พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1471 มีตาไร้แวว
ดวงตาของหนูลินก็มีน้ำตาไหลออกมาทันที เธอรีบพูดว่า “คุณอาคะ นี่เป็นของหนูนะคะ แย่งเอาไปทำไมคะ?”
“ของพวกมึงที่ไหน นี่เป็นของกู”
ชายคนนั้นพูดอย่างหัวเสีย
รพีพงษ์ก็รีบปลอบใจหนูลิน พอเห็นลูกสาวตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมดา ถ้าไม่ลงมือทำอะไรในตอนนี้ แล้วจะเรียกว่าเป็นพ่อที่ดีได้อย่างไร
“เมื่อครู่ทุกคนก็เห็นแล้ว ว่าพวกเราได้ตุ๊กตาตัวนี้ แต่คุณมาแย่งไป” รพีพงษ์พูดเสียงเย็น
“พูดบ้าอะไร” ชายคนนั้นขมวดคิ้ว แล้วพูดกับรพีพงษ์ว่า “คุณจะรู้อะไร เมื่อครู่กูเล่นอยู่ที่นี่เป็นครึ่งชั่วโมง ยังไม่ได้อะไรเลย แต่พอมึงมาเล่นก็จับตุ๊กตาได้เลย เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะปัญหาของไอ้ระบบบ้านี่ มันจะต้องมีสักครั้งที่สามารถจับตุ๊กตาได้ แต่โอกาสนั้นมันดันตกเป็นของมึงเสียนี่!”
รพีพงษ์ขมวดคิ้วแน่น แล้วมองฝ่ายตรงข้าม ราวกับกำลังมองคนโง่คนหนึ่งอยู่
“คนมาทีหลังเสือกได้ดี กูนี่เล่นอย่างยากลำบาก จ่ายเหรียญเล่นเกมไปเกือบร้อยหยวนไม่ได้อะไรเลย แต่ให้มึงมาได้ไปเสียอย่างนั้น มึงว่าตุ๊กตานี้มันควรเป็นของกูไหมล่ะ?” ชายคนนั้นพูดอย่างมั่นใจ
รพีพงษ์ก็เอือมระอา แล้วพูดกับทุกคนว่า “มีคนมากมายเป็นพยานแบบนี้ คุณยังจะกล้าแก้ตัวอีกหรือ?”
“มีคนมากมายเป็นพยานงั้นหรือ? เหอะๆ ไอ้หนู มึงมาจากต่างถิ่นล่ะสิ คงยังไม่รู้สินะว่ากูเป็นใคร”
ชายคนนั้นยิ้มเยาะเย้ย แล้วมองทุกคน “คนพวกนี้ เป็นลูกน้องผมเอง มึงว่าพวกมันจะเป็นพยานให้มึงไหมล่ะ? ไม่หรอกมั้ง?”
พูดไป คนพวกนั้นที่ห้อมล้อมอยู่ ก็ย้ายไปยืนด้านหลังชายคนนั้น
รพีพงษ์ก็มองคนพวกนั้นนิ่งๆ ดูเหมือนว่า ไอ้หมอนี่จะเป็นหัวโจกของหมู่บ้านนี้
“จะบอกให้นะ วันนี้กูจะแย่ง ละก็จะทำอะไรกับกูได้?” ชายคนนั้นส่งสายตาดูถูก แล้วเตรียมจะหันหลังกลับออกไป
“รอเดี๋ยว!”
รพีพงษ์ส่งเสียงขรึมเรียกเขาไว้
“ทำไมรึไอ้หนู ไม่ยอมงั้นหรือ? เก่งนักก็จับให้ได้อีกตัวสิวะ มึงเก่งนักไม่ใช่หรือไง ตุ๊กตาตัวนี้ กูขอแล้วกัน” ชายคนนั้นพูดเหยียดหยาม โดยไม่เห็นรพีพงษ์อยู่ในสายตาเลย
“ฟังจากคุณแล้ว คงจะแย่งเอาไปหน้าด้านๆ เลยก็ได้งั้นหรือ?” รพีพงษ์ถาม
ชายคนนั้นก็สงสัยเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปสองก้าว ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มประชดประชัน “ได้สิวะ กูธีทัตแย่งมึงได้แล้วกัน มึงเก่งก็มาแย่งจากมือกูไปสิ”
“งั้นหรือ?”
