พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1353 คาถาผนึกวิญญาณ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1353 คาถาผนึกวิญญาณ
รพีพงษ์ก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย มีเพียงแค่ทำแบบนี้ เขาถึงจะวางใจได้จากนีย์และทั้งสองคนนี้ อีกอย่างมีเพียงแค่ทำแบบนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นเกี่ยวกับความคิดที่แท้จริงของที่อยู่ในใจของนีย์ในเวลานี้
คนๆหนึ่งที่แม้แต่การฝึกบำเพ็ญตนของตัวเองก็สามารถสละทิ้งได้ พูดได้อย่างชัดเจนว่าเธอได้ยอมสละทวีปโอชวินแล้ว
รพีพงษ์รับรู้ถึงความรู้สึกเช่นนี้ได้ ในไม่ช้านี้ ตัวเองก็ถูกตระกูลลัดดาวัลย์ทอดทิ้งเช่นกัน ตอนนั้น ตอนที่เพิ่งจะถูกตระกูลลัดดาวัลย์ทอดทิ้ง ถูกพ่อแม่เล่นงาน ในใจของตัวเองและนีย์ก็ช่างเหมือนกันมากเหลือเกิน
จิตวิญญาณเทพแพร่กระจาย รพีพงษ์เปิดใช้มนุษย์เล็กทองคำในสมองแล้ว
สิบวันนี้ รพีพงษ์เว้นแต่ช่วงหลังของการฝึกกังฟูเสนแล้ว ในขณะเดียวกันก็เริ่มเรียนรู้วิชาลับที่จอมมารชูราเหลือไว้ให้แก่ตัวเอง
หลังจากที่เข้าสู่แดนเทพ รพีพงษ์ก็ยิ่งจะชื่นชมให้กับความเก่งกาจของจอมมารชูราในตอนนั้น
เพียงแค่วิชาลับที่เหมาะสำหรับการฝึกฝนคนของแดนเทพ มีมากมายถึงห้าสิบกว่ารูปแบบ และหนึ่งในนั้น รพีพงษ์กลับว่าเจอวิชาลับที่น่าอัศจรรย์อย่างหนึ่ง
คาถาผนึกวิญญาณ
จุดสำคัญก็คือนำจิตวิญญาณเทพที่มีอยู่ในร่างกายของตัวเองผนึกให้กลายเป็นตรา แล้วทะลุเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่าย ทำแบบนี้แล้ว ก็สามารถผนึกการฝึกบำเพ็ญตนของอีกฝ่ายได้แล้ว
เพียงแค่ พละกำลังของแดนเทพขั้นแรก หากรพีพงษ์ต้องการผนึกทั้งสามคนพร้อมกัน อย่างมากที่สุดก็สามารถผนึกได้นานกว่าหนึ่งปี
อย่างที่รู้ๆกัน หนึ่งปีสำหรับผู้คนธรรมดาเมื่อพูดขึ้นมาแล้วมันช่างยาวนานมาก แต่สำหรับนักฝึกวิชาที่มีอายุกว่าร้อยปีนั้นกลับว่าสั้นมาก
แต่ว่าตอนนี้ รพีพงษ์กลับรู้สึกว่า ระยะเวลาหนึ่งปีก็เพียงพอแล้ว เพราะว่าเมื่อถึงเวลานั้น ความแค้นของตัวเองกับทวีปโอชวินก็น่าจะจบสิ้นแล้ว
ตามเคล็ดลับความสำคัญของวิชาลับอย่างคาถาผนึกวิญญาณ พลังของจิตวิญญาณเทพของรพีพงษ์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์เล็กทองคำในสมอง ค่อยๆรวมตัวบนนิ้วทั้งห้า
อย่างรวดเร็ว รพีพงษ์วาดคาถา ท่ามกลางอากาศ ปรากฏตราที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งแล้ว
นีย์เห็นแล้วก็ค่อนข้างเคลิบเคลิ้ม เธอคิดไม่ถึงว่า คนๆนี้ที่ยืนอยู่หน้าของตัวเองจะได้เป็นผู้สืบทอดทั้งหมดต่อจากจอมมารชูร่าในตอนนั้น
และรพีพงษ์ในตอนนี้ เรียกว่าเทพก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงสักนิด
“ปล่อย!”
