พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1404 วิธีนี้ได้ผล
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1404 วิธีนี้ได้ผล
“ฉันเกรงว่าในประเทศจีนคงมีเพียงสำนักเทพยาเซียนที่เดียวเท่วนั้นที่เอื้อเฟื้อขนาดนี้ได้!” ธัชธรรมกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี
“ท่านธัชธรรมชมเกินไปแล้ว อันที่จริงแล้ว คราวนี้นอกจากยาชั้นเลิศที่ผลิตโดยสำนักเทพยาเซียนของเราแล้ว ยาเม็ดระดับสูงทั้งหมดนั้นล้วนมาจากสมาคมการเล่นแร่แปรธาตุทั้งนั้น” จิรภัทรกล่าวตามความจริง
“อย่างนั้นหรือ?” รพีพงษ์ประหลาดใจมาก ต้องรู้ว่า ก่อนหน้านี้สมาคมการเล่นแร่แปรธาตุและสำนักเทพยาเซียนเป็นคู่แข่งกันมาโดยตลอด
จิรภัทรพูดกับรพีพงษ์ว่า: “พูดถึงเรื่องนี้ ฉันต้องขอบคุณมาก ในการสู้รบในวันนั้น ศิษย์น้องของฉันถูกฆ่าตายในที่เกิดเหตุ แต่คุณรพีพงษ์ได้สังหารจิรพนธ์ ซึ่งดูเหมือนเป็นการช่วยสำนักเทพยาเซียนของเราไว้ แต่ที่จริงแล้ว การกระทำนี้ยังปกป้องสมาคมการเล่นแร่แปรธาตุไปด้วย หลังจากที่พวกเขากลับไป พวกเขาได้ไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างละเอียดและตัดสินใจที่จะเชื่อฟังคำสั่งของสำนักเทพยาเซียนของเราในอนาคต อย่างไรก็ตาม เรายังอนุญาตให้พวกเขาเข้าออกและเด็ดวัตถุดิบสมุนไพรในสำนักเทพยาเซียนได้อย่างอิสระตามมารยาทด้วย”
รพีพงษ์พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ อันที่จริง ตราบใดที่ทุกคนในโลกนี้สามารถละทิ้งอคติและรวมเป็นหนึ่งเดียวได้ คนนอกก็จะไม่มีโอกาสเข้ามาโจมตีเราได้อย่างแน่นอน
รพีพงษ์มองไปที่ทุกคน: “เอาล่ะ ในกรณีนี้ ทุกคนในกลุ่มสิงโตฟัง ผู้ที่มีระดับความแข็งแกร่งที่ต่ำกว่าแดนดั่งเทพจะได้รับยาเม็ดระดับสูงสามเม็ด และผู้ที่อยู่เหนือระดับแดนดั่งเทพจะได้รับยาชั้นเลิศคนละสองเม็ด!”
“รับทราบ!”
ทุกคนในกลุ่มสิงโตกล่าวด้วยความตื่นเต้น
พวกเขายังรู้ด้วยว่าการจัดสรรของรพีพงษ์ไม่ใช่เพราะความแตกต่างของความแข็งแกร่งและจงใจลำเอียง
อย่างไรก็ตาม ยิ่งเม็ดยามีเกรดสูงเท่าใด ฤทิ์ยาก็จะยิ่งแรงมากขึ้น หากคนที่มีความแข็งแรงไม่เพียงพอรับประทานยาที่มีระดับสูงก็จะให้ผลตรงกันข้าม
รพีพงษ์หันไปพูดกับธัชธรรมและธีรพัฒน์ซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งระดับอาวุโส: “ผู้อาวุโสทั้งสองครับ ความแข็งแกร่งของพวกท่านถึงขั้นแดนเทพแล้ว เกรงว่าแม้แต่ยาชั้นเลิศก็คงช่วยในการพัฒนาของทั้งสองได้ไม่มากนัก ดังนั้น…”
“เราเข้าใจ รพีพงษ์นายไม่ต้องกังวล เม็ดยาเหล่านี้มีค่ามาก และหากเราสามารถใช้ผลของมันได้อย่างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้มันก็จะดีมาก ธัชธรรมกับฉันไม่ถือสาหรอก!”
