พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1308 พายุทราย
ทั้งสองฝ่ายหยุดทันที และชายหนุ่มคนนั้นก็กล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “วันนี้จะไว้ชีวิตคุณก่อน รอจนกว่าพายุทรายจะสงบแล้วค่อยว่ากัน!”
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว แต่เขารู้ถึงพลังของธรรมชาติเป็นอย่างดี
ลมแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ทรายสีเหลืองลอยไปทั่วท้องฟ้า และกลางคืนที่มืดมิดก็ถูกย้อมกลายเป็นสีเหลืองอร่าม เหมือนกับฉากวันโลกาวินาศ
เมื่อเผชิญกับพายุทรายขนาดมหึมา ทำให้มนุษย์ตัวเล็กลงไปอีก
“เร็ว รีบเข้าไปในเต็นท์เร็ว!”
ลุงตรัยกล่าวอย่างรวดเร็ว แล้วรีบดึงรพีพงษ์เข้าไปในเต็นท์
ชายหญิงคู่นั้นต่างตกใจกับพายุทรายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และเข้าไปในเต็นท์อีกหลังเช่นกัน
วัชพืช ทราย และกรวดบินว่อนไปทั่ว
โชคดีที่เต็นท์ที่ลุงตรัยเตรียมไว้นั้นแข็งแรงมาก และมีมาตรฐานสูงสุดที่ทีมปีนเขาใช้กัน
แต่ถึงกระนั้น เต็นท์ก็อาจถูกพายุทรายกลืนกินไปในพริบตา
“ไม่ได้เห็นพายุทรายขนาดใหญ่เช่นนี้มาหลายปีแล้ว”
ลุงตรัยที่อยู่ในเต็นท์กล่าวอย่างกังวลว่า “นายน้อย ผมคิดว่าอีกไม่นานเต็นท์ของเราจะพัง และจะถูกทรายสีเหลืองกลืนในที่สุด”
“ลุงตรัย คิดว่าจะทำยังไงดี อยู่ในทะเลทราย ผมจะฟังคุณ” รพีพงษ์กล่าวอย่างเด็ดขาด และมอบการตัดสินใจให้ลุงตรัย
เพราะถึงยังไง เขาเป็นคนพื้นเพชาวซีเป่ย และตนเองก็ไม่คุ้นเคยกับทะเลทรายแห่งนี้มากนัก
“ไป พวกเราออกไปสถานที่ที่อูฐอยู่กันเถอะ!”
ลุงตรัยกล่าวเสียงดัง มิฉะนั้น เสียงของตนเองจะถูกกลืนไปกับลมที่โหมกระหน่ำจากภายนอก
รพีพงษ์พยักหน้า เห็นด้วยกับสิ่งที่ลุงตรัยกล่าว
เต็นท์ถูกเปิดออก และในขณะนี้ ทรายสีเหลืองด้านนอกทำให้เต็นท์จมลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ลุงตรัยอยากจะรีบออกไป แต่พายุทรายใหญ่มาก ทำให้การเคลื่อนไหวยากลำบาก
“ให้ตายสิ พายุทรายนี้จะทำให้พวกเราตายอยู่ที่นี่หรือเปล่า?” ลุงตรัยกล่าวอย่างไม่เต็มใจ
ชีวิตตนเองนั้นช่างมัน แต่ว่าคนที่อยู่ข้างกายเป็นถึงนายน้อยเทือกเขากิสนา ซึ่งเป็นคนที่ต้องปกป้องถึงแม้ว่าตนเองจะต้องตาย
“ลุงตรัย จับผมไว้ แล้วเดินตามผมมา”
เวลานี้ เสียงที่ราบเรียบของรพีพงษ์ก็ดังขึ้น
จากนั้น รพีพงษ์ดึงมือเหี่ยวย่นของลุงตรัยไว้ และพลังวิเศษเสนก็แผ่กระจาย กลายเป็นฝาครอบป้องกันขนาดใหญ่ ห่อหุ้มทั้งสองไว้โดยตรง
ทันใดนั้น ลุงตรัยรู้สึกว่า การซ่อนตัวอยู่ภายในเกาะป้องกัน ทำให้พายุทรายที่อยู่รอบ ๆ เบาบางลง
“นายน้อย คุณเป็นมนุษย์เทพจริง ๆ ด้วยเกราะป้องกันนี้ไม่ว่าพายุฝุ่นจะใหญ่แค่ไหนก็ไม่เป็นไร!” ลุงตรัยกล่าว สิ่งนี้ปลอดภัยกว่าเต็นท์มาก
“ลุงตรัย แม้ว่าเกาะป้องกันจะดี แต่ก็ใช้พลังจิตวิญญาณเทพเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น พายุทรายนี้จะไม่สงบในเวลาอันสั้น พวกเรายังต้องรีบไปที่ที่อูฐอยู่ก่อน”
รพีพงษ์กล่าว
“ใช่ คุณพูดถูก พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
พูดจบ ทั้งสองจึงรีบเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปบริเวณที่อูฐอยู่
อูฐในฐานะโอเอซิสแห่งทะเลทราย โดยธรรมชาติแล้วอูฐมีวิธีเอาตัวรอดในทะเลทราย
ขณะนี้ พายุทรายกำลังบุกเข้ามา และอูฐเหล่านี้กำลังพิงกัน ส่วนขนตาที่เรียวยาวสามารถป้องกันไม่ให้ทรายสีเหลืองเข้าตาได้
หลังจากที่ลุงตรัยมาถึงแล้ว เขาก็ตบอูฐเบา ๆ
อูฐเหล่านี้อยู่กับลุงตรัยมาเป็นเวลานาน ดูเหมือนว่าพวกมันจะรู้ว่าลุงตรัยจะให้พวกมันอะไร จากนั้นพวกมันจึงเปิดช่องทางเดินให้ช่องหนึ่งทันที
“รีบเข้าไปเถอะ”
ลุงตรัยกล่าว
จากนั้น ทั้งสองก็เดินเข้าไปอยู่ท่ามกลางอูฐ
รพีพงษ์มองไปข้างหน้า ขณะนี้ เต็นท์ถูกทรายสีเหลืองกลืนเข้าไปแล้ว มองเห็นเพียงส่วนบนของเต็นท์ได้เท่านั้น
หากตนเองช้าไปหนึ่งก้าว ไม่กล้าคิดว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด
ในขณะนั้น อีกเต็นท์หนึ่งก็ถูกเปิดออกเป็นช่องเล็ก ๆ
ชายหญิงคู่นั้นดิ้นรนออกมาจากทรายสีเหลืองที่ปกคลุมถึงหัวเข่าของพวก
“นายน้อย จะช่วยพวกเขาหรือไม่?” ลุงตรัยกล่าวถาม
รพีพงษ์ส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็น พวกเขาอยู่ในระดับแดนดั่งเทพแล้ว ดังนั้นก็ย่อมมีวิธีเอง”
ลุงตรัยพยักหน้า และไม่พูดอะไรอีก
ทั้งสองก้มศีรษะลงให้มากที่สุด ลำตัวกว้างของอูฐที่อยู่รายรอบก็เป็นเกาะป้องกันที่ดีที่สุดแก่พวกเขา
สถานการณ์ของชายหญิงคู่นั้นแย่กว่ามาก โชคดีที่พวกเขาไม่โง่ ต่างคนต่างเสกโล่กำบัง และซ่อนร่างไว้ภายใต้โล่
แต่ว่า ทรายสีเหลืองมากขึ้นเรื่อย ๆ และในไม่ช้า ทั้งสองก็ถูกทรายสีเหลืองกลืนลงไป…
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง พายุทรายก็ค่อยๆ สงบลง
รพีพงษ์และลุงตรัยเงยหน้าขึ้น และปักทรายสีเหลืองบนร่างกายของพวกเขาลงบนพื้น
ขณะนี้ ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาทำให้ทั้งสองคนรู้สึกประหลาดใจ
ยอดเนินทรายที่ทับถมด้วยทรายสีเหลืองที่พวกเขาจะปีนขึ้นไปก่อนหน้านั้นได้หายไปแล้ว และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ารพีพงษ์นั้นคือพื้นทรายที่ราบเรียบ!
ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาตินั้นยอดเยี่ยมมาก และนี่คือสถานที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริง
และในโลกมหัศจรรย์เช่นนี้ จะไม่มีวันอนุญาตให้คนของทวีปโอชวินมาทำความชั่วได้อีก!
การให้อาหาร และให้น้ำเพียงพอแก่อูฐ เป็นรางวัลที่ดีที่สุดสำหรับพวกมัน
รพีพงษ์และลุงตรัยออกมาจากกลุ่มอูฐ เต็นท์ทั้งสองได้หายไปแล้ว รพีพงษ์อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ดูเหมือนว่า ความฝันของคืนนี้จะสูญหายไปแล้ว พวกเราต้องค้างคืนข้างนอกแล้ว”
ลุงตรัยก็ยิ้มเช่นกัน “ตอนกลางคืนอากาศเหน็บหนาว ผมจะเก็บหญ้าแห้งและจุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่น”
พูดจบ เขาก็ก้มลงเก็บกิ่งไม้ที่ตายแล้วและหญ้าแห้งที่อยู่บนพื้นทราย
ทันในนั้น ลุงตรัยก็สังเกตเห็นว่าพื้นทรายสีเหลืองที่อยู่ตรงหน้าเขามีการเคลื่อนไหว
เขาตื่นตัวทันที และเรียกรพีพงษ์
หลังจากนั้น การเคลื่อนไหวของพื้นทรายสีเหลืองก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นบริเวณนั้นก็กลายเป็นโพรง
จากนั้น มีคนคนหนึ่งที่ถูกทรายสีเหลืองปกคลุมจนหมดก็ออกมาจากโพรงด้วยความยากลำบาก
รพีพงษ์จำได้ว่า คนคนนั้นเป็นชายหนุ่มที่จะแย่งอาหารของตนเองเมื่อสักครู่
หลังจากที่ชายคนนั้นออกมา เขาไม่ลังเลเลยที่จะหันหลังกลับและเอื้อมมือเข้าไปในโพรงทรายสีเหลือง
ต่อมา น้องสาวของเขาก็ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากทราย
“พี่” ใบหน้าหญิงสาวมีความคับข้องใจ ใบหน้าเล็ก ๆที่สวยน่ารักของเธอนั้น ตอนนี้มอมแมมไปด้วยทรายสีเหลือง
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว และกำลังจะกอดปลอบใจน้องสาว ทันใดนั้น หญิงสาวก็ชี้นิ้วไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น
“พี่ มองไปข้างหลังสิ มันคืออะไร!”
