พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1288 บรรลุระดับขั้นอีกครั้ง
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1288 บรรลุระดับขั้นอีกครั้ง
พลังทิพย์นั้น เป็นสิ่งที่นักฝึกวิชาทั้งหลายต้องการครอบครองมัน
นักฝึกวิชาปกติทั่วไป ขอเพียงได้อยู่ในพื้นที่ที่มีพลังทิพย์อุดมสมบูรณ์8-10ปีขึ้นไป พลังวิชาของพวกเขาก็จะมีการพัฒนาขึ้น
ยิ่งกว่านั้น ในป่าหมอกนี้ มีพลังทิพย์เต็มเปี่ยม รพีพงษ์ยังได้เรียนรู้วิชาดูดวิญญาณที่จอมมารชูร่าทิ้งไว้ในตอนนั้น นี่มันราวกับเสือติดปีก ไม่นานก็สามารถดูดซับเอาพลังทิพย์เข้ามาในร่างกายได้
การค้นพบของรพีพงษ์ในครั้งนี้ หลังจากที่พลังทิพย์เข้าสู่ร่างกายแล้วเน่ยจิ้งและพลังวิเศษเสนของเขาก็เพิ่มมากขึ้นไม่หยุด อีกทั้งพลังจิตวิญญาณเทพของเขาก็ได้ฟื้นตัวอย่างไม่หยุดหย่อน
ถ้าจะบอกว่า การกลั่นยาเม็ดระดับเทพเซียนครั้งก่อน รวมทั้งการที่ได้ต่อสู้กับจิรพนธ์ ทำให้รพีพงษ์อ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด
แต่ตอนนี้ รพีพงษ์สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า สภาพของตนเองนั้นได้กลับมาสู่จุดสูงสุดอีกครั้งแล้ว แถมยังจะก้าวข้ามไปขั้นต่อไปแล้วด้วยซ้ำ
“ตอนนี้แหละ!”
รพีพงษ์ตะโกนออกมาเสียงดัง กระตุกจิตขึ้นมาในทันใด!
เขารู้สึกเพียงว่ารูขุมขนของเขานั้นถูกเปิดออกทั้งหมด ราวกับทั้งร่างกายถูกพลังทิพย์ชำระล้าง เหมือนกับเกิดใหม่!
นี่……ก็คือระดับแดนเทพงั้นหรือ?
รพีพงษ์กำหมัดแน่น แล้วสัมผัสถึงพลังที่พลุ่งพล่านไปทั้งตัว
พอได้ก้าวเข้าสู่ขั้นแดนเทพแล้ว สำหรับนักฝึกวิชาแล้วนั้น มันเหมือนกับได้เปิดประตูไปดินแดนใหม่เลย
ถ้าจะบอกว่าเหมือนได้ร่างใหม่มา ก็ว่าได้
ถึงแม้จะเป็นแค่แดนเทพขั้นแรก แต่ทว่า มันก็ต่างกับระดับแดนเทพครึ่งก้าวอยู่ไม่น้อย
ถ้าจะบอกว่าระดับล่างของแดนเทพจะเป็นพวกนักฝึกวิชาล่ะก็ เช่นนั้น คนที่ก้าวเข้าสู่ระดับแดนเทพ ก็จะกลายเป็นเทพเซียนในสายตาของผู้คนแล้วล่ะ!
แววตารพีพงษ์แฝงด้วยแสงสว่าง เขาเชื่อว่าสักวันตนเองจะได้เข้าสู่ขั้นแดนเทพ เพียงแต่ความบังเอิญครั้งนี้ ทำให้เขาบรรลุขั้นต่อไปได้เร็วมาก
ในมือก็ถือกระบี่สยบเซียน รพีพงษ์ก็ร่ายรำกระบี่ไปมั่วๆ
เขาไม่ได้ออกแรงอะไรเลย รังสีของกระบี่สยบเซียนก็ไปฟันเข้าที่ผนังหินจนเป็นรอย
“มันดีมากเลย ดีมากจริงๆ !”
รพีพงษ์ตื่นเต้นมาก หลายวันมานี้ พอนึกถึงแผนชั่วของทวีปโอชวิน รพีพงษ์ก็เป็นกังวลอยู่ตลอด แต่วันนี้เป็นวันที่เขามีความสุขที่สุดในหลายวันนี้
งั้นก็อาศัยโอกาสนี้ ดูดซับพลังทิพย์ให้มากหน่อยดีไหมนะ?
