พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1319 ขยะก็คือขยะ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1319 ขยะก็คือขยะ
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ภาณินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมคุณถึงตัดสินใจเช่นนี้?”
นรียายิ้มและกล่าวว่า “ฉันกับพี่อยู่กลุ่มเดียวกัน ฉันรู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพี่ ประการที่สอง แม้ว่าสุดท้ายฉันชนะด้วยความบังเอิญ คงไม่ให้ฉันแต่งงานกับคุณหนูน้อยใช่ไหม ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจสละสิทธิ์ และให้พี่ของฉันเข้ารอบชิงชนะเลิศโดยตรง”
“นี่คือ… การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของคุณหรือ?” ภาณินถาม
นรียาพยักหน้า “ใช่ นี่เป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของฉัน”
“ก็ได้ ”ภาณินกล่าวตกลง
นรียาและพชรมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
แท้จริงแล้ว หลังจากที่แบ่งกลุ่มแล้วทั้งสองก็ปรึกษากัน ตามความเห็นของพวกเขา คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดในการแข่งขันของวันนี้คือรพีพงษ์
เพื่อให้พชรเหลือพละกำลังที่จะต่อสู้กับรพีพงษ์ได้อย่างเต็มที่ในรอบชิงชนะเลิศ ทั้งสองคนได้ปรึกษากันว่า นรียาจะสละสิทธิ์ และให้พชรที่แข็งแกร่งกว่าไปรอบชิงชนะเลิศโดยตรง
ด้วยวิธีนี้ สามารถทำให้พชรมีเวลาฟื้นกำลัง และประการที่สอง ก็สามารถบรรลุจุดประสงค์ในการทอนพละกำลังของรพีพงษ์ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สามารถเพิ่มความมั่นใจในรอบชิงชนะเลิศได้มากยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นว่าคำขอของตนเองได้รับอนุญาต บรรลุเป้าหมายแล้ว นรียาจึงเดินออกจากสนามการแข่งขันทันที
“เอาล่ะ พวกคุณสองคนเริ่มต่อสู้ได้แล้ว”
พชรกล่าวกับรพีพงษ์และณรงค์ด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย พร้อมความคิดที่จะชมการต่อสู้
“ช้าก่อน”
ขณะนี้เอง วรันธรกล่าวหยุดการแข่งขันไว้ แล้วกระซิบข้างหูของภาณิน
ไม่กี่นาทีต่อมา ภาณินกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เมื่อสักครู่ลูกสาวของผมให้คำแนะนำ ผมคิดว่ามันไม่เลว ดังนั้นผมจะอธิบายให้พวกคุณสามคนฟัง”
“คำแนะนำ? คำแนะนำอะไร?” พชรถามด้วยความงุนงง
ภาณินกล่าวต่อไปว่า “แต่เดิมมีสี่คน เพราะการถอนตัวของคุณนรียา ตอนนี้เหลือเพียงสามคน ถ้าคุณไม่ได้ต่อสู้ และตรงเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศ มันจะไม่ยุติธรรมกับสองคนนั้น”
“ไม่ยุติธรรม?” พชรขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ทันตั้งตัวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
รพีพงษ์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขามองวรันธรที่นั่งสงบอยู่บนอัฒจันทร์ และคิดอยู่ในใจว่า สาวน้อยคนนี้ช่างฉลาดปราดเปรื่อง เมื่อโอกาสมาถึงก็รีบคว้าไว้
“ใช่ เพื่อความเป็นธรรม ผมตัดสินใจว่า การประลองครั้งสุดท้ายจะจัดขึ้นระหว่างพวกคุณทั้งสามคน ต่อสู้แบบตัวต่อตัว และผู้ชนะคนสุดท้ายคือแชมป์ของการแข่งขันในครั้งนี้!” ภาณินกล่าว
“เจ้าสำนัก ผมขอค้าน! เห็นได้ชัดว่าคุณกำลังพุ่งเป้ามาที่ผม!” พชรกล่าว
เดิมคิดว่าตนเองสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้อย่างง่ายดาย จึงให้นรียาสละสิทธิ์ แต่ตอนนี้กลับทำตัวเอง แผนทั้งหมดล้มเหลว
“คุณหมายความว่า ผมเจตนาเข้าข้างอีกฝ่าย?”
ดวงตาของภาณินมีความน่าเกรงขาม และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “คุณอย่าลืมว่า ที่นี่คือเขตอิทธิพลของผม อีกอย่าง ผู้แข็งแกร่งที่เก่งจริงจะไม่สนใจว่าใครเป็นคู่ต่อสู้ ในเมื่อคุณกลัวการต่อสู้เช่นนี้ พูดตามตรง หรือว่าคุณกังวลว่าตนเองไม่มีความสามารถ?”
