พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1290 จากกันไม่นานคิดถึงกันยิ่งกว่าแต่งงานใหม่ๆ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1290 จากกันไม่นานคิดถึงกันยิ่งกว่าแต่งงานใหม่ๆ
หลังจากลงเขาไป รพีพงษ์ก็มายังในหมู่บ้านเล็กๆ โรงแรมไม้คู่ก็ยังคงเปิดกิจการอยู่เหมือนเดิม พอเห็นด้านล่างตึกมีรถเฟอร์รารี่สีแดงจอดอยู่ รพีพงษ์ก็รู้เลยว่า พวกของฝนสุดายังไม่ได้ไปจากที่นี่
เพียงแต่ครั้งนี้ รพีพงษ์กลับไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ ที่บ้านตนเองนั้น ยังมีอารียาและหนูลินรอตนเองกลับไปอยู่
ติดเครื่องยนต์รถที่จอดไว้ที่นี่ก่อนหน้านี้ แล้วรพีพงษ์ก็ขับออกไป มุ่งหน้าไปยังเกียวโต
ชั้นบนสุดของโรงแรมไม้คู่นั้น ฝนสุดาก็กำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง
รถที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้น ตอนนี้มันได้ออกไปแล้ว เธอก็รู้ว่า คนที่ตนเองรอยู่หลายวันได้จากไปแล้ว และตอนที่รพีพงษ์จะจากไปนั้น ก็ไม่ได้มาหาเสียหน่อยเลย
“ที่นี่…….ไม่มีอะไรที่ต้องอาลัยอาวรณ์แล้ว ฮารุพวกเราไปกันเถอะ”
ฝนสุดาพูดเบาๆ ในขณะที่กำลังหันหลังไปนั้น หางตาก็มีน้ำตาไหลออกมา………
ณ เกียวโต คฤหาสน์ตระกูลลัดดาวัลย์
รพีพงษ์ขับรถโดยไม่หยุด ไม่อยากจะเสียเวลา
ตอนที่เขาถึงที่นี่นั้น ก็ดึกมากแล้ว
ชยนต์และแม่นางทอผ้าก็รับรู้ได้ก่อนว่ารพีพงษ์กลับมาแล้ว พวกเขาก็รีบมายืนตรงหน้ารพีพงษ์ แล้วคำนับพูดว่า “นายท่าน กลับมาแล้วหรือคะ”
รพีพงษ์ก็พยักหน้าเบาๆ แล้วก็มองหุ่นเชิดสองตัวนี้
“ผมจากบ้านไปนานขนาดนี้ ในบ้านเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
แม่นางทอผ้าก็หัวเราะ “นายท่าน ตระกูลลัดดาวัลย์เป็นตระกูลอันดับหนึ่งของประเทศจีนแล้ว ยังจะมีใครกล้ามาหาเรื่องกับตระกูลลัดดาวัลย์อีกล่ะคะ? จะว่าไปแล้วหน้าที่ที่นายท่านมอบหมายให้ มันก็น่าเบื่อมากเลย ทุกวันจะต้องมาเจอหน้าชยนต์เดิมๆทุกวัน ข้าน้อยคิดถึงนายท่านจะแย่”
รพีพงษ์ถอนหายใจ แม่นางทอผ้าคนนี้ ไม่เจอหลายวัน กิริยาท่าทางออดอ้อนเก่งกว่าก่อนเยอะเลย
“เอาเถอะ พวกเธอกลับไปก่อน ผมจะไปหาแคลร์”
พูดจบ รพีพงษ์ก็เดินเข้าไป
หุ่นเชิดทั้งสองตัวอยู่ด้านหลังของรพีพงษ์ แล้วก็แอบซุบซิบกัน
“เจ้าทึ่ม ไม่เห็นรึไงว่าครั้งนี้นายท่านกลับมา มีพลังแข็งแกร่งขึ้นเยอะเลย?”