รพีพงษ์นั่งสมาธิลงอีกครั้ง พายุหมุนขนาดใหญ่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้พลังทิพย์ได้ถูกรวบรวมมามากกว่าครั้งก่อนมากนัก
พลังจิตวิญญาณเทพก็ถูกปล่อยออกมา ตามที่วิชาลับบอกไว้ รพีพงษ์คิดจะหลอมรวมพลังทั้งสองเข้าด้วยกันอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ รพีพงษ์ก็รับรู้ได้อย่างชาญฉลาดว่า ไม่รู้ทำไมจิตวิญญาณเทพของตนเองเอาแต่หมุนวนอยู่รอบนอก แต่ไม่เข้ามาหลอมรวมกับพลังทิพย์เพื่อที่จะได้ดูดซับเข้าไป!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
รพีพงษ์ก็ลังเลในใจ แล้วก็ตั้งสมาธิ เขามีจิตวิญญาณที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ก็พยายามหลอมรวมพลังทั้งสองเข้าด้วยกัน
แต่ไม่ว่าเขาจะทดลองไปนานเท่าไร ก็ยังไม่สามารถทำได้ กลับกัน ในกายของเขากลับมีพลังทิพย์จำนวนมากและวุ่นวายมาก พลุ่งพล่านชนกันไปมา ไม่รับฟังการควบคุมของรพีพงษ์
รพีพงษ์ก็ขมวดคิ้ว เขาก็เลยหยุดการหลอมรวมพลัง เพื่อจะได้เกิดความเสียหายใดๆ
เนื่องจากพลังทิพย์ที่ถูกรวบรวมจนเป็นพายุหมุนได้ค่อยๆ จางหายไป พลังจิตวิญญาณเทพที่ลอยหมุนอยู่รอบนอก ก็กลับเข้าสู่กายของรพีพงษ์
จากนั้น รพีพงษ์ก็รู้สึกว่าพลังทิพย์ในกายที่พลุ่งพล่านวุ่นวายเมื่อครู่นี้ ได้สงบลงแล้ว ร่างกายของเขาก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร
ดูเหมือนว่า พลังทิพย์พวกนี้จะต้องใช้พลังจิตวิญญาณมาควบคุมไว้สินะ!
รพีพงษ์พูดกับตัวเอง คนฉลาดอย่างเขาสามารถเข้าใจหลักการได้ในไม่นาน
พายุหมุนที่เกิดครั้งแรกนั้น เขาใช้พลังจิตวิญญาณของตนเองและพลังทิพย์เข้าหลอมรวม
เนื่องจากพลังทิพย์มีลักษณะพิเศษ ตนเองยังไม่สามารถควบคุมมันได้ดีเท่าไรนัก และพลังจิตวิญญาณก็มีประโยชน์ด้านการหลอมรวมพอดี
ดังนั้น ตอนที่พลังจิตวิญญาณของตนเองถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดอีกครั้งนั้น พลังทิพย์ที่ได้เข้าไปในร่างกายนั้น ก็หลุดออกจากการควบคุม ก็เลยวุ่นวายขึ้นมา
หลังจากที่รพีพงษ์เข้าใจเหตุผลทั้งหมดแล้ว เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้น
เป็นคนอย่าโลภให้มันมากนัก ยิ่งกว่านั้น แค่ใช้วิชาดูดวิญญาณเพียงครั้งเดียว ระดับขึ้นพลังของตนเองก็ก้าวกระโดดไปไกลแล้ว
อีกอย่าง รพีพงษ์เชื่อมั่นในร่างกายของตนเองมาก ขอเพียงใช้เวลาไม่กี่วัน พอสามารถ “ควบคุม” พลังทิพย์ในกายแล้วนั้น ก็สามารถมาใช้วิชาดูดวิญญาณ ในพื้นที่นี้ได้
กระบี่สยบเซียนถูกเก็บกลับไป รพีพงษ์ยืนอยู่ข้างหน้าช่องลับบนผนังหิน
หนังสือโบราณเล่มนั้นที่จอมมารชูร่าทิ้งไว้ เขาก็ได้เก็บมันกลับเข้าไปในไม้ปริศนาเหมือนเดิม
ทุกอย่างกลับสู่สภาพเดิม หนังสือโบราณก็ได้กลับเข้าไปรอผู้ที่สามารถเปิดมันออกมาได้คนต่อไปอย่างสงบนิ่ง
รพีพงษ์ก็ได้คำนับหนังสือเล่มนั้นไป3ครั้ง จากนั้นสายตาก็เฉียบคม แล้วเดินออกจากถ้ำไปอย่างตั้งมั่น
หวนนึกในปีนั้น จอมมารชูร่าก็คงจะเดินออกจากถ้ำไปอย่างมั่นใจแบบนี้ จากนั้นก็เริ่มสร้างตำนานให้กับชีวิตตนเอง!
ส่วนวันนี้ รพีพงษ์ที่ได้เข้าสู่ระดับแดนเทพแล้ว ได้เดินตามเส้นทางเดิมของคนโบราณ และออกถ้ำไป
ทวีปโอชวิน ในปีนั้นเรื่องจอมมารชูร่าสามารถทำได้ ผมรพีพงษ์ก็สามารถทำได้เหมือนกัน!