“ผม…..จะเป็นไปได้ยังไง” พชรกล่าวอย่างอึดอัด
“ในเมื่อคุณพูดเช่นนี้ ก็ทำตามที่ผมบอก ผมคิดว่านี่เป็นวิธีที่ยุติธรรมที่สุด หากคุณยังต้องการเข้าร่วมการแข่งขัน คุณก็อย่าพูดมากอีก”
ภาณินกล่าว
พชรไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอดทนต่อความโกรธ
จะช้าหรือเร็วยังไงก็ต้องต่อสู้อยู่ดี
“ผมขอประกาศว่า การแข่งขันรอบสุดท้ายเริ่มต้นขึ้นแล้ว!”
พูดจบ ภาณินก็นั่งลง
ในสนามประลอง ตอนนี้เหลือเพียงสามคนเท่านั้น
พชรกลอกตาแล้วกล่าวกับสองคนนั้นว่า “พวกคุณสองคนต่อสู้กันก่อน ใครชนะแล้วมาสู้กับผม”
รพีพงษ์รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เขากล่าวเยาะเย้ยว่า “ทำไม เมื่อสักครู่คุณบอกว่าจะสั่งสอนผม ตอนนี้โอกาสก็อยู่ตรงหน้าคุณแล้ว หรือว่าคุณกลัว?”
“กลัว? ผมไม่กลัวคุณหรอก?” พชรจ้องไปที่รพีพงษ์อย่างดูถูก
“ในเมื่อไม่กลัว พวกเราสองคนเริ่มประลองกันก่อน มาตัดสินผลลัพธ์ในการต่อสู้ครั้งนี้เลย!”
รพีพงษ์กล่าว แล้วเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
“ผม……”
สิ่งที่พชรคิดอยู่ในใจคือต้องการให้ณรงค์ทอนกำลังของรพีพงษ์ให้ได้มากที่สุด แล้วตนเองก็รอเวลาตักตวงผลประโยชน์
“ไม่ได้ ไอ้หมอนี้จงใจยั่วโมโหเรา เราจะต้องไม่หลงกลมัน” พชรคิดอยู่ในใจ
ขณะนี้เอง เสียงของวรันธรก็ดังมาจากบนอัฒจันทร์
“คุณชายพชรเก่งกาจสามารถ พวกคุณสองคนเป็นยอดฝีมือจากโลกภายนอก ฉันแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นการแข่งขันระหว่างทั้งสอง และฉันชื่นชมร่างอันทระนงองอาจของคุณชายพชร”
เสียงไม่ดังมาก แต่ทุกคำพูดประทับอยู่ในใจของพชร
เขารู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก และอดไม่ได้ที่จะขยิบตาให้วรันธร
คุณหนูน้อยคนนี้สนใจตนเองมาตลอด และเอ่ยปากชื่นชมตนเองด้วย
ถ้าไม่สู้ตอนนี้ แล้วจะสู้ตอนไหน!
พชรดีใจจนลืมทุกอย่าง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อคุณหนูน้อยเอ่ยปาก ผมจะใจดำปฏิเสธได้อย่างไร ถ้าเป็นเช่นนั้น รอบนี้ผมจะลงประลองก่อน”
พูดจบ เขาก็ยืนอยู่ตรงกลางสนามประลอง มองไปที่รพีพงษ์กับณรงค์ และกล่าวว่า “พวกคุณสองคน ใครจะขึ้นมาตายก่อน!”
ณรงค์คิดจะเดินไปข้างหน้า แต่ถูกรพีพงษ์ที่อยู่ข้าง ๆ ดึงไว้
“ให้ผมไปก่อน นี่มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับเขา”
รพีพงษ์กล่าวเบา ๆ แล้วเดินไปอยู่ตรงหน้าของพชร
เมื่อเห็นรพีพงษ์เดินออกมา พชรรู้สึกลังเลเล็กน้อย
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่นี่ไม่ได้ตัดสินความสามารถของบุคคลจากผลการฝึกตน แต่อาศัยความแข็งแกร่งของร่างกาย และศิลปะการต่อสู้ที่ตนเองฝึกฝนเป็นประจำ
พชรมั่นใจว่าศิลปะการต่อสู้ของตนเองแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ๆ อย่างแน่นอน
“เอาล่ะ คุณขึ้นมาเพื่อตายก่อนจริง ๆ” พชรกล่าว “ผมจะบอกคุณ ตอนที่อยู่ที่โลกภายนอก ผมก็อยากจะจัดการคุณแล้ว วันนี้มีโอกาส อย่าโทษว่าผมไร้ความปรานี!”