รพีพงษ์ยิ้มแปลกๆ แล้วแอบปล่อยพลังจิตไป ชั่วพริบตาเท่านั้น ตุ๊กตาตัวนั้นก็มาอยู่ในมือของรพีพงษ์
“นี่มัน……..เป็นไปได้ไงวะ?” ธีทัตมองรพีพงษ์อย่างตกใจ แล้วก็มามองมืออันว่างเปล่าของตนเอง
“หนูหลิน ถือตุ๊กตาตัวนี้ไว้ให้ดี พวกเราไปกันเถอะ ฝั่งแม่หนูน่าจะเรียบร้อยกันแล้ว” รพีพงษ์ยิ้มพูดกับหนูลิน โดยไม่อยากจะมองธีทัต
ธีทัตก็โมโหจนหน้าเขียวปาแห้ง
“เห้ย พวกมึงไปขวางมันไว้!”
เสียงดังออกไป พวกลูกน้องทางด้านหลังก็บุกเข้าไปขวางทางเดินของรพีพงษ์
รพีพงษ์หันตัวมา แล้วมองตาหยีใส่ธีทัตที่กำลังโกรธ “นี่คุณ จะหาเรื่องผมใช่ไหม?”
“ถูกต้อง มึงคนต่างถิ่น แต่กล้ามาอวดเก่งที่นี่ วันนี้ถ้ามึงไม่ชดใช้ ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากโซนของเล่นนี้ได้!” ธีทัตพูดอย่างโอหังว่า “ที่นี่มีแต่คนของกู ถ้ามึงฉลาดก็คุกเข่าเรียกกูปู่สามรอบ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ลูกสาวมึงกูก็จะตีด้วย”
สายตาของรพีพงษ์ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา คนโง่มีทุกปี แต่ปีนี้มีเยอะหน่อย
เขายังไม่เข้าใจอยู่จุดหนึ่ง หรือว่าจะเป็นที่รูปร่างหน้าตาของเขา มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนที่ยอมให้คนอื่นรังแกได้ง่ายๆ งั้นหรือ?
“ผมขอให้คุณถอนคำพูดตนเองเสียเถอะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ผมรับรองได้เลยว่าคุณจะเสียใจทีหลัง” รพีพงษ์พูดเสียงขรึม
“เหอะ กูจะถอนทำไม กูมีลูกน้องมากมาย โซนของเล่นนี้กูก็ปกครองอยู่ ผู้จัดการห้างนี้พอเห็นกูก็ต้องให้ความเคารพ กูหรือจะกลัวมึง ไปจัดการมันเลย!”
พอสั่งการออกไป พวกลูกน้องทั้งหลายกูบุกเข้าไป
“พ่อคะ หนูกลัว” หนูลินพูดอย่างหวาดกลัว เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าบนโลกนี้จะมีคนที่โหดร้ายแบบนี้ด้วย
“ไม่ต้องกลัวนะ หนูลิน เด็กดี หลับตาไว้นะลูก” รพีพงษ์คุกเข่าลงพูดกับลูกอย่างอ่อนโยน
หนูลินได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า แล้วหลับตาลง
พอเห็นรพีพงษ์ไม่มองตนเองอยู่ในสายตา ธีทัตก็ยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม
ไอ้เด็กเวร เดี๋ยวมึงก็ต้องมาคุกเข่าขอร้องกู……
ฝั่งนี้ รพีพงษ์ก็ลุกขึ้นยืนตรง ความเยือกเย็นในสายตาเขาก็ยิ่งหนักกว่าเดิม
เดิมทีคิดแค่ว่าอยากจะออกมาจากอารียาและฝนสุดา แล้วพาหนูลินมาเล่นของเล่นผ่อนคลายหน่อย ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเรื่องแบบนี้
กับตนเองก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่ว่าถ้าจิตใจอันบริสุทธิ์ของหนูลินได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจล่ะก็ ก็คงจะยากต่อการฟื้นฟูจิตใจ!
“ใครกล้าทำร้ายลูกผม พวกคุณทุกคนสมควรต้องตาย!”
รพีพงษ์พูดเสียงเย็น จะรับมือกับคนพวกนี้ ไม่ต้องใช้พลังจิตวิญญาณในตัวหรอก ไม่ใช่เพราะอะไร คนพวกนี้มันไม่คู่ควร!