……
กระโดดขึ้นไป เพียงแค่ช่วงหายใจเดียว รพีพงษ์ก็มาถึงด้านบนหน้าผา
สิ่งที่ทำให้รพีพงษ์อึ้งไปก็คือ แรดโบราณพาสัตว์เซียนทั้งหลาย มาเฝ้าบริเวณหน้าผาที่รพีพงษ์ตกลงไปในตอนนั้น
พอเห็นรพีพงษ์กลับออกมาอย่างปลอดภัย แรดโบราณและเหล่าสัตว์เซียนทั้งหลายก็คำนับ
“เจ้านายเก่าช่างมองคนไม่ผิดจริงๆ ถ้าหากว่าเจ้าเป็นอะไรขึ้นมาล่ะก็ ให้ตายข้าก็จะไม่ให้อภัยตนเองเด็ดขาด!”
แรดโบราณพูดเสียงขรึม
เพราะถึงอย่างไร ถึงแม้ตอนนั้นตนเองคิดอยากจะช่วยรพีพงษ์ออกมาจากคมดาบของนีย์ แต่รพีพงษ์ก็ได้ตกเหวไป ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือตนเอง
“ไม่เป็นไร ก็แค่หุบเหวหลายสิบเมตรเท่านั้นเอง ทำอะไรผมไม่ได้หรอก”
รพีพงษ์พูดยิ้มๆ
“งั้น…..ยัยผู้หญิงทวีปโอชวินคนนั้นล่ะ?”
แรดโบราณถามอย่างระวัง
“เธอถูกผมฆ่าตายไปแล้ว เพียงแต่……เศษวิญญาณของเธอหนีไปได้” รพีพงษ์พูดแบบเสียดาย
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นตนเองหมดแรง คงจะไม่เกิดเรื่องที่เศษวิญญาณหนีไปได้แบบนี้หรอก
“ชาวทวีปโอชวินถนัดวิชาแบบนี้ ตอนนั้น ที่เจ้านายเก่ารับมือกับทวีปโอชวิน ถ้าไม่ใช่เพราะวิญญาณของพวกมันสามารถออกจากร่างได้ล่ะก็ ก็คงถูกเจ้านายเก่ากำจัดไปจนหมดแล้วล่ะ”
แรดโบราณพูด แล้วก็นึกถึงเรื่องจอมมารชูร่าขึ้นมา น้ำเสียงของมันก็จริงจังขึ้นมา
รพีพงษ์ก็ตกใจมาก
คนคนเดียวรับมือกับทวีปโอชวินทั้งหมด แถมยังเกือบจะกำจัดได้ทั้งหมด พลังของจอมมารชูร่าช่างล้ำลึกจริงๆ
“แต่ว่า ก็เป็นแค่เศษวิญญาณเท่านั้น พลังก็ได้อ่อนลงมากแล้ว ผมคิดว่าน่าจะไม่สามารถก่อเรื่องอะไรได้มาก”
รพีพงษ์กล่าว
แรดโบราณส่ายหัว “นายน้อย ท่านพูดถูก เศษวิญญาณดวงหนึ่ง ฝ่ามือเดียวก็สามารถตบให้มันสลายไปได้แล้ว เพียงแต่ ทวีปโอชวินมีวิชาลับอย่างหนึ่ง ต่อให้เป็นเศษวิญญาณ ก็สามารถสร้างกายหยาบขึ้นมาได้อีกครั้ง”
“สร้างกายหยาบขึ้นมาใหม่งั้นหรือ?”