ธีรพัฒน์พูดอย่างเชื่องช้า
รพีพงษ์พยักหน้า เพียงแต่เขาไม่มียาเม็ดระดับเทพเซียน มิฉะนั้นจะต้องส่งมอบให้กับธีรพัฒน์และธัชธรรมอย่างแน่นอน
“จริงสิ พี่รพีคะ”
ในขณะนี้จิลลาเดินมาถึงตรงหน้ารพีพงษ์
“คุณก็รู้ ตอนแรกอาจารย์กะจะมาที่นี่อยู่ แต่ว่า…”
จิลลามองไปที่รพีพงษ์ และหยิบถุงกระดาษคราฟท์ออกมาแล้วมอบให้รพีพงษ์
“นี่คือ?” รพีพงษ์มองไปที่กระดาษคราฟท์และหยิบมันออกมาจากอ้อมแขนของจิลลา แสดงให้เห็นว่าจิลลาเป็นผู้ดูแลเก็บรักษาอย่างระมัดระวังมาโดยตลอดทาง
“นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์เตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก่อนเดินทางวันหนึ่งเขา…เขาดื่มมากเกินไป ดังนั้นฉันจึงเอามาให้คุณ” จิลลาพูดในขณะที่หน้าแดงก่ำ
รพีพงษ์เปิดห่อกระดาษคราฟท์ออกและพูดด้วยความประหลาดใจ: ”นี่… นี่มันเป็นตำรับยาในถ้ำไม่ใช่หรือ?”
หลังจากดูแล้ว จิรภัทรก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ดูเหมือนว่านี่คือความตั้งใจของปยุต ตำรับยาเหล่านี้เป็นตำรับยาของยาเม็ดระดับเทพเซียน เกรงว่าในโลกปัจจุบันนี้คงมีเพียงคุณรพีพงษ์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถผลิตยาเม็ดระดับเทพเซียนได้!”
เมื่อได้ยินคำพูดของจิรภัทร ทุกคนในกลุ่มสิงโตก็อ้าปากค้าง
พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายาเม็ดระดับเทพเซียนนี้หมายถึงอะไร แต่คนเหล่านี้รู้ว่าหากพวกเขาสามารถเอาชนะยาเม็ดระดับเทพเซียนได้ ยาเม็ดระดับเทพเซียนก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก และสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตะลึงก็คือ โลกวันนี้มีเพียงรพีพงษ์คนเดียวที่สามารถสร้างเม็ดยาระดับเทพเซียนได้!
“มีอะไรที่เจ้าสำนักทำไม่ได้หรือ?”
ความชื่นชมต่อรพีพงษ์จากใจของคนเหล่านี้เพิ่มมากขึ้นจากเดิม
ในทำนองเดียวกัน ฝ่ายสมาคมสยบเซียนก็ตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของรพีพงษ์มาก
เนื่องจากพวกเขาเคยอยู่ในสำนักเทพยาเซียนมาหลายวันแล้ว พวกเขาจึงเข้าใจเรื่องการผลิตยามาบ้าง
แม้แต่นฤชัยผู้แข็งแกร่งที่สุดก็พยายามหาวิธีกลั่นยา แต่ก็ต้องจบลงด้วยความล้มเหลว ดังนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงรู้ว่าการกลั่นยาชั้นเลิศนั้นยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก นับประสาอะไรกับยาเม็ดระดับเทพเซียนล่ะ
“คุณรพีพงษ์สมกับที่เป็นผู้นำของสมาคมสยบเซียนจริงๆ!”
นฤชัยถอนหายใจและกล่าวว่า ไม่น่าแปลกใจเลยที่นักฝึกวิชาที่มีพรสวรรค์ที่สุดในโลกจำนวนมากเต็มใจที่จะติดตามและเชื่อฟังคำสั่งของรพีพงษ์!
“นี่เป็นสมบัติอันล้ำค่าของสำนักเทพยาเซียน ฉันอ่านไม่ได้และไม่ควรรับไว้ด้วย!” รพีพงษ์ปฏิเสธ
จิรภัทรผลักตำรับยาออกไป:“รพีพงษ์ ปยุตคิดรอบคอบกว่าฉันเสมอ ในเมื่อมีเพียงคุณเท่านั้นที่สามารถกลั่นยาเม็ดระดับเทพเซียนได้ ก็นำมาเก็บรักษาที่คุณและให้ยาเม็ดระดับเทพเซียนเหล่านี้กลับมาสู่โลกอีกครั้งดีกว่า หากเก็บไว้ในสำนักเทพยาเซียนของเรามันจะไม่เป็นการทำลายตำรับเหล่านี้ให้สูญค่าเปล่าประโยชน์หรือ!