รพีพงษ์พูดคำรามเสียงดัง ตราที่อยู่ท่ามกลางอากาศล็อกนีย์ไว้อย่างรวดเร็ว
คิ้วที่เรียวงามละเอียดเหมือนใบหลิวของนีย์ขมวดเข้าหากันแล้ว ในร่างกายของเธอ พลังจิตวิญญาณที่มีอยู่มหาศาลถูกตราควบคุมไว้อย่างไม่เต็มใจ โจมตีต่อตรานี้อย่างไม่หยุดหย่อน แต่อย่างรวดเร็ว ก็ถูกคาถาผนึกวิญญาณกดทับไว้แล้ว ไม่เกิดคลื่นใดๆขึ้นมาอีกแม้แต่นิดเดียว
คาถาผนึกวิญญาณเสร็จสมบูรณ์ การบำเพ็ญตนของนีย์ถูกควบคุมไว้
นีย์คิดอยากจะลองกำหนดลมหายใจ กลับพบว่าภายในร่างกายของเธอมีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีกลิ่นอายใดๆที่สามารถช่วยเสริมกำลังการต่อสู้ให้ตัวเอง
เธอในตอนนี้ ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง
อิงตามวิธีการที่เหมือนกัน รพีพงษ์ใช้คาถาผนึกวิญญาณกับปรมาจารย์แดนเทพทั้งสองท่านที่ถูกผูกมัดไว้กับโขดหินแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าทั้งสองคนบาดเจ็บสาหัส คาถาผนึกวิญญาณของรพีพงษ์เกรงว่าจะไม่สามารถผนึกผู้บำเพ็ญตนทั้งสองคนได้อย่างง่ายดายเลย แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ตอนที่ผนึกเมฆที่เข้าสู่แดนเทพขั้นกลาง คาถาผนึกวิญญาณก็ได้รับการโจมตีจากพลังจิตวิญญาณภายในของเมฆอย่างดุเดือด
หลังจากที่ทนต่อการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า กลิ่นอายที่ขัดแย้งภายในของอีกฝ่ายถึงจะได้สงบนิ่งลง แต่ว่ารพีพงษ์ก็รู้ สำหรับเมฆแล้ว ระยะเวลาที่ผนึกไว้ได้อย่างมากที่สุดก็แค่แปดเดือนกว่าเอง
ในเมื่อเป็นแบบนี้ รพีพงษ์ก็พึงพอใจอย่างมาก
และเขาก็เชื่อด้วยว่า ถ้าหากการฝึกบำเพ็ญตนของตัวเองนั่นยกระดับสูงขึ้นอีกหน่อย คาถาผนึกวิญญาณก็จะต้องแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน!
“ตอนนี้ พวกคุณก็ออกไปได้แล้ว” รพีพงษ์พูดกล่าวกับนีย์
นีย์พยักหน้า และในเวลานี้ เมฆพวกเขาก็ได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว
บาดแผลบนตัวทำให้พวกเขาเจ็บปวดอย่างมาก แต่สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดได้มากกว่าบาดแผลก็คือ หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็พบว่าตอนนี้ตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงใดๆทั้งสิ้นเลย
“องค์หญิงน้อย นี่มันเกิดอะไรขึ้น คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม!”
ชาคริตได้พูดกล่าวหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา ตามมาด้วยเขามองไปที่รพีพงษ์พร้อมพูดว่า : “ไอ้หนุ่ม แกปล่อยองค์หญิงน้อยไป มีอะไรก็มาจัดการที่พวกเรา!”
เมฆก็พูดแบบนี้เช่นกัน : “แกปล่อยองค์หญิงน้อยไป เรามาสู้รบในขั้นเด็ดขาดกัน!”
