พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1451 บาร์บีคิวปิ้งย่าง
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1451 บาร์บีคิวปิ้งย่าง
เมื่อก่อนรพีพงษ์เป็นแค่ลูกเขยแต่งเข้าที่คอยรับใช้ทุกคนในบ้าน แต่ขณะนี้เขาไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ในสายตาของทุกคนอีกต่อไป
ตรงกันข้าม ตอนนี้เขาได้กลายเป็นไอดอลของคนหนุ่มสาวนับไม่ถ้วน
คนหนุ่มชอบความสามารถและฐานะที่ร่ำรวยของเขา ในขณะที่ผู้หญิงชอบความเอาใจใส่ของเขา!
ถ้าจะแต่งงานก็ต้องแต่งงานกับคนอย่างรพีพงษ์ ประโยคนี้แพร่กระจายไปอย่างช้า ๆในประเทศจีน!
เฮลิคอปเตอร์อาปาเช่สีดำปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือเมืองเกียวโต จากนั้นก็ปรากฏอยู่เหนือคฤหาสน์ของตระกูลลัดดาวัลย์
ที่ประตูคฤหาสน์ ท่านคทาใช้ไม้เท้าค้ำยัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา
ตอนแรก เขาไปที่เมืองริเวอร์เพื่อให้รพีพงษ์กลับมาสืบทอดธุรกิจของตระกูล แม้ว่าเขาจะไม่ทราบเจตนาร้ายของแม่รพีพงษ์ในตอนนั้นก็ตาม
แต่จากผลลัพธ์ปัจจุบัน เรื่องนี้ตนเองทำถูกต้องที่สุดแล้ว
คนที่อยู่ข้าง ๆ เขาคือนนทภู ที่กลับมาจากเทือกเขากิสนา! และตอนนี้ทุกคนในตระกูลลัดดาวัลย์ก็ยืนอย่างพร้อมเพรียงอยู่ที่ประตู เพื่อรอการกลับมาของรพีพงษ์
ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีปรมาจารย์ชุติเทพและศักดายืนอยู่ทั้งสองข้าง หรือแม้แต่ธฤตญาณและไตรทศที่หลังจากได้รับข่าว ก็ตั้งใจมาจากเมืองริเวอร์เช่นกัน
คนพวกนี้ แต่ละคนก็มีควาวมสามารถที่จะรับผิดชอบงานโดยลำพังได้ แต่วันนี้ พวกเขามีจุดประสงค์เดียวเท่านั้น นั่นก็คือมาต้อนรับรพีพงษ์!
นอกประตูคฤหาสน์ตระกูลลัดดาวัลย์ มีผู้คนจำนวนมาก พวกเขาล้วนอยากเห็นลักษณะตัวตนของนายน้อยตระกูลลัดดาวัลย์
เฮลิคอปเตอร์ลงจอดอย่างช้า ๆ เมื่อประตูเปิดออก รพีพงษ์ก็เดินออกมา จากนั้นก็หันหลังไปจูงมืออารียา และยื่นมืออีกข้างไปอุ้มหนูลิน
“คุณชาย ในที่สุดคุณก็กลับมาแล้ว” ท่านคทากล่าวด้วยเสียงสั่น ในขณะที่ใช้ไม้เท้าค้ำยัน
รพีพงษ์ถอดแว่นกันแดดออก ทำให้สาว ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ร้องกรี๊ด
โดยเฉพาะเมื่อพวกเธอเห็นรพีพงษ์จูงมืออารียา ยิ่งทำให้พวกเธออิจฉาอารียามากขึ้นไปอีก
“คุณปู่!”
หนูลินมองไปก็เห็นนนทภู ปกตินนทภูซึ่งเป็นคนที่เคร่งขรึม แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงของหนูลิน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเขาก็อ้าแขนไปอุ้มหนูลิน และนี่ก็คือสายใยแห่งความผูกพันของสายเลือด
“หนูลิน คิดถึงคุณปู่ไหม คุณปู่คิดถึงหนูลินมากเลย”
ขณะที่พูด นนทภูเอาเคราของตนเองถูบนตัวหนูลิน ทำให้หนูลินยิ้มหน้าบาน
“ไปกันเถอะ เข้าไปในบ้านกันเถอะ มิฉะนั้น ประตูหน้าบ้านของพวกเราอาจทำให้รถติดได้” อารียากล่าวอย่างจำใจ แต่ในขณะเดียวกัน สามีของเธอได้รับการชื่นชมจากผู้คนมากมาย ซึ่งทำให้เธอรู้สึกภูมิใจ
รพีพงษ์หันกลับมาและโบกมือให้ฝูงชน จากนั้นก็พาทุกคนเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลลัดดาวัลย์
“เธอเห็นไหม เมื่อสักครู่คุณชายรพีทักทายฉันด้วย!”