ชายหนุ่มหันหลังไปมอง และยอดเนินทรายที่ทับถมอยู่ก็หายไปเนื่องจากพายุทราย ทำให้เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสถานที่ที่อยู่ตรงหน้าคือที่ไหน
“ด้านหน้า……คือสถานที่ที่พวกเราอยากจะไปใช่ไหม?”
รพีพงษ์จับใจความที่ชายหนุ่มพูดได้อย่างแม่นยำ
เขารู้ว่า ช่องทางเดินของแดนลับอยู่ข้างหน้า ตอนนี้ เมื่อเห็นชายหญิงคู่นี้มีลักษณะเช่นนี้ เขารู้ได้ทันทีว่าคนสองคนนี้ก็ต้องการไปแดนลับเช่นกัน
“พี่ พวกเรากินอาหารแล้ว ก็รีบออกเดินทางเถอะ” หญิงสาวกล่าว
ชายหนุ่มพยักหน้า และเมื่อพูดถึงเรื่องการกิน เขาก็มองไปที่รพีพงษ์ตามสัญชาตญาณ
คราวนี้ รพีพงษ์ก็พูดตามความจริงเช่นกัน ด้วยการกล่าวเบาๆว่า “อาหารถูกทรายสีเหลืองกลืนลงไปแล้ว พวกคุณลองขุดออกมาก็ได้”
“ฮึ่ม!”
ทั้งสองกลอกตาแล้วมองไปที่รพีพงษ์ เมื่อสักครู่พายุทรายใหญ่มาก ก็มีแต่ผีเท่านั้นและที่รู้ว่าอาหารถูกฝังอยู่ที่ไหน
“พี่ ฉันหิว” หญิงสาวกล่าว
ชายหนุ่มปลอบน้องสาวสักครู่ จากนั้นดวงตาของเขาก็เลื่อนไปมองอูฐที่พักผ่อนอยู่อย่างเงียบ ๆ
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว อูฐเพิ่งช่วยชีวิตตนเองและลุงตรัย ตอนนี้ชายคนนี้จะฆ่าพวกมันหรือ?
รพีพงษ์เตรียมตัวจะขวาง แต่ลุงตรัยกล่าวว่า “นายน้อย นี่เป็นกฎแห่งธรรมชาติ สำหรับพวกเราที่ไปทะเลทรายบ่อย ๆ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างมีไว้เพื่อความอยู่รอด”
รพีพงษ์นิ่งเงียบ และหันหน้าหนีไป หลังจากเห็นสองคนนั้นเดินไปทางอูฐของพวกเขา
กองไฟลุกโชน ชายหญิงคู่นั้นกำลังนั่งย่างเนื้ออูฐ
หญิงสาวพิงชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่มีความสุข รพีพงษ์กล่าวกับลุงตรัยว่า “พรุ่งนี้เป็นวันที่ต้องเข้าสู่แดนลับ ลุงตรัย คุณเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทางแล้ว”
ลุงตรัยมองไปที่รพีพงษ์ “นายน้อยไม่ต้องเกรงใจ ผมส่งคุณมาได้ถึงที่นี่เท่านั้น หนทางต่อไปคุณก็ต้องพึ่งตนเองแล้ว”
“วางใจเถอะ คุณเตรียมสุราชั้นดีไว้ในเมือง หลังจากนี้อีกสามวัน ผมจะไปหาคุณที่นั่น” รพีพงษ์กล่าวอย่างมั่นใจ
“ผมจะรอการกลับมาของนายน้อยที่โรงแรมที่ดีที่สุดของซีเป่ยอย่างแน่นอน”
ลุงตรัยกล่าว
แสงอรุณรุ่งขึ้น และดวงอาทิตย์ค่อย ๆ โผล่ออกมาจากทิศตะวันออก
“นายน้อย ผมจะไปแล้ว ขอให้เดินทางปลอดภัย และระวังสองคนนั้นด้วย” ลุงตรัยกล่าว
รพีพงษ์พยักหน้า แล้วมองไปยังชายหญิงคู่นั้นที่อยู่ห่างจากตนเองสิบเมตร ขณะนี้ ชายหญิงคู่นั้นได้เดินไปข้างหน้าก่อนแล้ว