“สู้รบกันในขั้นเด็ดขาด เกรงว่าตอนนี้แกแม้แต่คนงานคนเดียวก็คงจะสู้ไม่ไหวนะ” รพีพงษ์เอ่ยพูดอย่างดูถูก
เมฆเงียบขรึมไปทันที จริงๆด้วย ตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่นิดเดียว อย่าว่าแต่สู้รบกับรพีพงษ์คนที่มีพลังวิเศษเสนและเน่ยจิ้ง แม้แต่คนที่มีเรี่ยวแรงเพียงเล็กน้อย ล้วนแต่ต่อยสู้เขาได้จนต้องกรีดร้อง
“พวกคุณไปซะเถอะ นีย์ จำคำพูดทั้งหมดของคุณไว้ให้ดี หากคุณยังกล้าที่จะทำเรื่องที่ไม่ดี ขอเพียงแค่ยังอยู่ในโลกของฉัน ไม่ว่าคุณอยู่ที่ไหน ฉันจะต้องหาคุณเจอแน่นอน และจัดการคุณให้สิ้นซาก !” รพีพงษ์พูดจาด้วยสีหน้าที่จริงจัง
นีย์พยักหน้า : “ลุงคริต อาเมฆ เราไปกันเถอะ”
ชาคริตและเมฆทั้งสองคนรู้สึกแปลกๆ แต่หลังจากนั้น รพีพงษ์ก็ขยับพลังจิต โซ่ที่ล็อกพวกเขาสองคนไว้ก็ถูกปลดออก
“ถ้าจะออกไปล่ะก็ ก็ตามฉันมา”
หลังจากที่รพีพงษ์พูดประโยคนี้ออกไปอย่างเยือกเย็น ก็เดินนำออกไปก่อนแล้ว
นีย์พวกเขาทั้งสามคนไม่พูดจาอะไร ต่างก็เดินตามรพีพงษ์ออกไปแล้ว
“เจ้าสำนัก นี่คุณ……”
ด้านนอกภูเขา หงส์และพวกต่างก็มองไปยังรพีพงษ์อย่างตกใจ
“ปล่อยพวกเขาไป” รพีพงษ์พูดกล่าว
“ไม่ได้ ปล่อยไปไม่ได้นะ!”
หงส์พูดเสียงดังว่า : “พวกเขาคือคนของทวีปโอชวิน เราจะไม่ยอมอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันกับทวีปโอชวิน จะปล่อยพวกเขาไปได้ยังไงกัน!”
“จริงด้วย เจ้าสำนัก ที่หงส์พูดก็ถูกนะ ฉันคิดว่า เรื่องนี้ควรจะมาปรึกษากันให้ดีๆก่อน” มังกรที่เงียบขรึมมาตลอดก็พูดออกมาเหมือนกัน
รพีพงษ์ส่ายๆหน้า มองไปยังหงส์พร้อมพูดว่า : “ที่คุณพูดก็ถูกนะ พวกเขาเป็นคนของทวีปโอชวินจริงๆด้วย แต่ว่า พวกเขาถูกทวีปโอชวินทอดทิ้งแล้ว อีกอย่าง ฉันได้ผนึกการฝึกบำเพ็ญตนของพวกเขาไว้แล้ว พวกเขาในตอนนี้ ไม่สามารถเป็นภัยคุกคามใดๆทั้งสิ้นให้พวกเราได้อีกแน่นอน”
“ปิดผนึกการฝึกบำเพ็ญตน?”
มังกรและพวกตกใจกันอย่างมาก หงส์เดินไปยังเบื้องหน้าของนีย์เลย
สายตาของเธอเยือกเย็นมาก กริชเงินเล่มหนึ่งปรากฏในมือของตัวเองในตอนนี้ทันที
เฟี้ยว!