“พูดจาเหลวไหล เห็นได้ชัดว่าเขาทักทายฉันต่างหาก”
“ไม่เอาน่า อย่าทะเลาะกัน คุณชายรพีเป็นของฉัน” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวอย่างมีชัย ทำให้สาว ๆ ที่อยู่รอบตัวเธอกลอกตามองบน
ภายในบ้าน ชนิสรารออยู่นานแล้ว เธอทำความสะอาดห้องของรพีพงษ์กับอารียาตั้งแต่เช้า และดูแลความสะอาดของบ้านเป็นอย่างดี
แม้ว่าตระกูลลัดดาวัลย์จะมีแม่บ้าน แต่ชนิสรารู้สึกว่ามันจะดีกว่าถ้าตนลงมือทำเอง
วันนี้เชฟอันดับหนึ่งในเกียวโตของร้านอาหารสุดแซบอีหลี เป็นคนลงมือปรุงอาหารเอง ขณะที่รพีพงษ์เข้ามาในบ้าน อาหารเลิศรสร้อน ๆ ก็เสิร์ฟอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
รพีพงษ์นั่งลงบนที่นั่ง โชคดีที่ห้องโถงของตระกูลลัดดาวัลย์กว้างขวาง สามารถวางโต๊ะมากกว่าสิบถึงยี่สิบโต๊ะได้
คนเหล่านี้ที่ร่วมรับประทานอาหารส่วนมากเป็นสมาชิกของตระกูลลัดดาวัลย์ ส่วนที่เหลือคือเพื่อนสนิทของรพีพงษ์
“ทุกคน ผมขอดื่มคารวะทุกคนหนึ่งแก้ว”
รพีพงษ์ยืนขึ้น พร้อมกับแก้วไวน์แดงในมือ และอารียาก็ยืนขึ้นเช่นกัน เห็นได้ชัดว่า แม้ว่ารพีพงษ์จะมอบธุรกิจมากมายของตระกูลให้กับคนหนุ่มสาวของตระกูลบริหาร แต่ทุกคนก็รู้ว่าในตระกูลลัดดาวัลย์ หัวหน้าที่แท้จริงของตระกูลก็คือรพีพงษ์!
นนทภูซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ มองรพีพงษ์ด้วยรอยยิ้มที่เชื่อมั่น อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าลูกชายของตนเองโตขึ้นและเก่งมาก นี่เป็นสิ่งที่ทำให้พ่อแม่รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
“พี่ใหญ่ ช่วงนี้คุณไปที่ไหนมา ช่วยบอกพวกเราได้ไหม” ไตรทศกล่าวถาม
รพีพงษ์ยิ้มและกล่าวว่า “ผมสามารถเล่าให้พวกคุณฟังได้ แต่ผมเกรงว่าถ้าพวกคุณฟังแล้วจะไม่เชื่อ”
“งั้นเหรอ?” ไตรทศถามด้วยความสงสัย “มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือ?”
รพีพงษ์ยิ้มเล็กน้อย และไม่พูดอะไรอีก
โลกนี้มีสิ่งมหัศจรรย์มากมาย ช่วงเวลานี้ไม่ว่าตนเองจะอยู่ในป่าหมอกหรือในกลุ่มสิงโต เกรงว่าเมื่อกล่าวเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าทุกคน แล้วทุกคนจะคิดว่าตนเองนั้นพูดเล่นแน่นอน
“เอาล่ะ ประมุขรพีเพิ่งกลับมา ปล่อยให้เขาทานอาหารอย่างสบายใจเถอะ ไม่ต้องถามเรื่องพวกนั้นอีก” ธฤตญาณกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม
มีหลายคนในตระกูลลัดดาวัลย์มองไปที่ธฤตญาณ พวกเขารู้สึกได้ว่าชายผู้นี้ค่อนข้างโหดร้าย
หลังอาหารเย็น คนของตระกูลลัดดาวัลย์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในเกียวโตก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ส่วนธฤตญาณกับไตรทศที่มาจากเมืองริเวอร์ แม้ว่าพวกเขาจะจองโรงแรมไว้แล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะมาเกียวโตสักครั้ง รพีพงษ์ก็เลยรั้งพวกเขาให้พักที่นี่ เพราะยังไงในคฤหาสน์ก็ยังมีห้องว่างอีกมากมาย
เวลาสามทุ่มครึ่ง หลังจากนั่งเครื่องบินมาทั้งวัน ทั้งหนูลินและอารียาต่างก็ง่วงนอน และกลับไปนอนพักผ่อนที่ห้องแล้ว
แต่สำหรับรพีพงษ์แล้ว ขอแค่เขาไม่ใช้พลังจิตวิญญาณจนเกินไป เขาก็จะไม่รู้สึกเหนื่อยล้า
“ธฤตญาณ ไตรทศ พวกเราสามคนไม่ได้พบปะกันมานานแล้ว”
ในห้องรับแขก รพีพงษ์มองไปที่ทั้งสองคนและกล่าว
ธฤตญาณและไตรทศมองไปที่รพีพงษ์ ตั้งแต่รพีพงษ์มาที่เกียวโต ทั้งสามก็ไม่เคยได้เห็นหน้ากันอีกเลย
เมื่อคิดถึงกาลเวลาที่วุ่นวายในเมืองริเวอร์ก่อนหน้านี้ การตามรพีพงษ์กับธฤตญาณรวมธุรกิจมืดของเมืองริเวอร์ให้เป็นหนึ่งเดียว เวลานั้นมันตื่นเต้นจริง ๆ!
