสนใจขึ้นมา
“พี่ชาย ดูเหมือนว่าคุณไม่ต่างอะไรกับพวกเราเลยนะ เมื่อกี้ยังชมข้าวสารของประเทศจีนอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับถามหาข้าวสารเยว่กวาง”
“นั่นสินะ พูดจากลับคำไปมาแบบนี้ ดูเหมือนจะแย่กว่าพวกเราซะอีก”
ชายสวมแว่นพูดตามน้ำ
รพีพงษ์มองไปที่ทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา “แสดงว่าพวกคุณยอมรับตัวเองแล้วสินะ”
จากนั้นเขาหันไปคุยกับเจ้าของร้านต่อโดยที่ไม่สนใจทั้งสอง “แล้วมีเยอะไหมครับ”
“น่าจะมีประมาณสี่ห้าร้อยกิโลครับ คุณต้องการเหรอครับ?”
รพีพงษ์พยักหน้าตอบ “ใช่ งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จ คุณเอามาให้ผมทั้งหมดเลยนะ”
“คุณผู้ชายน่าจะเปิดร้านอาหารเองใช่ไหมครับ ถึงได้ซื้อข้าวสารไปเยอะขนาดนี้” เจ้าของร้านยิ้มพูด
“ผมไม่ได้เปิดร้านอาหารหรอกครับ ผมเพิ่งเห็นว่ามีสุนัขจรจัดมากมายแถวตีนดอย ดูแล้วน่าสงสารครับ ผมเลยอยากเอาข้าวของประเทศญี่ปุ่นไปให้สุนัขจรจัดพวกนั้นกินครับ” รพีพงษ์พูดอย่างเฉยเมย
“ไงนะ? ให้……ให้หมากิน?”
คนอื่นๆ ถึงกับอึ้งไปสักพัก และสีหน้าของโคบายาชิจุนอิจิก็เปลี่ยนไปทันที
ก่อนหน้านี้เขายังบอกว่าข้าวสารเยว่กวางของประเทศญี่ปุ่นอร่อย ถ้าแบบนี้ แสดงว่าเขาเป็นเหมือนสุนัขจรจัดสินะ?
“พี่ชาย คุณจะมากเกินไปแล้วนะ!”
ชายสวมแว่นทุบโต๊ะแล้วลุกขึ้นด่า
คนอื่นๆ ก็พูดอย่างไม่พอใจ “นั่นสิ ทำไมคุณต้องหาว่าพวกเราเป็นหมาด้วย!”
รพีพงษ์หยิบถ้วยชาขึ้นมาอย่างใจเย็น “ผมไม่ได้บอกว่าพวกคุณเป็นสุนัขนะ แต่พวกคุณคิดไปเอง ผมช่วยไม่ได้”
“แก!”
“บากา!”
โคบายาชิจุนอิจิตะคอกใส่ทั้งสองและทำให้ทั้งสองเงียบไป
จากนั้นเขามองไปที่รพีพงษ์แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “พี่ชาย ผมไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าคุณจะเอาข้าวของประเทศญี่ปุ่นของเราไปให้สุนัขกิน ข้าวสารเยว่กวางของเราแม้จะไม่แพงเท่าข้าวสารจิ่งหยางของพวกคุณ แต่มันก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถซื้อได้นะครับ”
จากนั้นเขาหันไปพูดกับเจ้าของร้านด้วยสายตาข่มขู่ “เถ้าแก่ ข้าวสารเยว่กวางสี่ร้อยกิโลกรัมเท่าไหร่ครับ ผมว่าคุณแจ้งราคาให้เขาก่อนจะดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคุณจะเสียเวลาเปล่านะครับ”
เจ้าของร้านจึงพูดกับรพีพงษ์ “เนื่องจากมีค่าขนส่งด้วย ดังนั้นข้าวสารเยว่กวางอาจจะแพงกว่าที่ประเทศญี่ปุ่นหน่อยนะครับ ราคาจะอยู่ที่ห้ากิโลกรัมต่อหนึ่งร้อยครับ ถ้าสี่ร้อยกิโลกรัมก็จะอยู่ที่แปดหมื่นครับ”