กริชพุ่งโจมตีไปยังอีกฝ่าย นีย์ยกมือเพื่อป้องกันอย่างไม่รู้ตัว แต่แขนน้อยๆของเธอยังคงได้รับบาดเจ็บจากกริชเช่นเคย
“ดูเหมือนที่คุณพูดจะเป็นความจริงนะ” หงส์พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ
แม้ว่าการโจมตีของตัวเองจะไม่ธรรมดา แต่ว่าเธอก็ค้นพบว่า ไม่ได้สัมผัสถึงพลังจิตวิญญาณใดๆทั้งสิ้นบนตัวของนีย์เลย
“ผมเคยโกหกคุณซะที่ไหนล่ะ” รพีพงษ์พูดพร้อมยิ้มกริ่ม
“งั้นก็ได้ พวกแกไปเถอะ”
หงส์พูดข่มขู่ว่า : “แต่ว่าแกต้องจำไว้นะ คนของกลุ่มสิงโตของเรามีอยู่ทั่วทุกที่ ถ้าหากพวกแกยังกล้ามาก่อเรื่องวุ่นวาย เราจะฆ่าพวกแกโดยทันทีเลย! ”
“วางใจเถอะ ตอนนี้ฉันอยากเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง” นีย์พูดกล่าว เดินก้าวขึ้นไปข้างหน้าสองสามก้าว
หันหลังกลับมา เธอมองไปยังรพีพงษ์
ลมพัดผมของเธอปลิวไสว นีย์พูดเสียงเบาว่า : “รพีพงษ์ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี แต่ยังไงก็ ขอบคุณคุณนะ”
พูดแล้ว พวกเขาเหยียบย่างท่ามกลางรัศมีแห่งอาทิตย์ ค่อยๆเดินไกลออกไปและหายไปจากภูเขาลูกนี้แล้ว
ณ ทวีปโอชวิน
ภูเขาด้านหลังที่ถูกห้อมล้อมด้วยพลังทิพย์ ผู้ชายสามสี่คนในชุดฉางเผ่าสีดำยืนเรียงกันเป็นแถวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขาก็ไม่ใช่คนอื่น คือองค์หญิงใหญ่ของทวีปโอชวิน ฉันท์ชนก
ในเวลานี้เธอมีใบหน้าที่จริงจัง : “พวกแกล้วนแต่ติดตามฉันมาตั้งแต่เด็กๆ ฝึกฝนในภูเขาแห่งนี้มาด้วยกันตลอด ตอนนี้ ถึงคราวที่ฉันจะต้องใช้งานพวกแกแล้ว!”
“ข้าน้อยจะต้องตอบแทนองค์หญิงใหญ่ขอรับ!” ทั้งห้าคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
พวกเขาเป็นกองกำลังที่พิเศษของฉันท์ชนกที่แอบปลูกฝังมานานกว่าหลายปี วิญญาณผี!
และทั้งห้าวิญญาณผีนี้ พละกำลังของแต่ละคนล้วนถึงแดนเทพแล้ว หนึ่งในนั้นมีสามท่านที่มีพละกำลังเข้าสู่แดนเทพขั้นกลาง
พละกำลังอย่างนี้ แม้แต่เจ้าทวีปกิตติ์(จิรกิตติ์)ของทวีปโอชวินล้วนแต่ไม่เคยเข้าใจ
“หลังจากสามวัน เวลากลางคืน ฉันจะเปิดช่องทางให้กับพวกแก พวกแกก็จะออกจากทวีปโอชวิน มาถึงโลก” ฉันท์ชนกพูดกล่าว
“ครั้งนี้ เป้าหมายของพวกแกมีเพียงสิ่งเดียว จัดการองค์หญิงน้อยนีย์และท่านอาวุโสทั้งสองคนนั้นให้สิ้นซากทั้งหมด ห้ามให้พวกเขามีชีวิตรอดกลับมายังทวีปโอชวินได้ ฟังเข้าใจไหม!”
“ข้าน้อยรับทราบ!” ทั้งห้าคนพูดตอบรับพร้อมเพรียงกัน
ฉันท์ชนกยิ้มอย่างพึงพอใจ เงยหน้ามองพระจันทร์ที่สลัวๆบนท้องฟ้า
“เหอะๆ นีย์ อยู่ที่ทวีปโอชวินไม่สามารถฆ่าแกได้ งั้นก็ฆ่าแกให้สิ้นซากที่โลกใบนั้นแล้วกัน!”