รพีพงษ์เยาะเย้ย “ที่โลกภายนอก คุณแน่ใจหรือว่าจะสามารถเอาชนะผมได้?”
“ผม……”
พชรอึ้งทันที มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ถ้าเทียบผลการฝึกตนของตนเองกับอีกฝ่าย มันต่างกันมาก ตอนอยู่ที่บ่อน้ำมังกร ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่าย ตนเองคงจะถูกมังกรยักษ์สีดำฆ่าตายไปนานแล้ว และสุดท้ายชะตากรรมของตนเองก็เหมือนกับกระดูกที่อยู่ในทะเลทราย
“คุณอย่าลืมว่า ที่แห่งนี้แตกต่างจากโลกภายนอก ถ้าอาศัยพลังและศิลปะการต่อสู้ คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผม” พชรกล่าว
รพีพงษ์กล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “คุณวางใจได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีใด คุณก็ไม่มีวันเป็นคู่ต่อสู้ของผมได้ ขยะก็คือขยะ มันจะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะการเปลี่ยนสถานที่”
“คุณ รนหาที่ตาย!”
พชรรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก ดึงกริชสั้นออกมา แล้วแทงไปที่รพีพงษ์ทันที
พลังงานเน่ยจิ้งทั้งหมดในร่างกายของพชรถูกรวบรวมไปอยู่มือขวา และอากาศโดยรอบราวกับถูกตัดออกจากกัน
วรันธรที่อยู่บนอัฒจันทร์ดูกังวลเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าพชรจะแข็งแกร่งขนาดนี้
รพีพงษ์จะสามารถต้านทานพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ไหม?
คำตอบคือได้แน่นอน รพีพงษ์ยื่นสองนิ้วออกไป ก็สามารถหนีบกริชสั้นในมือของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว
“เป็นไปได้ยังไง?” พชรไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
ตนเองจู่โจมเร็วราวสายฟ้า คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายใช้เพียงสองนิ้วก็สามารถล็อกมีดไว้ได้
“ผมเคยพูดแล้วว่าขยะยังไงก็คือขยะตลอดไป”
รพีพงษ์กล่าวอย่างเย็นชา ออกแรงบิด กริชสั้นที่ทำจากสเตนเลสนั้นก็หักทันที!
ดวงตาของพชรแสดงถึงความตกตะลึง และเขาเริ่มรู้สึกเครียด
“พ่อไม่เอาไหน ลูกชายก็ไร้ประโยชน์ หอกวยหลายก็แค่นี้”
รพีพงษ์กล่าวอย่างเย็นชา และก็พุ่งเข้าไปทันที
รพีพงษ์ไม่ได้ใช้อาวุธใด ๆ การที่เขามีพลังเน่ยจิ้งและพลังวิเศษเสนควบคู่กันยิ่งทำให้ความแข็งแกร่งของเขานั้นหาตัวจับยาก
หน้าด้านซ้าย อกขวา เข่า กระดูกสันหลัง…
ขณะที่รพีพงษ์ลงมือจู่โจม ราวกับว่าเป็นการแจ้งอีกฝ่ายว่าเขากำลังจะจู่โจมที่ไหนบ้าง
เวลานี้พชรไม่จะมีเวลาคำนึงถึงการเคลื่อนไหวที่สง่างาม ขณะนี้เขาคิดแค่ว่าจะรับมืออย่างไร
พลังการและการโจมตีของอีกฝ่ายเร็วมาก ลงมือทุกครั้งก็สามารถเข้าเป้าได้อย่างแม่นยำ
เพียงครู่เดียว พชรเปลี่ยนเป็นคนล่ะคน ใบหน้าของบวมทันที
“คุณ……คุณรู้จักพ่อของผม?” พชรกล่าวด้วยความเหนื่อยหอบ
รพีพงษ์กล่าวอย่างเย็นชา “หรือว่า หลังจากที่กลับไปแล้ว เมธิดาไม่ได้บอกคุณว่าเขาได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?”
“อ้อ? ที่แท้คนที่ทำร้ายพ่อของผมในวันนั้นก็คือคุณ? ถ้าอย่างนั้นคุณคือ………รพีพงษ์!”
พชรกล่าวด้วยความตกใจ