“ใช่! พี่รพี อย่าปฏิเสธอีกเลย!” ชุติเดชและจิลลากล่าว
รพีพงษ์มองดูพวกเขา: “ถ้าอย่างนั้นฉันรับไว้ก็ได้ เพราะการเคารพเทียบไม่ได้กับทำตามคำสั่ง”
ในขณะที่พูดรพีพงษ์ก็รับตำรับยาอันล้ำค่าเหล่านี้มาโดยไม่ปฏิเสธอีกต่อไป
“ประมุกรพี คุณสามารถกลั่นยาเม็ดระดับเทพเซียนออกมาได้จริงหรือ แล้วคุณจะเริ่มเมื่อไหร่ครับ?”
ธมกรที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดอย่างมีความสุข: “ถึงเวลานั้นอย่าลืมเอามาให้พี่น้องได้เปิดหูเปิดตาบางนะ”
รพีพงษ์กลอกตาใส่ธมกรแล้วพูดว่า: “สมกับที่เป็นยาเม็ดระดับเทพเซียนจริงๆ ส่วนผสมที่จำเป็นทุกชนิดล้วนเป็นสิ่งหายากทั้งนั้น คาดว่าคงต้องรอจนถึงเวลาที่เราไปป่าหมอก ถึงจะสามารถเริ่มการกลั่นยาได้”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร ทุกคนเดินทางมาไกล คาดว่าเวลานี้น่าจะท้องร้องจ๊อกๆแล้ว เรากินไปคุยไปกันเถอะ ลองชิมอาหารโอชาที่นี่ดู” ธัชธรรมยืนขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้ม
จิรภัทรตอบโดยการยกมือคารวะ: “อยู่ติดภูเขาก็กินภูเขา เทือกเขาคุนหลุนเต็มไปด้วยสมบัติอันล้ำค่า วันนี้เรามาชิมอาหารจากเทือกเขาคุนหลุนกันเถอะ”
ทุกคนเดินเข้าไปในวิหารด้านข้าง และอาหารต่างๆนาๆได้จัดวางไว้บนโต๊ะกลางวิหารแล้ว หลังจากที่ทุกคนนั่งลง ภายในวิหารก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
รพีพงษ์มองคนเหล่านี้ด้วยอารมณ์ที่ลึกซึ้ง
หากเขาไม่ได้มาสัมผัสกับการฝึกตนโดยบังเอิญ เกรงว่าป่านนี้เขายังคงอยู่ในตระกูลลัดดาวัลย์ที่เกียวโตเลย และหากเขาเจริญรุ่งเรืองในวงการธุรกิจเขาก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จักกับนักฝึกวิชามากมายขนาดนี้
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าสิ่งที่รพีพงษ์กำลังทำอยู่นั้นจะมีความหมายมากกว่าเมื่อก่อน
นำคนเหล่านี้ไปโจมตีทวีปโอชวินและชิงต้นพลังทิพย์ที่หายไปของโลกนี้กลับคืนมา!
นี่เป็นสิ่งเดียวที่มีอยู่ในหัวสมองของรพีพงษ์ในตอนนี้ และเป็นเป้าหมายสูงสุดของเขาด้วย!
ยามค่ำ หลังจากที่หนูลินและอารียาได้หลับสนิทแล้ว รพีพงษ์ก็เดินออกจากห้องเพียงลำพัง และภายใต้เงาสะท้อนของแสงจันทร์เขาเดินมาถึงบนยอดของเทือกเขาคุนหลุน
ช่องทางเดินขนาดใหญ่อยู่ด้านข้างของรพีพงษ์ ขณะนี้ มันดูเงียบสงบมาก
อย่างไรก็ตาม รพีพงษ์รู้ว่าในอีกไม่นานนักสถานที่แห่งนี้จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
นั่งอยู่บนยอดเขา ลมหนาวพัดมา แต่รพีพงษ์กลับไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย
เขาหยิบหินลั่วหงออกมาจากกระเป๋า หินลั่วหงที่อยู่ในมือของเขาฉายแสงสีแดงบางเบา
“คุณญาณิดา คุณช่วยออกมาหาฉันหน่อยได้ไหม?”