พริบตา คนแรกก็พุ่งเข้ามา รพีพงษ์ก็ลงมือในทันที ออกหมัดพุ่งไปยังใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม
ครู่เดียว เลือดก็ไหลออกมาจากรูจมูกของฝ่ายตรงข้าม แล้วก็ล้มลงไปนอนที่พื้นทั้งตัว
รพีพงษ์กำหมัดทั้งสองข้าง นับดูแล้ว รวมธีทัตไปด้วย มีทั้งหมด8คน
“หนูลิน นับหนึ่งถึงสิบนะลูก แล้วค่อยลืมตาขึ้นมานะ!”
รพีพงษ์พูดเสียงดัง พอหนูลินได้ยิน ก็พยักหน้าแล้วเริ่มนับ!
สิบวินาที สำหรับรพีพงษ์แล้ว มันเป็นเวลาที่มากพอแล้ว ถ้าเขาต้องการจะทำจริงๆล่ะก็ เพียงครึ่งวินาทีก็สามารถทำให้คนพวกนี้ตายคาที่อยู่ที่นี่ได้เลย
เพียงแต่คิดว่าบรรยากาศที่นี่มันจะเหม็นคาวเลือดมากเกินไป เพราะมีหนูลินอยู่ด้วย รพีพงษ์ก็เลยคิดอยากจะไว้ชีวิตพวกเขาไป
ครั้งนี้ รพีพงษ์ลงมือเองก่อนเลย
ธีทัตที่อยู่ข้างๆ ก็อึ้งไป ขาก็แข็งก้าวขาไม่ออก
เดิมทีเขาคิดว่าฝั่งตรงข้ามจะถูกลูกน้องตนเองรุมกระทืบ แล้วมาคุกเข่าขอร้องตนเอง แต่ตอนนี้สถานการณ์มันผ่านไปจนตนเองไม่เข้าใจ
ก็เห็นอยู่ว่าฝั่งตนเองมีคนมากกว่า แต่ว่า ไอ้หมอนี่มันกลับโจมตีบุกมาทางคนของตนเอง อีกอย่างรพีพงษ์ลงมือเร็วมาก พลังก็เยอะ
หมัดต่อหมัด คนพวกนี้ก็ล้มลงที่พื้น
“…….เก้า สิบ! พ่อคะ หนูนับครบแล้ว ลืมตาได้แล้วนะคะ”
หนูลินยิ้มพูด แล้วก็ลืมตาขึ้นมา
ในตอนนี้ พวกลูกน้องทั้ง7คนก็ได้ล้มไปกองอยู่ที่พื้น แล้วก็ถูกรพีพงษ์จับโยนไปฝั่งเดียวกัน ส่วนธีทัตก็ยืนขาสั่นไม่หยุด ต้องยืนพิงกับผนัง ถึงได้ไม่ล้มลงมา
“นี่มึง……..ทำไมถึงเก่งขนาดนี้ กูธีทัต ตั้งแต่เด็กก็ได้ต่อยตีอยู่แถวห้างพวกนี้10กว่าห้าง ไม่เคยเห็นใครที่ต่อยตีเก่งแบบมึงมาก่อน”
รพีพงษ์ก็ยิ้มเยาะเย้ย “เมื่อครู่ คุณบอกเองใช่ไหมว่าจะให้คุกเข่าขอโทษ?”
“พี่ชาย ผมไม่กล้าแล้วครับ พี่ชาย เดี๋ยวผมคุกเข่าให้เดี๋ยวนี้เลย ปล่อยผมไปเถอะ” ธีทัตพูดขอร้อง
เขากำลังจะคุกเข่า แต่ถูกรพีพงษ์พยุงตัวให้ลุกขึ้น
“พี่ชาย นี่พี่จะทำอะไร?” ธีทัตก็มองรพีพงษ์ เขาไม่เข้าใจว่าหนุ่มคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่
“คุณไม่ต้องมาขอโทษผมหรอก คนที่คุณควรจะขอโทษ ก็คือลูกสาวของผม” รพีพงษ์ชี้ไปยังหนูลิน
ธีทัตมองเด็กผู้หญิงที่สูงประมาณเมตรกว่าๆ แล้วก็หลุดพูดออกมาว่า “ห้ะ? ให้ผมขอโทษยัยหนูนี่น่ะหรือ?”
“ถูกต้อง” รพีพงษ์ดึงหนูลินมายืนข้างๆ แล้วใช้สายตาเย็นