พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1330 ออกจากแดนลับ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1330 ออกจากแดนลับ
“แล้วจะให้ทำอย่างไรได้!”
ภาณินมีสายตาโศกเศร้า “สถานการณ์เมื่อครู่พ่อก็เห็นชัดเจน ณรงค์มันก็ดีต่อแกจริงๆ”
“พ่อคะ…….” ในดวงตาของวรันธรก็มีน้ำตาคลอเบ้าไหลไปมา
ภาณินสะบัดมือออกไปแรงๆ “เอาเถอะ ในเมื่อแกอยากจะออกไป งั้นก็ไปเถอะ ณรงค์ ถ้าลูกสาวของกูถูกรังแกอยู่ข้างนอกล่ะก็ กูจะเอาเรื่องเอ็ง!”
“เจ้าสำนัก กระผมจะดูแลคุณหนูเป็นอย่างดีเลย จะไม่ให้เธอถูกรังแกหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมอะไรอย่างแน่นอนครับ” ณรงค์คุกเข่าที่พื้น พูดเสียงต่ำ
“ไปเถอะๆ ไปกันเสียเถอะ!”
ภาณินพูดไป แล้วก็หันหลังให้ ปากของเขาก็ยังบ่นพึมพำ “เมียก็จากกูไป ตอนนี้ลูกสาวก็ยังจะจากกูไปแล้ว”
วรันธรพยุงณรงค์ลุกขึ้น แล้วก็โค้งคำนับ จากนั้นก็พูดกับรพีพงษ์ว่า “ประแดนลับจะปิดแล้ว รพีพงษ์รีบไปเถอะ”
รพีพงษ์ก็พยักหน้า สรุปแล้ว ดูเหมือนว่าภาณินคนนี้ก็ไม่ถึงกับเลือดเย็น ดูเมือนว่าเขาก็น่าจะรู้ดีว่าจะบีบบังคับกันไม่ได้ แน่นอนว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากพละพลังกำลังดั่งเทพสงครามที่ต่อสู้ออกมาของรพีพงษ์
รพีพงษ์มองรอยแยกบนพื้นดิน ในตอนนี้ สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลยว่ามันกำลังเคลื่อนตัวปิดลง
“เจ้าสำนักภาณิน ถ้าวันข้างหน้ามีโอกาส ผมจะเชิญคุณมานั่งเล่นที่บ้านตระกูลลัดดาวัลย์ของผม สามวันนี้อาจจะเสียมารยาทไปบ้าง ก็ขออภัยด้วย”
รพีพงษ์พูดอย่างเคารพ
จากนั้น พวกเขาสามคนก็มายังประตูแดนลับ
“คุณหนู ณรงค์ ยินดีกับพวกคุณด้วย ตอนนี้ ออกไปกับผมเถอะ”
รพีพงษ์ยิ้มพูด
ถึงแม้การต่อสู้เมื่อครู่จะหนักหน่วงกันบ้าง แต่ภาณินก็ถือว่ามีสติขึ้นมาได้ไม่สายเกินไป ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ก็คงจะมีคนตายจากเหตุการณ์นี้ไปไม่น้อย
ณรงค์และวรันธรยืนอยู่ตรงหน้ารพีพงษ์ ทั้งสองคนกำมือกันแน่น จากนั้น ทั้งสองก็มองหน้ากันแล้วพยักหน้า เหมือนว่าตัดสินใจอะไรได้
“รพีพงษ์ จากกันวันนี้ ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกตอนไหน” วรันธรพูดเสียงเบา
“ห้ะ?” รพีพงษ์ไม่เข้าใจ “คุณหนู คุณหมายความว่าอย่างไรนะ หรือว่า…….”
“ฉันกับณรงค์ได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะยังไม่ออกไปจากที่นี่ ฉันคงไม่อาจจะปล่อยให้พ่อฉันเฝ้าที่นี่อยู่คนเดียว เดี๋ยวพ่อฉันอยู่คนเดียวแล้วเหงาแย่เลย” วรันธรกล่าว
รพีพงษ์ก็ยิ้มๆ อย่างทำอะไรไม่ได้ “แล้วคุณล่ะ คุณก็ไม่ไปแล้วใช่ไหม?”
“คุณหนูอยู่ที่ไหน ผมก็อยู่ที่นั่นแหละ อีกอย่าง ผมยังจะต้องอยู่ปกป้องเจ้าสำนักอยู่ที่นี่” ณรงค์ยกมือคำนับพูดอย่างมีมารยาท “รพีพงษ์ ที่ผมกับคุณหนูมีวันนี้ได้ก็เพราะคุณ ผมขอขอบคุณเป็นอย่างมาก”
รพีพงษ์ยิ้มอ่อน “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมก็เคารพการตัดสินใจของคุณ ณรงค์ การโจมตีกลับอย่างฉับพลันนั้นผมดูให้คุณแล้ว วันข้างหน้าขยันฝึกซ้อมล่ะ”
“แน่นอน” ณรงค์กล่าว
“รพีพงษ์ 10ปีหลังจากนี้ หวังว่าคุณจะมาได้นะ” วรันธรกล่าว
รพีพงษ์หันไปมองเธอ ในขณะเดียวกันก็มองไปรอบๆ แดนลับที่สวยงาม เขาพูดเบาๆ ว่า “ถ้า…..ถ้าตอนนั้นผมยังมีชีวิตอยู่ล่ะ ต้องกลับมาแน่นอน”
พูดจบ ก็เดินไปยังทางเชื่อมนั้นอย่างไม่ลังเล
ตอนนี้ประตูกำลังจะปิดนั้น รพีพงษ์เห็นว่า วรันธรและภาณินกำลังกอดกันแน่น
เดินออกไปจากแดนลับดูเหมือนจะง่ายกว่าเข้ามาในแดนลับมากเลย ตอนที่รพีพงษ์กลับออกมาถึงโลกภายนอกแล้วนั้น แทบจะเป็นชั่วพริบตา เขารู้สึกว่าจิตวิญญาณเทพและพลังทิพย์พลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง
รพีพงษ์กำหมัด แล้วก็เอากระบี่สยบเซียนออกมากวัดแกว่งไปมา ดูดีใจมาก
ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง มันช่างดีจริงๆ
ในแดนลับนั้น รพีพงษ์รู้สึกอัดอั้นไม่น้อย ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ตอนที่ตนเองสู้กับทหารพวกนั้น คงไม่ต้องเปลืองแรงขนาดนี้ แค่ใช้พลังจิตวิญญาณเทพควบคุมพวกนั้นให้หยุดนิ่ง แล้วตนเองก็พาพวกวรันธรออกมาได้ง่ายๆ แล้ว
ทิวทัศน์ของทะเลทรายยังเหมือนกับตอนที่รพีพงษ์เข้ามาครั้งแรก
รพีพงษ์ใส่แว่นตาดำ แล้วก็เดินออกไปจากทางที่เข้ามา
ณ หมู่บ้านตกเหนือลุงตรัยก็ได้จัดงานเลี้ยงในร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน
“ยินดีต้อนรับประมุกที่กลับมาอย่างปลอดภัย!”
พอลุงตรัยเห็นรพีพงษ์ ก็พูดอย่างตื่นเต้น จริงๆแล้ว เขารออยู่ที่ร้านอาหารนี้3วันแล้ว
รพีพงษ์และลุงตรัยนั่งตรงข้ามกัน แต่สิ่งที่ทำให้รพีพงษ์แปลกใจก็คือ คนที่นั่งข้างๆ ลุงตรัยนั้น เป็นสาวน้อยคนหนึ่ง
สาวน้อยคนนี้หน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวผ่องไม่เหมือนกับคนแถบนี้
“ท่านนี้คือ?”
รพีพงษ์ถาม
ลุงตรัยยังไม่ทันอ้าปาก สาวน้อยคนนั้นก็พูดขึ้นมาเองเลยว่า “ฉันชื่อญาณิน เป็นหลานสาวของลุงตรัย หลายวันก่อนมาหาลุงของฉัน แต่ว่าเขาตามคุณเข้ามาในทะเลทราย เสียเวลารออยู่หลายวัน คุณก็คือรพีพงษ์ใช่ไหม?”