ชยนต์ก็พยักหน้า “ก็ใช่อยู่ เพียงแต่ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง งั้นพรสวรรค์ของนายท่าน ก็แข็งแกร่งจนน่ากลัวเหมือนกันนะ”
ทั้งสองคนก็นิ่งไปสักพัก แล้วแม่นางทอผ้าก็พูดขึ้นมา
เธอยิ้มแปลกๆ แล้วก็จูงมือชยนต์ “เจ้าทึ่ม ไป ตามฉันไปบนหลังคา”
ยังไม่ทันได้พูดจา ทั้งสองคนก็กระโดดขึ้นไปบนหลัง
“แคลร์ ผมกลับมาแล้ว!”
พอขึ้นไปชั้นบนสุด รพีพงษ์ก็เปิดประตูห้องเข้าไป มุมปากก็เผยรอยยิ้มที่มีความสุข
อารียานั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือในห้อง โคมไฟก็ส่องแสงสีเหลืองออกมา
เธอหันมามองที่ประตู พอเห็นว่าเป็นรพีพงษ์ที่แต่งตัวสบายๆแล้ว น้ำตาก็ไหลออกมาเองในทันที
รอคอยอย่างเจ็บปวดมาหลายวัน วันนี้ คนที่คิดถึงมาอยู่ตรงหน้าแล้ว อารียาก็ลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นหน้าไปสองก้าว จากนั้นก็วิ่งเข้าไปซบหน้าอกอุ่นๆ ของรพีพงษ์
“ผมไม่อยู่หลายวันนี้ คุณผอมไปเยอะเลยนะ……”
รพีพงษ์พูดเบาๆ แล้วก็ใช้มือซ้ายลูบหน้าผากและเส้นผมของอารียา
“คุณกลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว………” อารียาบ่นพึมพำ พร้อมหลับตาสัมผัสกับความอบอุ่นนั้น
“เอ้อ แล้วหนูลินล่ะ?” รพีพงษ์ถามเบาๆ
ตนเองหามรุ่งหามค่ำขับรถมาหลายร้อยกิโลเมตร นอกจากอารียาแล้ว คนที่เขาอยากเจอมากที่สุดก็คือลูกสาวแสนดีของตนเอง ขวัญนลิน
“เธออยู่กับพี่สา ลูกสาวเรา ตอนนี้ให้พี่คอยดูแลทั้งวันทั้งคืน ติดพี่สาไปแล้ว” อารียากล่าว
รพีพงษ์ก็พยักหน้า นิสัยใจคอของชนิสราก็ไม่มีอะไรต้องสงสัย หนูลินอยู่กับเธอ ก็วางใจได้อยู่
อีกอย่าง ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว หนูลินคงจะหลับไปแล้ว ถ้าไปหาตอนนี้ก็จะเป็นการรบการพักผ่อนของเธอ
รพีพงษ์ก้มหน้ามองอารียาในอ้อมอกตนเอง สายตาก็อมยิ้ม
เขาพูดเบาๆ ว่า “อาศัยจังหวะที่หนูลินไม่อยู่ นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเราก็ควรจะพักผ่อนกันได้แล้ว”
อารียาก็มองรพีพงษ์ จากสายตาของรพีพงษ์ เธอก็รู้ความหมายที่แฝงอยู่ในสายตานั้น หน้าเธอก็แดงขึ้นมา แล้วก็พยักหน้านิ่งๆ
จากกันไม่นานคิดถึงกันยิ่งกว่าแต่งงานใหม่ๆ ความอบอุ่นที่รอคอยมานานนี้ ทำให้รพีพงษ์และอารียาตื่นเตนกันมาก
แต่ในตอนนี้เอง รพีพงษ์ก็รู้สึกได้ว่า บนหลังคา เหมือนจะมีคนอยู่ด้านบน
ให้ตายเถอะ เจ้าหุ่นเชิด2ตัวนี่ ดูเหมือนว่าปกติจะดีกับมันมากเกินไป ต่อไปต้องสั่งสอนให้รู้เรื่องเสียบ้างแล้ว!
รพีพงษ์คิดในใจ แล้วก็พูดออกมาว่า “หันหน้าออกไป!”
คำพูดนี้เป็นการพูดให้แม่นางทอผ้าที่อยู่บนหลังคาฟัง แต่อารียาเข้าใจผิด คิดว่ารพีพงษ์พูดกับตนเอง
เธอก็ยิ่งหน้าแดงมากกว่าเดิม แล้วก็หันตัวไปนิ่งๆ …….
