พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1328 บุกล้อมโจมตี
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1328 บุกล้อมโจมตี
ณรงค์เป็นคนของแดนลับ ภาณินสั่งการลงไปก็ต้องรับฟัง
ส่วนอีกด้าน ชายผู้ไร้อารมณ์คนนี้ก็ยังไม่ยอมที่จะต่อสู้กับรพีพงษ์อย่างจริงจัง และเขาก็ยังรู้อีกว่า ตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของรพีพงษ์
ดังนั้น เขายอมให้รพีพงษ์ฆ่าตนเองเสีย ไม่เพียงเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อภาณิน ในขณะเดียวกัน ก็ยังไม่ต้องไปสู้เอาเป็นเอาตายกับรพีพงษ์ด้วย
“ลงมือเถอะ รพีพงษ์” ณรงค์กล่าว “ความฝันของคุณหนูก็คือการได้เป็นเห็นโลกภายนอก ผมหวังว่าคุณจะสามารถทำฝันของเธอให้เป็นจริงได้”
รพีพงษ์มองฝั่งตรงข้าม ปลายหอกชี้ไป จี้ไปที่ลำคอ
ภาณินอยู่ข้างหน้าออกไปหลายสิบเมตร ไม่ได้ยินเสียงพูดของทั้งสองคนแน่นอน แต่ว่าสามารถมองเห็นได้ ในตอนนี้ณรงค์ได้สูญเสียความฮึกเหิมไปหมดแล้ว
“ณรงค์ ลุกขึ้นมา เอ็งคือทหารหาญของกู! ต่อให้ต้องตัวตาย ก็ต้องถลกหนังมันมาให้ได้!”
ภาณินพูดเสียงดัง สีหน้าหว่างคิ้วของณรงค์ก็เผนสีหน้าที่ตัดสินใจออกมา
“รพีพงษ์ อย่าลังเล รีบลงมือเถอะ!”
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว ชั่วพริบตา รังสีการฆ่าก็พลุ่งพล่านขึ้นมา
ข้อมือหมุนไป ปลายหอกจะแทงเข้าไปที่คอหายจองฝั่งตรงข้าม
ณรงค์หลัลตาลง สำหรับเขานั้น นี่คงเป็นจุดจบที่ดีที่สุด แบบนี้ก็จะสามารถรักษาความจงรักภักดีของตนเองไว้ได้ และได้ตอบแทนบุญคุณที่รพีพงษ์มีต่อเขาเมื่วานนี้ด้วย
ความเย็นของปลายหอกใกล้ลำคอของณรงค์ไปเรื่อยๆ ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงผู้หญิงดังเข้ามาไม่ไกล
“คุณรพี อย่านะ!”
ณรงค์ก็ฟังออก เสียงที่คุณเคยนี้ แสดงว่า วรันธรกำลังมาที่นี่
“ลากก่อน คุณหนู ณรงค์ขอไปปกป้องคุณหนูในชาติหน้าแล้วกัน!”
น้ำตาได้ไหลออกมาจากใบหน้าของชายที่เย็นชาหน้านิ่ง
แต่ทว่า ไม่กี่วินาที เขาก็ยังคงได้ยินเสียงลมธรรมชาติโดยรอบ และเสียงซุบซิบกันของคนรอบๆ
นี่มันอะไรกัน?
ณรงค์ลองลืมตาขึ้นมา เขาเห็นวรันธรร้อนรนอยู่ตรงหน้า และรพีพงษ์ที่อมยิ้มอยู่
แล้วมองไปอีกข้างๆ ปลายหอกเงินนั้นได้แทงเข้าไปที่พื้นดินข้างๆหัวไหล่ของเขา แต่ไม่ได้แทงเข้ามาที่ตัวตนเอง
“รพีพงษ์ เพราะอะไรกัน……..”
“ถ้าผมฆ่าคุณตาย ก็เท่ากับเป็นไปตามแผนของภาณินน่ะสิ?” รพีพงษ์ยิ้มพูด
“อะไรนะ? แผนงั้นหรือ?” ณรงค์มองรพีพงษ์อย่างไม่เข้าใจ
รพีพงษ์ยิ้มพูดว่า “ภาณินเขารู้ดีว่าคุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผม แต่ก็ยังให้คุณมาสู้กับผม คุณคิดว่าคุณสามารถจะเอาชนะผมได้ไหมล่ะ?”
