พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1293 คนดีย่อมได้ดี
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1293 คนดีย่อมได้ดี
ณ คฤหาสน์ตระกูลลัดดาวัลย์
“พี่สาคะ รพีพงษ์กลับมาแล้ว”
อารียาพูด
ทันทีที่พูดจบ เสียงเท้าเดินก็ดังขึ้น
หนูน้อยน่ารักหนูลินวิ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
ดวงตาที่กลมโตของเธอเต็มไปด้วยความชุ่มชื้น แต่ทันทีที่เห็นรพีพงษ์ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
เธอกระโดดเข้าไปหารพีพงษ์ และรพีพงษ์ก็ยื่นมือไปรับเธอขึ้นมากอดไว้ในอ้อมกอด
ภายใต้แสงแดดที่เจิดจ้า ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหนูลินก็เปล่งประกายมากขึ้น
“คุณพ่อคะ……”
คำว่า “พ่อ” คำนี้ รพีพงษ์ได้ยินในความฝันมานับไม่ถ้วนแล้ว แต่เขาไม่เคยรู้สึกดีเท่าวันนี้มาก่อนเลย
และทันใดนั้น เบ้าตาของรพีพงษ์ก็ชุ่มชื้นทันที เพราะหนูลินทำให้เขารู้สึกว่าทุกสิ่งที่เขาทุ่มเทออกไปนั้นมันช่างมีค่าเสียเหลือเกิน
“หนูลิน พ่อคิดถึงลูกมากเลยนะ” รพีพงษ์พูดอย่างอ่อนโยนและวางจูบลงที่หน้าผากของหนูลินเบาๆ
เมื่อเห็นครอบครัวที่สุขสันต์นี้ ชนิสราที่สวมผ้ากันเปื้อนอยู่ก็ยิ้มออกมาด้วยความสุข มันช่างเป็นภาพที่สวยจริงๆ
“วันนี้เราจะไม่ไปไหนแล้วนะ พี่สา พี่ช่วยทำกับข้าวให้เราหน่อยนะ วันนี้เราจะอยู่กับหนูลิน” อารียาพูด
“ได้ค่ะ”
ชนิสราขานตอบและหันเดินเข้าไปในห้องครัว
“คุณพ่อคะ หนูอยากเล่นชิงช้า”
หนูลินพูด
รพีพงษ์มองเธอด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนว่าสาวน้อยคนนี้จะมีความจำที่ดีมาก แต่ครั้งก่อนเขาแค่สร้างชิงช้าปลอมให้เธอเท่านั้น
“ได้สิครับ แต่ครั้งนี้พ่อจะทำชิงช้าของจริงให้หนูนะ”
รพีพงษ์ยิ้มอย่างลึกลับ
จากนั้นเดินเข้าไปหยิบเครื่องมือในห้องเก็บของ
เก้าอี้ที่นั่ง เชือกและมัดปลายเชือกทั้งสองข้างให้แน่น ทุกขั้นตอนนี้รพีพงษ์เป็นคนลงมือทำคนเดียว
จากนั้นไม่นาน ชิงช้าก็ทำเสร็จ
“คุณพ่อเก่งที่สุดเลยค่ะ!”
หนูลินยืนปรบมืออยู่ข้างๆ อย่างมีความสุข ในขณะนี้ รพีพงษ์เป็นเหมือนฮีโร่ในใจเธอ
จากนั้นรพีพงษ์ก็อุ้มขวัญนลินไปนั่งที่ชิงช้า และทั้งสองก็เล่นกันอย่างสนุกสนาน
อารียาที่ยืนอยู่ข้างๆ คอยเตือนรพีพงษ์ด้วยความเป็นห่วง แต่หนูลินก็ยังให้รพีพงษ์เหวี่ยงชิงช้าให้สูงขึ้น
ซึ่งแน่นอนว่านายน้อยตระกูลลัดดาวัลย์ต้องฟังคำสั่งของลูกสาวอยู่แล้ว เขาใช้พลังจิตวิญญาณอย่างลับๆ ทุกครั้งที่เหวี่ยงชิงช้าให้สูงที่สุด
ด้วยเหตุนี้ หนูลินดูมีความสุขและไม่ได้มีความกลัวเลยแม้แต่นิด
รพีพงษ์คิดในใจว่าสมเป็นลูกสาวของเขาจริงๆ ที่มีความกล้าหาญเช่นนี้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ความสนใจทั้งหมดของรพีพงษ์ก็อยู่ที่หนูลิน และจิตวิญญาณเทพทั้งหมดของเขาก็เข้ามาปกป้องหนูลินโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
เพราะว่าในขณะนี้ชิงช้าเหวี่ยงได้สูงมาก และเขาจะปล่อยให้เกิดอุบัติเหตุไม่ได้
แต่ในทันใดนั้น รพีพงษ์ก็รู้สึกเอะใจ เพราะเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในร่างที่อ่อนเยาว์ของหนูลินนั้นมีพลังวิเศษอะไรบางอย่างอยู่
จากนั้นเขาใช้จิตวิญญาณเทพตรวจหาอย่างละเอียดอีกครั้ง และในครั้งนี้เขาก็ได้ค้นพบครั้งสำคัญ
ในร่างกายของหนูลินนั้น รพีพงษ์สัมผัสถึงการมีอยู่ของจิตวิญญาณเทพ
เพียงแต่ว่าสิ่งที่แตกต่างจากมนุษย์ทองคำตัวน้อยในความคิดเขาคือ จิตวิญญาณเทพในร่างกายของหนูลินนั้นเป็นเพียงเมล็ดถั่วที่ยังคงหลับใหลอยู่และยังไม่ได้ถูกปลุกให้งอกงามขึ้นมา
แต่ทั้งหมดนี้ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ขวัญนลินก็เป็นบุคคลที่มีจิตวิญญาณเทพโดยธรรมชาติด้วยเช่นกัน สำหรับการตื่นจากการหลับใหลของจิตวิญญาณเทพในตัวเธอนั้นเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น!