รพีพงษ์ลองตะโกนเรียกดู แต่แล้วหินลั่วหงไม่มีการตอบสนองใดเลย
รพีพงษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนนี้ ทุกคนมาครบแล้ว ทุกอย่างพร้อม แค่ต้องรอให้ญาณิดาพาคนเหล่านี้ไปยังทวีปโอชวินเท่านั้น
“ผีผู้หญิงคนนี้นี่ หรือเธอคิดจะเบี้ยวงาน!”
รพีพงษ์พร่ำบ่น
ในขณะนั้น จู่ๆ เมฆหมอกขาวก็ลอยขึ้นมาต่อหน้าเขา หมอกนั้นหนาแน่นมาก และมีเสียงมาจากหมอกหนาทึบนั่น
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกคนอื่นว่าผีผู้หญิง ทำไมถึงไม่ยอมฟัง?”
ท่ามกลางหมอกหนาทึบ ญาณิดาที่มีรูปร่างเพรียวบางสวมชุดสีแดงปรากฏตัวออกมา เพิ่มสีสันเคลิบเคลิ้มให้กับบรรยากาศณเวลานั้น
“ก็คุณเป็นผีจริงๆนี่ ฉันเรียกคุณด้วยความจริงใจแต่คุณกลับไม่ยอมออกมา เรียกคุณว่าผีผู้หญิง คุณก็ปรากฏตัวทันที ดูเหมือนว่าการที่ฉันเรียกคุณว่าผีผู้หญิงจะได้ผลมากกว่า” รพีพงษ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“คุณนี่ช่างเหลือเกินจริงๆ ฉันไม่อยากคุยกับคุณแล้ว” ญาณิดาเบะปากแล้วพูด
รพีพงษ์ยิ้มและพูดว่า: “เอาละ ฉันมีบางอย่างอยากจะถามคุณในวันนี้ นั่นคือ…”
“คุณจะถามว่าฉันจะพาคุณไปที่ทวีปโอชวินเมื่อไหร่ใช่ไหม?” ญาณิดากล่าว
“ใช่ๆ!” รพีพงษ์กล่าวว่า: “ทุกคนมากันครบแล้ว ความแข็งแกร่งของเราเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้รอการตัดสินใจของคุณญาณิดาเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
“หุ่นเชิดสองตัวนั้นอยู่ที่ไหน คุณไม่สนใจพวกมันแล้วหรือ?” ญาณิดาถาม
รพีพงษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย จริงสินะ ชยนต์และแม่นางทอผ้ายังอยู่ในภูเขา และยังต้องดำเนินการสร้างเนื้อหนังใหม่อีกครั้งถึงจะเสร็จสมบูรณ์ แต่ก็ใช้เวลาเพียงแค่สองวันเท่านั้น
“แล้วคุณผู้หญิงคิดว่า เวลาไหนดีกว่ากัน?” รพีพงษ์ถาม
ญาณิดายิ้มอ่อน: “อีกสี่วันหน้าก็คือวันที่สิบห้านี้ เมื่อถึงวันนั้นตอนเที่ยงพวกคุณก็มารวมตัวกันที่นี่”
“เข้าใจแล้ว ขอบใจคุณญาณิดามากครับ” รพีพงษ์กล่าว
“ด้วยความยินดีคะ” ญาณิดายิ้มแล้วมองไปด้านข้าง: “แค่นี้ก่อนนะ มีคนกำลังมา”
รพีพงษ์รู้ตัวอีกที หมอกหนาทึบและญาณิดาก็หายไปซะแล้ว
รพีพงษ์รีบเก็บหินลั่วหงที่อยู่ในมือของเขาทันที และมองย้อนกลับไปและเห็นร่างสองร่างเดินตามกันมาที่ยอดเขาคุนหลุน การเคลื่อนไหวของพวกเขาว่องไวมากและดูเหมือนว่าทักษะจะดีทั้งคู่
“ทำไมถึงเป็นพวกเขา?” รพีพงษ์จ้องมองทั้งสองที่อยู่ห่างจากเขาสิบเมตรด้วยสายตาเย็นชา