มีความสุขกันทั้งคืน พอวันที่สองตื่นขึ้นมา ก็เกือบจะกลางวันแล้ว
“นอนหลับที่เตียงนอนบ้านตัวเองสบายที่สุด”
รพีพงษ์ยิ้มพูด เขาไม่ได้นอนหลับสบายแบบนี้มานานแล้ว
แต่ว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขมันช่างสั้นนัก รพีพงษ์ยังคงไม่ลืมภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
“ไปบอกคนตระกูลลัดดาวัลย์ทุกคน ว่าผมมีเรื่องจะประกาศ”
พอวางสาย รพีพงษ์ก็สวมชุดสูท แล้วก็ไปยังห้องโถงกลางของคฤหาสน์ตระกูลลัดดาวัลย์
ในห้องโถงตอนนี้ ก็ได้ตกแต่งใหม่แล้ว เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน รพีพงษ์และโจซี่ได้ต่อสู้กันที่นี่ วันนั้น คนมีวิชาระดับแดนดั่งเทพชั้นยอดลงมือสู้กัน เล่นเอาห้องโถงนี้เละไม่เป็นท่าเลย
“ชยินทำได้ไม่เลว” รพีพงษ์พูดเบาๆ ดูเหมือนตนเองจะมองคนไม่ผิด
พออารียาได้ยินรพีพงษ์พูดแบบนี้ ก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
“รพีพงษ์ ครั้งนี้คุณจากบ้านไปนาน โจซี่ได้ไปหาเรื่องคุณไหม?” อารียาถาม
รพีพงษ์หันมามองแคลร์ แล้วยิ้มพูดว่า “โจซี่ได้กลายเป็นอดีตไปแล้วล่ะ แต่จริงๆ แล้ว ตอนที่เธอมาอยู่บ้านเรานั้น ที่เธอแสดงออกมา มันไม่ใช่ตัวจริงของเธอ”
“ไม่ใช่ตัวจริงของเธองั้นหรือ?” อารียาแปลกใจมาก
รพีพงษ์ก็เล่าเรื่องที่โจซี่และนีย์แปลงโฉมให้อารียาฟัง
พอฟังจบ อารียาก็เอ่ยปากว่าน่าอัศจรรย์ “ไม่คิดเลยว่า บนโลกใบนี้ จะยังมีวิชาลวงตาแบบนี้ด้วย วิชาแปลงโฉม มันมีแต่ในนิยายไม่ใช่หรือ?”
เสียงพูดที่มีแรงดึงดูดของรพีพงษ์ ก็พูดขึ้นว่า “แคลร์ บนโลกใบนี้ยังเรื่องอีกมากมายที่คุณยังไม่เข้าใจ และต่อให้เป็นผมเอง ก็ไม่มีทางรู้ทุกเรื่อง คุณวางใจเถอะ สักวัน ผมจะบอกทุกอย่างแก่คุณเอง อีกอย่าง ผมจะพาคุณไปลองเดินบนเส้นทางนักฝึกวิชาดูด้วย”
“ฝึกวิชางั้นหรือ? ฉัน…….ทำได้หรือ?” อารียาถามแบบอึ้งเล็กน้อย เพราะเธอเองไม่คิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย
“ได้แน่นอน เพราะว่า สามีของคุณชื่อว่ารพีพงษ์ไงล่ะ!”
รพีพงษ์มองอารียาแล้วพูดอย่างมั่นใจ
การพาอารียาไปฝึกวิชาด้วย นี่คือสิ่งที่รพีพงษ์คิดขึ้นได้ หลังจากที่ได้ยินฝนสุดาพูดขึ้นที่หมู่บ้านเล็กๆ นั่น
บนโลกใบนี้ ถ้าไม่มีแคลร์และหนูลินอยู่เป็นเพื่อน ต่อให้เป็นอมตะ แล้วมันจะมีความหมายอะไรล่ะ?