รพีพงษ์ก็นึกถึงธีรพัฒน์
ตอนนั้นธีรพัฒน์เป็นเพียงเศษวิญญาณที่ติดอยู่ผนังหิน รอให้รพีพงษ์เอาไม้เทวดามาให้ ถึงจะทำให้วิญญาณมีพลังมากขึ้น
“หรือว่า วิชาลับที่พวกทวีปโอชวินใช้ ก็เป็นไม้เทวดางั้นหรือ?” รพีพงษ์ถาม
แรดโบราณส่ายหัว “ไม่เทวดาที่ท่านพูดถึง หลายร้อยปีก่อนข้าเคยเห็นมัน เพียงแต่ ตามที่ข้ารู้มา วิชาลับที่พวกทวีปโอชวินใช้กันนั้น น่าจะไม่ใช่แบบนี้ แต่วิชาลับในระดับสูงกว่า”
รพีพงษ์ก็พยักหน้า ไม่ว่าอย่างไร ถ้าพวกทวีปโอชวินใช้วิชาลับ แล้วสร้างกายหยาบให้นีย์อีกครั้งล่ะก็ พอถึงตอนนั้นเรื่องของป่าหมอกและแหล่งพลังทิพย์ นีย์จะต้องเอาเรื่องไปบอกทวีปโอชวินอย่างแน่นอน
เวลากระชั้นชิด สิ่งที่รพีพงษ์ทำได้ในตอนนี้ก็คือเพิ่มพลังของตนเอง อีกอย่างเขาต้องการนักฝึกวิชามาช่วยเป็นหูเป็นตาให้เขา
แบบนี้ พอถึงตอนที่รับมือกับพวกทวีปโอชวินนั้น โอกาสชนะก็จะมากขึ้น
รพีพงษ์มีแผนในใจ ก่อนหน้านี้ที่ตนเองกลั่นยาเม็ดวิญญาณชี่ที่มีส่วนช่วยเพิ่มพลังออกมา38เม็ด ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ผู้ที่เหมาะสมเท่านั้น
แน่นอนว่านักฝึกวิชานั้น จะต้องเป็นคนที่ตนเองเชื่อใจได้ เป็นคนที่ร่วมเป็นตายในสงครามได้!
สำนักสยบเซียน!
ในหัวของรพีพงษ์ผุดคำนี้ออกมา
ตอนนั้นชัชพิสิฐอยากจะค้นหาผู้สืบทอด ลูกศิษย์ที่เขาเลือกมานั้น ล้วนมีพรสวรรค์โดดเด่น เพียงแต่รพีพงษ์โดดเด่นกว่าใคร ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เขาก็คงไม่ใช่ตัวเลือกของชัชพิสิฐแล้วล่ะ
เพียงแต่ สำหรับพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องพวกนั้นแล้ว รพีพงษ์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพลังของพวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง
“เจ้าแรดโบราณ และสัตว์เซียนทั้งหลาย ผมขอตัวก่อน”
รพีพงษ์ยกมือคำนับพูด
พวกแรดโบราณก็ไม่ได้รั้งไว้ พวกสัตว์เซียนรู้ดีว่า คนที่ได้รับมอบหมายจากจอมมารชูร่านั้น สิ่งที่รพีพงษ์ทำทุกเรื่อง ล้วนแล้วแต่เพื่อโลกใบนี้ทั้งสิ้น
บริเวณชายขอบของป่าหมอก เหล่าลูกศิษย์ของสำนักเทพยาเซียนก็ชะเง้อคอรอคอย
ผ่านไป2วันแล้ว ยังไม่เห็นเงาของรพีพงษ์เลย ทำให้พวกเขาเป็นกังวลมาก
“ไอจิรภัทร พวกเราเข้าไปหารพีพงษ์กันหน่อยเถอะ”
ปยุตพูดอย่างกังวล
“ใช่ค่ะ เจ้าสำนัก พวกเราเข้าไปดูหน่อยเถอะค่ะ” จิลลาพูดเสริมขึ้นมา
จิรภัทรก็ครุ่นคิด แล้วมองไปยังป่าหมอก
“ถ้าไม่มีคำสั่งผม ใครก็ห้ามเข้าไปเด็ดขาด!”
จิรภัทรพูดเสียงดัง ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนัก เขาจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอันตรายทุกอย่าง
เพราะถึงอย่างไร ตรงหน้านั้นเป็นป่าหมอก นั่นเป็นสถานที่ที่แม้แต่อาจารย์ของเขาเองก็ยังไม่อาจรอดกลับออกมาได้
ตอนที่สายตาของทุกคนกำลังเศร้าสร้อยนั้น ด้านหน้าก็มีเงาดำเดินเข้ามาเรื่อยๆ
“นั่นคือพี่รพีพงษ์!”
ครั้งนี้ ไม่รอให้ชุติเดชเห็นก่อน จิลลาพูดขึ้นมาคนแรกเลย
จากนั้น เธอก็รีบพุ่งเข้าไปหารพีพงษ์
“พี่จิลลา เก็บอาการหน่อย!”
ชุติเดชตะโกนตามไปอยู่ด้านหลัง
จิลลาก็นึกขึ้นได้ว่าท่าทางของตนเองนั้นไม่ค่อยเหมาะสม ถ้าไม่ได้ชุติเดชคอยเตือสติล่ะก็ เกรงว่าเธอคงจะเข้าสวมกอดรพีพงษ์เข้าให้แล้ว
จากนั้นก็ค่อยๆ รอคนด้านหลังตามเข้ามา จิลลาก็เข้าไปหารพีพงษ์พร้อมกับพวกของจิรภัทร
“ผมกลับมาแล้วครับ ทุกคนคงกังวลใจมากเลยสินะครับ”
รพีพงษ์มุมปากอมยิ้ม รอยยิ้มเต็มไปด้วยความมั่นใจ