รพีพงษ์พยักหน้า สาวน้อยนิสัยตรงไปตรงมาแบบนี้ ช่างทำให้คนถูกใจไม่น้อย
“ว้าว ได้ยินคนเขาพูดกันบ่อยๆ ในที่สุดวันนี้ได้เห็นตัวเป็นๆ แล้ว” ญาณินพูดอย่างตื่นเต้น
ลุงตรัยก็ขมวดคิ้ว “ณิน พูดจารู้จักที่ต่ำที่สูงบ้าง อะไรคือการได้เห็นตัวเป็นๆ”
พูดจบ ลุงตรัยก็ขอโทษรพีพงษ์ว่า “ตั้งแต่เด็กเธอก็ถูกพวกเราให้ท้ายจนเสียนิสัย พูดจาไม่มีมารยาท ท่านประมุขโปรดอภัยด้วย”
“ไม่เป็นไร ผมก็ไม่ใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยแบบนั้น” รพีพงษ์ยิ้มพูด
“คุณลุงคะ เห็นรึยัง พี่รพีไม่เห็นว่าอะไรเลย ลุงก็อย่าว่าหนูสิ” ญาณินกล่าว แล้วก็มองรพีพงษ์อย่างชื่นชม “พี่รพีคะ พี่เป็นเหมือนกับที่เขาลือกันไหมคะ?”
“ข่าวลือเขาบอกว่าพี่เป็นอย่างไรล่ะ?”
รพีพงษ์ถามอย่างสนใจ จริงๆแล้ว เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนภายนอกจะประเมินตนเองว่าเป็นคนอย่างไร
“พวกเขาลือกันว่า ประมุกรพีแห่งตระกูลลัดดาวัลย์ โมโหทีหนึ่งสะเทือนไปทั้งแผ่นดินจีน ไม่เพียงกิจการของตระกูลกว้างขวาง แถมยังมีฝีมือการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา ใครที่กล้ามาหาเรื่อง ล้วนจบไม่สวยสักคน อย่างน้อยก็ล้มละลาย อย่างมากก็จบชีวิต”
พูดไป ญาณินก็ทำปากจู๋มองไปที่รพีพงษ์ “แต่ฉันว่าพี่ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่คนอื่นเขาลือกันเลยนะ เหมือนคนธรรมดาทั่วๆ ไปนี่แหละ”
รพีพงษ์ส่ายหัวยิ้มแหยๆ ดูเหมือนว่าคนภายนอกจะมองตนเองว่าเป็นเทพสังหารแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่า คนที่ตนเองเข่นฆ่าไปนั้น เป็นพวกชั่วช้าสามานย์ เป็นคนที่สมควรตาย
“พี่ก็เป็นคนปกติอยู่แล้วนะ ไม่ได้เป็นเหมือนกับที่เขาลือกันหรอก” รพีพงษ์พูดนิ่งๆ
ญาณินยิ้มพูดว่า “ก็นั่นน่ะสื แต่ว่าลุงฉันเคารพพี่ขนาดนี้ เขาน่าจะกลัวพี่มากเลยนะ”
รพีพงษ์ยิ้มพูดว่า “ใช่ที่ไหนกันล่ะ ลุงตรัยเขาดีมาก ที่เข้ามาในทะเลทรายครั้งนี้ เขาช่วยพี่ไม่น้อยเลยล่ะ”
“พอแล้ว ณิน ให้ประมุขได้กินอะไรหน่อย อย่าถามให้มันมากนัก”
พูดไป ลุงตรัยก็เอาเนื้อแกะฉีกจานใหญ่ยกไปตรงหน้ารพีพงษ์
รพีพงษ์ก็กินเนื้อ ดื่มสุรา อยู่ที่หมู่บ้านตกเหนือนี้ นิสัยก็ปลดปล่อยออกไปไม่น้อย
“ประมุขครับ ผมมีเรื่องอยากจะรบกวนให้คุณช่วยหน่อย” ลุงตรัยกล่าว
รพีพงษ์ก็มองเขา แล้วก็วางแก้วเหล้าในมือลง “ว่ามาเลย ถ้าผมช่วยได้ ผมจะช่วยเต็มที่”