ตอนที่พูดนั้น คนของตระกูลลัดดาวัลย์ก็พากันเข้ามาในนี้
ท่านคทามีใบหน้าที่ตื่นเต้น พอเห็นรพีพงษ์ ก็รีบเดินเข้าไปเลย
“นายน้อย กลับมาแล้วหรือครับ!”
รพีพงษ์พยักหน้า พอเห็นคนตระกูลลัดดาวัลย์ในเกียวโตมาพร้อมหน้ากันแล้ว เขาก็ดินไปยังด้านหน้าสุดของห้องโถง โดยมีอารียายืนอยู่ข้างๆ
“ทุกท่านครับ ผมไม่อยู่หลายวันนี้ พวกคุณก็เหนื่อยกันหน่อยนะครับ” รพีพงษ์พูดเสียงนิ่ง
“ไม่เหนื่อยหรอก เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
คนด้านล่างก็พากันตอบกลับไป
เนื่องจากก่อนหน้านี้รพีพงษ์ไม่อยู่ เรื่องใหญ่น้อยก็ให้อารียาเป็นคนตัดสินใจ ดังนั้น พวกเขาก็เลยเรียกประธานรพีพงษ์กันจนติดปากไปแล้ว
รพีพงษ์พยักหน้าเบาๆ ความสามารถของแคลร์นั้น เขาไว้วางใจเสมอมา
“วันนี้ผมกลับมาแล้ว เลยเรียกทุกท่านมาที่นี่ ก็เพราะว่ามีเรื่องจะประกาศ”
รพีพงษ์ก็กระแอม สายตาก็เคร่งขรึมขึ้นมา “ผมมีลางสังหรณ์บางอย่าง หลังจากนี้ไม่นาน ที่นี่ก็จะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ส่วนผม ก็จะขอพยายามรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้อย่างไม่ย่อท้อ แต่เพื่อเป็นการป้องกัน วันนี้ วันนี้ผมจะเลือกคนมีความสามารถในหมู่พวกคุณ เพื่อแยกกันดูแลงานต่างๆ ของตระกูลลัดดาวัลย์!”
“นายน้อย นี่คุณ…….”
ท่านคทามีสีหน้าตื่นเต้น เขาไม่คิดเลยว่า รพีพงษ์กลับมาครั้งนี้ สิ่งแรกที่จะทำก็คือ แบ่งแยกอำนาจ!
รพีพงษ์ก็ส่งสายตาให้กับท่านคทา จากนั้นก็มองทุกๆ คน
ข่าวของแหล่งพลังทิพย์ ช่วงหลายวันนี้ทวีปโอชวินคงได้รับรู้แน่
ส่วนการปกป้องแหล่งพลังทิพย์นั้น ก็คือสิ่งที่รพีพงษ์ต้องทำ
พอถึงตอนนั้น สงครามใหญ่ก็จะเกิดขึ้น!
ความแข็งแกร่งของทวีปโอชวิน รพีพงษ์เองก็ไม่กล้ารับรอง ว่าตนเองจะสามารถรอดพ้นทุกอย่างได้
ดังนั้น เขาก็เลยตัดสินใจ ต่อให้ตนเองต้องเป็นอะไรไป ตระกูลลัดดาวัลย์ก็จะล่มสลายไม่ได้เด็ดขาด
ดังนั้น การจะเตรียมพร้อมล่วงหน้า เป็นสิ่งที่ต้องจัดการ
“ชยิน ชรัณ……”
รพีพงษ์ก็เรียกชื่อหลายคนออกมา จากกลุ่มคนพวกนั้น
พอเห็นว่าวัยรุ่นพวกนี้มายืนอยู่ตรงหน้าตนเอง รพีพงษ์ก็ภูมิใจมาก
ตระกูลลัดดาวัลย์มีมังกรมาเกิด คนพวกนี้ก็ล้วนยอดคนเหมือนกัน!
“พวกคุณฟังให้ดี เดี๋ยวท่านคทาจะจัดการหาตำแหน่งรับผิดชอบให้พวกคุณเอง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หลายคนตรงหน้านี้ก็จะเป็นความหวังของตระกูลลัดดาวัลย์”
“น้อบรับคำสั่งนายท่าน!”
วัยรุ่นทั้งหลายก็ตอบรับพร้อมกัน