ณรงค์ลุกขึ้นยืน แล้วมองรพีพงษ์ พร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “ฝีมือของผมไม่ทันเศษเสี้ยวหนึ่งส่วนร้อยของคุณเสียด้วยซ้ำ ผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณ”
รพีพงษ์ยิ้มๆ คำพูดนี้ของฝั่งตรงข้าม ไม่ใช่การยกยอปอปั้น แต่มันคือเรื่องจริง
และความจริงแล้ว ถ้ารพีพงษ์ใช้พลังวิเศษเสนล่ะก็ ณรงค์ก็คงจะรับมือไม่ไหวแม้แต่กระบวนท่าเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่โลกภายนอก ที่ตนเองยังพลังฝีมือในระดับแดนเทพอีกด้วย
“ในเมื่อคุณเอาชนะผมไม่ได้ งั้นเรื่องที่ภาณินรับปากไว้ก่อนหน้านี้ ที่บอกว่าขอเพียงฆ่าผมได้ ก็จะได้แต่งงานกับคุณหนู มันก็เป็นโมฆะหมดเลยสิ” รพีพงษ์พูดนิ่งๆ
ณรงค์ก็ถึงบางอ้อ เขามองไปทางภาณินอย่างตกใจ ในตอนนี้ ภาณินก็กำลังทำหน้าขรึมมองมาที่เขาอยู่
ใช่น่ะสิ ตนเองฆ่ารพีพงษ์ไม่ได้อยู่แล้ว แถมนอกจากตนเองแล้ว ทหารคนอื่นๆ ในที่นี้ ก็ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของรพีพงษ์ได้
ในเมื่อเป็นแบบนี้ สัญญาของภาณินก่อนหน้านี้ ก็เป็นแค่ลมปากเท่านั้น
“ดังนั้น ภาณินก็ไม่ได้จะทำตามที่พูดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่กลับกัน เขากลับจะอาศัยมือของผมฆ่าคุณทิ้งเสีย ผมถูกเขาหลอกใช้ง่ายๆ แบบนี้ล่ะก็ มันก็จะดูโง่เกินไป” รพีพงษ์พูดเบาๆ
พอได้ยินรพีพงษ์อธิบายละเอียดแบบนี้ ณรงค์ก็ฉุกคิด แล้วก็ตื่นขึ้นมาจากความโง่
เสียเวลาตั้งนาน ตนเองและทหารคนอื่นๆ สู้กับรพีพงษ์เอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายทั้งหมดนี้ก็เป็นแผนของภาณินเท่านั้น
“ณรงค์ คุณอย่าสู้กับคุณรพีเลยนะ”
วรันธรกล่าว จากนั้นก็หันไปมองภาณินที่มีใบหน้านิ่งขรึมอยู่ “พ่อคะ ปล่อยคุณรพีไปได้ไหมคะ ให้เขากลับออกไป”
“รันแกไม่ควรมาที่นี่ กลับออกไป” ภาณินพูดเสียงต่ำ เห็นได้ชัดว่า กำลังกดความโกรธของตนเองไว้ด้วย
“ไม่ หนูไม่ไป ถ้าวันนี้พ่อไม่ปล่อยคุณรพีไปล่ะก็ หนูก็จะอยู่ที่นี่” วรันธรกล่าว
สาวน้อยผู้กล้าหาญนี้ กลับมายืนบังตรงหน้าของรพีพงษ์และณรงค์
ในใจรพีพงษ์ก็ชื่นชม แล้วพูดกับณรงค์เบาๆ ว่า “เห้ ถ้าวันข้างหน้าคุณกล้าทำให้วรันธรเสียใจล่ะก็ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ผมก็จะไปจัดการกับคุณ”
“วางใจเถอะ ชีวิตนี้ผมจะผิดต่อเธอเลย” ณรงค์ตอบอย่างเท่ๆ
“ตอนนี้ แม้แต่แกก็จะขัดต่อเจตจำนงของพ่องั้นหรือ?” ภาณินพูดเสียงเย็นๆ ตอนนี้เขาทนนั่งต่อไปไม่ได้แล้ว เขาลุกขึ้น สายตาก็อำมหิต
วรันธรยืดอกขึ้น “พ่อคะ หนูไม่ได้ขัดเจตจำนงพ่อนะ เพียงแต่ คุณรพีเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเกินไปเสียหน่อย พ่อไม่ควรทำกับเขาแบบนี้”
“เหอะ!หักหน้าพ่อต่อหน้าคนมากมาย ดูถูกพ่อ หรือว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องทำเกินไปงั้นหรือ?” ภาณินพูดเสียงเย็น “แกรีบออกไป ไม่งั้นล่ะก็ ก็อย่ามาโทษพ่อก็แล้วกัน!”
“พ่อคะ!” วรันธรยังอยากที่จะพูดต่อ แต่ถูกรพีพงษ์ห้ามไว้
รพีพงษ์เดินไปข้างหน้า แล้วพูดต่อหน้าภาณินว่า “เจ้าสำนักภาณิน คุณคิดว่าด้วยทหารพวกนี้ ก็จะสามารถจัดการผมได้งั้นหรือ?”
“เหอะ เราก็มาลองดูกัน” ภาณินตอบเสียงเย็น
รพีพงษ์สีหน้าท่าทางปกติ “ผมบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่า วันนี้ผมไม่เพียงจะกลับออกไป และผมจะพาคุณหนูและณรงค์ออกไปด้วย”
“อะไรนะ? มึงกล้ารึ!” ภาณินได้ยินก็โมโหจนเส้นเอ็นลำคอปูดขึ้น จากนั้นเขาก็มองวรันธรและณรงค์ “พวกแก พวกแกคิดจะไปกับมันจริงๆ งั้นหรือ?”