รพีพงษ์อดไม่ได้ที่จะชื่นชมและตื่นเต้นกับการค้นพบของเขา
ในฐานะที่เป็นบุคคลที่เกิดมาพร้อมกับจิตวิญญาณเทพ และยังปลุกจิตวิญญาณเทพให้ตื่นขึ้นมาได้ เขาจึงรู้ว่าการฝึกฝนวิชานั้นสำคัญมากแค่ไหน
พรสวรรค์แบบนี้ ถ้าไม่ไปฝึกวิชาก็คงเสียดายแย่เลย
เพียงแต่ว่า ตอนนี้หนูลินยังเด็กเกินไป อย่างน้อยคงต้องรออีกแปดถึงสิบปีถึงจะสัมผัสกับเส้นทางแห่งการฝึกฝนวิชาได้
ถึงอย่างนั้นตอนนี้รพีพงษ์ก็พึงพอใจแล้ว และในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกมั่นใจว่าจะได้มีโอกาสฝึกฝนวิชาไปพร้อมกับภรรยาและลูกสาวของเขา!
หลังจากเล่นอย่างสนุกสนานเสร็จ รพีพงษ์ก็พาหนูลินที่พึงพอใจกับการเล่นในวันนี้กระโดดลงจากชิงช้า
จากนั้นทั้งสามก็รวมตัวกันที่โต๊ะอาหารเพื่อรับประทานอาหารพร้อมกัน ส่วนชนิสราก็คอยยืนให้บริการอยู่ข้างๆ
“พี่สา เราเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันแล้ว มานั่งกินด้วยกันเถอะ” รพีพงษ์พูดเบาๆ
ชนิสราพยักหน้าและนั่งลงด้วยรอยยิ้ม
“พี่ดูแลหนูลินได้ดีขนาดนี้ ผมไม่รู้จะขอบคุณพี่ยังไงแล้ว” รพีพงษ์พูด
“นั่นสิคะ คุณยายสาใจดีกับหนูลินที่สุดเลย ทุกครั้งที่มีของอร่อยๆ คุณยายสาจะให้หนูกินก่อน แล้วก็ คุณยายสารักหนูที่สุดเลยนะคะ” หนูลินพูดด้วยสำเนียงเด็กด้วยความน่ารักน่าชัง
ชนิสรายิ้มอย่างเขินอาย “หนูลินน่ารักขนาดนี้ อีกอย่างคุณชายรพีก็ดีกับดิฉันขนาดนี้ ดิฉันก็ต้องดูแลคุณหนูน้อยให้ดีที่สุด และดิฉันจะไม่ทำให้คุณนายกับคุณหญิงผิดหวังค่ะ”
รพีพงษ์มองไปที่อารียาแล้วพูดเบาๆ “แคลร์ คุณจำได้ไหม ตระกูลลัดดาวัลย์ของเราเพิ่งมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ที่เกียวโต”
“ใช่ โครงการคฤหาสน์ตระกูลหลิน เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมาในระดับไฮเอนด์” อารียาพูด
เธอเป็นคนดูแลกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์มาตลอด ดังนั้นเธอจึงรู้รายละเอียดของอสังหาริมทรัพย์นี้ดี
“ผมว่าตำแหน่งของโครงการคฤหาสน์ตระกูลหลินก็ดีเหมือนกันนะ อีกอย่างมันอยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์ตระกูลลัดดาวัลย์ด้วย เอางี้ไหม เราเลือกวิลล่าในโครงการสักหลังให้กับพี่สา คุณเห็นด้วยไหม”
“คุณเป็นหัวหน้าครอบครัว ฉันเห็นด้วยกับการตัดสินใจของคุณอยู่แล้ว” อารียายิ้มพูด
“งั้นเราตกลงตามนี้เลยนะ”
รพีพงษ์หันไปพูดกับชนิสรา “พี่สาครับ ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากเรานะครับ ถึงแม้จะไม่ได้แพงมากนัก แต่พี่สารับมันไว้นะครับ”
“คุณ……คุณชาย”
ชนิสราเกินคำบรรยาย
เธอรู้ดีกว่าโครงการคฤหาสน์ตระกูลหลินนั้นเป็นโครงการที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดของเมืองเกียวโต
ซึ่งผู้ที่สามารถอาศัยอยู่ในนั้นล้วนเป็นเหล่าเศรษฐีทั้งนั้น
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือที่ดินในนั้นแพงกว่าทองคำเสียอีก ซึ่งวิลล่าหลังหนึ่งในโครงการคฤหาสน์ตระกูลหลินนั้น ราคาต้องทะลุร้อยล้านอย่างแน่นอน!