“ไป ตามผมออกไป” รพีพงษ์ยิ้มและกล่าวกับคนทั้งสอง
“จะไปไหน” ธฤตญาณถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
รพีพงษ์มองไปที่คฤหาสน์ของตระกูลลัดดาวัลย์และกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าที่นี่จะกว้างขวาง แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับที่พวกเราสามคนจะพูดคุยกัน พวกเราไปที่ที่มีของอร่อยกันเถอะ”
“สถานที่ที่มีของอร่อย?” มีความสงสัยอยู่ในแววตาของไตรทศ แต่ในไม่ช้าใบหน้าของคนทั้งสามก็มีรอยยิ้ม
“พวกเราจะเล่นเกมเป่ายิ้งฉุบ คนแพ้ต้องดื่มเหล้าเป็นการลงโทษ”
……
เนื่องจากเกียวโตเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง และความเห็นอกเห็นใจของคนที่นี่ก็ไม่เป็นสองรองใคร
ที่นี่ไม่ได้มีแค่อาคารสูงเท่านั้น แต่ยังมีร้านอาหารเล็ก ๆ แผงลอยขายอาหารบาร์บีคิวปิ้งย่างที่มีรสชาติเฉพาะตัวอีกด้วย
ตอนอยู่ที่เมืองริเวอร์ รพีพงษ์มักจะออกไปทานอาหารตามแผงลอยบาร์บีคิวกับคนเหล่านี้
อยู่ในสถานที่เล็ก ๆ อย่างเมืองริเวอร์มานาน ทำให้รพีพงษ์ชอบความรู้สึกในการรับประทานอาหารในสถานที่นั้นเป็นอย่างมาก
“พี่ใหญ่ ผมขอดื่มคารวะพี่”
ไตรทศยืนขึ้นและกล่าว แล้วชูเบียร์ขึ้นมาหนึ่งขวด จากนั้นก็ดื่มเบียร์ในขวดรวดเดียวจนหมด
“สะใจ!”
การดื่มเบียร์แล้วกินบาร์บีคิว ไม่มีอะไรมันส์ไปกว่านี้อีกแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกับไตรทศแล้ว ธฤตญาณดูเหมือนจะนิ่งกว่ามาก นี่คือเหตุผลที่ตอนแรกที่รพีพงษ์อยู่ในเมืองริเวอร์ แม้ว่ารพีพงษ์จะตั้งใจฝึกไตรทศ แต่ก็ยังเลือกธฤตญาณเป็นลูกน้องของตนเองในการรวมธุรกิจมืดของเมืองริเวอร์!
“ช่วงนี้เมืองริเวอร์เป็นอย่างไรบ้าง” รพีพงษ์กล่าวถาม
“ดีมาก” ธฤตญาณพยักหน้าแล้วตอบ
“พี่ใหญ่ คุณควรกลับไปดู ขณะนี้เมืองริเวอร์เป็นเขตอิทธิพลของพวกเราแล้ว ไม่เพียงแค่นั้น พวกเรายังจะรวมกองกำลังใต้ดินทั้งหมดในเมืองโดยรอบ ธฤตญาณได้กลายเป็นบุคคลในตำนานไปแล้ว แต่เมื่อเทียบกับคุณ เขายังสู้คุณไม่ได้นิดหน่อย” ไตรทศกล่าวด้วยรอยยิ้ม
รพีพงษ์มองธฤตญาณที่สุขุมตรงหน้า “ผมดูคนไม่ผิดจริง ๆ เพียงแต่ผมอยากเตือนคุณว่า ธุรกิจมืดยังไงก็อยู่ใต้ดิน และมันก็อยู่ในเมือง ตอนนี้หลายสิ่งหลายอย่างยังไม่ถูกต้อง รอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม พวกคุณต้องทำให้มันถูกต้อง ท้ายที่สุดแล้ว กาลเวลาไม่เคยเมตตาใคร และพวกคุณไม่สามารถฆ่าฟันไปตลอดชีวิตได้”
“ประมุขรพีพูดถูก ผมก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน พวกเราเริ่มสร้างธุรกิจของตนเองที่เมืองริเวอร์แล้ว และต้นแบบของธุรกิจก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง คราวนี้ที่ผมมาเกียวโต หนึ่งคือมาเยี่ยมประมุขรพี และประเด็นที่สองคือ……..”
“คืออยากถามผมว่า ตระกูลลัดดาวัลย์มีงานอะไรที่เหมาะกับพวกคุณหรือไม่?” รพีพงษ์ยิ้มแล้วมองที่ธฤตญาณ