“คือ…..มันเกี่ยวกับณิน” ลุงตรัยพูดต่อ
พอญาณินที่อยู่ข้างๆ ได้ยิน ก็รีบพูดว่า “ลุงคะ พวกเราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือ เรื่องของหนูเดี๋ยวหนูจัดการเอง ไม่ต้องให้คนอื่นมาช่วย”
“แต่ว่า…….เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตของแกเลยนะญาณิน” ลุงตรัยพูดอย่างกังวล
“คุณลุง!” ญาณินทำหน้าบูดบึ้ง แล้วก็หัวเสียหันหน้าออกไป
“เกิดอะไรขึ้น? ณินไปเจอเรื่องอะไรมา?” รพีพงษ์ถาม
ลุงตรัยก็นิ่งไป แล้วพูดว่า “จริงๆแล้ว เธอนั้นป่วยหนัก หลายปีมานี้หาหมอดังๆ มาหลายคน และอาการก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ถ้าจะรักษาให้หายขาดจริงๆ ต้องใช้ตัวยาชนิดหนึ่ง”
“ตัวยาอะไร หรือว่าในตลาดไม่มีขายงั้นหรือ?” รพีพงษ์ถาม
ลุงตรัยส่ายหัว “ตัวนี้มีชื่อว่า สมุนไพรหลิงสุ่ย จะเกิดอยู่ในเขตตะวันตกเฉียงเหนือเท่านั้น แถมยังมีน้อยมาก หลายปีมานี้ผมได้สืบมาตลอด ในที่สุดก็รู้ว่า สมุนไพรหลิงสุ่ยอยู่ในหมู่บ้านนี้”
“อยู่ที่นี่งั้นหรือ? งั้นก็ไปซื้อเลยสิ ราคาเท่าไรเดี๋ยวผมออกให้” รพีพงษ์พูดออกไป
“ไม่ใช่เรื่องเงินครับ แต่เจ้าของสมุนไพรหลิงสุ่ยเป็นผู้มีอิทธิพลในหมู่บ้านนี้ ชื่อว่า ธนวัฒน์ เขาบอกว่าสามารถให้สมุนไพรหลิงสุ่ยแก่พวกเราได้ แต่จะต้องเอาตัวณินไว้คอยรับใช้อยู่บ้านเขาเป็นเวลา5ปี” ลุงตรัยกล่าว
“เหลวไหล!”
รพีพงษ์ตบโต๊ะ แล้วลุกขึ้นพูดว่า “ลุงตรัย ก่อนหน้านี้ทำไมไม่บอกเรื่องนี้กับผม!”
“ผมรู้ว่าครั้งนี้ท่านประมุขจะเข้าไปในแดนลับ กลัวจะทำให้เสียเวลา ก็เลยไม่ได้บอก” ลุงตรัยกล่าว “จะว่าไปแล้ว ข้อเสนอของไอ้หมอนี่มันเสียมารยาทมาก ผมเคยคุยกับเขาก่อนหน้านี้ ยังถูกเขาทำร้ายจนบาดเจ็บ”
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว ตนเองเป็นถึงนายน้อยเทือกเขากิสนา ลุงตรัยก็เป็นคนของเทือกเขากิสนา แต่มาถูกคนทำร้ายจนบาดเจ็บ รพีพงษ์จะนิ่งเฉยไม่ได้
“คุณลุงคะ ไม่ต้องพูดแล้ว ไอ้หมอนั่นมันไม่มีเหตุผล พวกเราไม่ต้องขอร้องมันหรอก” ญาณินกล่าว
“แต่ว่า อาการป่วยของแกจะปล่อยไว้ต่อไปไม่ได้แล้วนะ” ลุงตรัยตอบ
รพีพงษ์เดินออกไปจากโต๊ะ สีหน้านิ่งขรึม “ลุงตรัย นำทางไป พวกเราจะไปหาไอ้คนที่ชื่อธนวัฒน์นี่เสียหน่อย!”
ยังไม่ทันได้พูดจน รพีพงษ์ก็ลากณินและลุงตรัยออกไปจากร้านอาหาร