“ไม่ได้นะคะคุณชาย มันแพงเกินไปสำหรับดิฉัน ดิฉันรับไว้ไม่ได้จริงๆ!” ชนิสรารีบพูดต่อ “ดิฉันก็ไม่ได้ทำอะไรให้คุณชายกับคุณหญิงเลย ดิฉันรับไว้ไม่ได้จริงๆ นะคะ ถ้าคุณชายจะให้ดิฉัน ดิฉันต้องลำบากใจแน่เลยค่ะ”
รพีพงษ์ยิ้มพูด “พี่สา พี่ไม่ต้องปฏิเสธแล้ว ที่ผมพาพี่มาที่เกียวโตจากเมืองริเวอร์ ก็เพราะว่าผมเห็นคุณงามความดีของพี่ ผมรู้ว่าพี่จริงใจกับพวกเรามาก”
“ส่วนเรื่องที่พี่จะทำอะไรให้กับพวกเรานั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่หรอกครับ แค่เรื่องที่พี่ช่วยดูแลหนูลินให้เรา มันก็ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมแล้วครับ!”
“แต่ว่า……” ชนิสราไม่รู้จะพูดอะไรในชั่วขณะ
“เอาล่ะ พี่สา นี่เป็นสิ่งที่พี่สมควรได้รับนะ ปกติหนูกับรพีพงษ์งานเยอะ และพี่ก็ทำงานเหนื่อยกว่าพวกเรา อีกอย่างพี่ก็รู้นิสัยของรพีพงษ์ดี สิ่งที่เขาตั้งใจจะให้นั้น เขาไม่มีวันเอากลับไปหรอก จะว่าไป สำหรับตระกูลลัดดาวัลย์ของเรามันก็แค่วิลล่าหลังเดียวเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย” อารียาพูด
“งั้น……ขอบพระคุณนะคะ” ในที่สุดชนิสราก็ยอมรับอย่างไม่เต็มใจมากนัก
เพียงเพราะคำพูดคำเดียวของรพีพงษ์ ชนิสราที่เป็นคนซื่อสัตย์คนนี้ก็กลายเป็นเศรษฐีที่มีทรัพย์สินหลักร้อยล้านทันที
“แล้วลูกสาวพี่ภารุจาเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้คงใกล้เรียนจบแล้วสินะ ถ้าเธอยังไม่ได้หางาน ให้เธอมาที่เกียวโตก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมจะให้เธอเข้าไปทำงานในบริษัทของตระกูลลัดดาวัลย์ของเรา” รพีพงษ์พูด
“จริงเหรอคะคุณชาย!”
ชนิสรามองรพีพงษ์อย่างซาบซึ้ง
ภารุจาเพิ่งจะเรียนมหาลัยปีสี่ แม้จะยังเรียนอยู่ในปีสุดท้าย แต่เธอก็เริ่มหางานทำแล้ว อีกอย่างเธอเป็นคนเรียนเก่งและหลายๆ บริษัทก็ต้องการให้เธอเข้าไปทำงานด้วย
เพียงแต่ว่าภารุจานั้นต้องการมาที่เกียวโตมาก ไม่ใช่เพราะความเจริญรุ่งเรืองของเมืองนี้ แต่เพราะแม่ของเธอที่อยู่ในเกียวโตต้องการให้คนมาดูแล
แล้วถ้าหากให้เธอไปมาแบบนี้คงต้องเสียงานพอดี
“ผมต้องพูดจริงอยู่แล้วครับ”
รพีพงษ์ยิ้มพูด จากนั้นหยิบโทรศัพท์ออกมา “ชยิน ผมหาผู้ช่วยให้คุณแล้วนะ เด็กจบใหม่เกียรตินิยมอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยบาสแตร์ คุณต้องดูแลเธอให้ดีนะ จริงด้วย เขาเป็นเด็กผู้หญิงที่ทั้งน่ารักและทั้งกตัญญู คุณต้องรักษาเธอให้ดีนะ”
เมื่อพูดจบเขาก็กดวางสายลง
ชนิสรารู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะคุกเข่าให้รพีพงษ์
“ดิฉันสร้างบุญอะไรไว้ในชาติที่แล้ว ทำไมถึงโชคดีที่เจอคนใจดีอย่างคุณนายกับคุณหญิงได้ ดิฉันขอขอบพระคุณจริงๆ นะคะ” ชนิสราพูด
“คนดีก็ย่อมได้ดีสิครับ”
รพีพงษ์พูดอย่างใจเย็น