“อ้อ” รพีพงษ์พยักหน้าตอบ
“ไงนะ แค่……แค่ร้อยเดียวเองเหรอ?” ชายสวมแว่นแปลกใจมาก ไม่คิดเลยว่าข้าวสารของประเทศญี่ปุ่นที่เขาคุยโม้ไว้จะถูกขนาดนี้
“ข้าวสารเยว่กวางของผมเป็นเกรดที่ดีที่สุดแล้วนะครับ คุณผู้ชายต้องรู้ว่าสิบอันดับข้าวสารที่ดีที่สุดของโลก ข้าวสารของประเทศจีนของเราจะอยู่ในอันดับหนึ่งถึงเจ็ดเลยนะครับ ส่วนข้าวสารของประเทศญี่ปุ่นหรือของใครๆ ร้านอื่นไม่มีขายด้วยซ้ำครับ”
เจ้าของร้านพูด
“เอาล่ะๆ คุณหยุดพูดได้แล้ว ผมจะคอยดูว่าไอ้หมอนี่มันจะมีเงินแปดหมื่นจ่ายคุณไหม”
ชายสวมแว่นพูดอย่างดูถูก
โคบายาชิจุนอิจิพูดขึ้นอีกครั้ง “คุณสุดาครับ ถึงแม้คุณจะเป็นเพื่อนเขา แต่ผมคิดว่าถ้าเป็นของที่เขาจะซื้อเองเขาก็ควรจ่ายเอง คุณว่าไหมครับ?”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ช่วยเขาจ่ายแน่”
ฝนสุดาพูดเบาๆ
ไม่ได้เป็นเพราะเธอไม่เต็มใจที่จะช่วย แต่เงินแปดหมื่นสำหรับรพีพงษ์ที่ใช้เงินหลายสิบล้านเป็นว่าเล่นนั้นมันเป็นเรื่องเล็กเกินไป
“คุณผู้ชายครับ คุณผู้ชาย……ชำระเงินก่อนได้ไหมครับ?” เจ้าของร้านพูด
รพีพงษ์ลุกขึ้นแล้วยิ้มจางๆ “ผมให้คุณหนึ่งแสน คุณช่วยหาคนไปหุงข้าวแล้วเอาข้าวไปให้สุนัขจรจัดบนดอยกินนะ”
“เอาเงินหนึ่งแสนไปซื้อข้าวสาร อะไรมันจะโง่ขนาดนี้”
“นั่นสิ คนโง่ถึงจะใช้เงินมากมายขนาดนี้ไปซื้อข้าวสารไง”
ชายใส่แว่นกับเพื่อนอีกคนกระซิบพูด
“บากา! พวกคุณสองคนพูดอะไรกัน!”
โคบายาชิจุนอิจิที่เพิ่งใช้เงินเก้าแสนซื้อข้าวสารรู้สึกโกรธมาก
เขาจ้องไปที่รพีพงษ์อย่างดุเดือด และเขาคิดในใจว่าคนอย่างรพีพงษ์ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะพอมีเงินอยู่บ้าง แต่ให้ใช้เงินหนึ่งแสนซื้อข้าวสารแล้วไปให้เป็นอาหารสุนัขมันจะไม่เกินกำลังไปหน่อยหรือ
รพีพงษ์ยิ้มมองเจ้าของร้าน จากนั้นหยิบบัตรธนาคารออกมาใบหนึ่ง
“เอาไปรูดเลยครับ!”
บัตรธนาคารสีดำที่แสดงถึงศักดิ์ศรีได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า!
“นี่……นี่มันบัตรธนาคารโลกสีดำ?”
โคบายาชิจุนอิจิมองรพีพงษ์ด้วยความตกใจ บัตรธนาคารใบนี้เป็นความฝันของเขาและเป็นสิ่งที่เขาทะเยอทะยานมาตลอดได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
รพีพงษ์ยิ้มอย่างเฉยเมย
“ผมถามหน่อย คุณเป็นใครมาจากไหน?” โคบายาชิจุนอิจิถาม
“รพีพงษ์ จากเกียวโต!”