“ท่านเจ้าสำนัก คือผม………”
“ไสหัวไป กูถามมึงรึยัง มึงจะตอบมาน่ะห้ะ?” ภาณินถามเสียงดัง “รันพ่อถามว่า แกจะออกไปโลกภายนอกกับไอ้รพีพงษ์นี่จริงๆ ใช่ไหม?”
วรันธรก็มีสายตาสับสน แต่เรื่องมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เธอก็เลยตัดสินใจแล้วพยักหน้า ภายใต้สายตาคนมากมาย แล้วก็จับมือของณรงค์ขึ้นมาพูดว่า “หนูตัดสินใจแล้ว ว่าจะออกไปข้างนอกกับณรงค์ ชีวิตนี้ เขาไปที่ไหน หนูก็จะไปที่นั่นด้วย”
“เหลวไหล เหลวไหล!”
ภาณินพูดเสียงดัง
“เจ้าสำนักภาณิน ลูกสาวโตแล้วก็ต้องมีความคิดเป็นของตัวเองเป็นธรรมดา ถ้าคุณอยากจะควบคุมเรื่องของเธอทุกอย่างนั้น งั้นสิ่งที่คุณจะได้รับก็คือ การต่อต้าน ผมขอให้คำมั่นกับคุณว่า คุณหนูและณรงค์จะมีชีวิตที่สุขสบายด้านนอกแน่นอน จะไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องพวกเขา!” รพีพงษ์กล่าว
ภาณินก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น เขาไม่รู้ว่า ถ้าเป็นที่โลกภายนอก คำสัตย์ของรพีพงษ์นั้น มันหมายถึงอะไร
“เหลวไหลสิ้นดี มึงนะมึง ไอ้รพีพงษ์ มาที่นี่ไม่กี่วัน ก็ก่อเรื่องวุ่นวายไปหมด แถมยังจะพาลูกสาวแก้วตาดวงใจของกูไปอีก วันนี้ถ้ากูไม่ฆ่ามึง กูจะไม่ขอเป็นคน!”
สายตาของภาณินยิ่งอำมหิตขึ้น แล้วตะโกนเสียงดังว่า “ทุกคนจงฟัง ไปฆ่าไอ้รพีพงษ์ ถ้ามีใครกล้าขัดขวาง ฆ่าไม่เว้น!”
“ครับ!”
ทุกคนก็ตอบรับพร้อมกัน ในขณะเดียวกัน ก็ก้าวขึ้นหน้าไป
ในตอนนี้รพีพงษ์ วรันธร และณรงค์ ทั้งสามคนถูกล้อมไว้ตรงกลาง
“พ่อคะ หรือว่าพ่อจะเอาแบบนี้จริงๆ ใช่ไหม? ถ้าแม่ยังอยู่แล้วมาเห็นแบบนี้ล่ะก็ คงจะต้องเสียใจมากแน่ๆ” วรันธรพูดเสียงดัง น้ำตาก็คลอเบ้า
“แกอย่าเอาแม่แกมากดดันพ่อ!” ภาณินพูดเสียงดัง “ถ้าแม่แกยังอยู่ล่ะก็ ก็คงทำเหมือนพ่อนี่แหละ คงไม่พอใจที่แกจะจากบ้านไปแบบนี้หรอก!”
“พ่อคะ คือหนู……”
“ทุกคน บุกเข้าไป!”
ภาณินสะบัดมือสั่งเสียงขรึม
ในตอนนี้เอง บนฟ้าโล่งๆ นั้น รพีพงษ์ก็เงยหน้ามองไป ตอนนี้แสงอาทิตย์ก็สาดส่องมายังส่วนบนของตำหนักพอดี
ด้านนอกของวงล้อมทหาร พื้นดินก็เริ่มเปิดออก
รพีพงษ์รู้ว่า ที่นี่ก็คือทางที่จะออกไปจากแดนลับนี้
“คุณรพี คุณไปเถอะ ไม่ต้องสนใจพวกเราสองคน!”
“นั่น่ะสิ รพีพงษ์ ด้วยพลังของคุณ จะฝ่าวงล้อมนี้ออกไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก คุณรีบไปเถอะ!”
ณรงค์ก็พูดอย่างเดียวกัน
“ผมบอกแล้วว่าจะพาพวกคุณสองคนไปด้วย ก็จะต้องพาพวกคุณออกไปให้ได้ ผมไม่เสียคำพูดตนเองเด็ดขาด!”
เพิ่งสิ้นเสียง ดาบยาวของทหารก็ฟันมาทางนี้ จากนั้น ทหารมากมายก็พุ่งยังพวกของรพีพงษ์ทั้งสามคน!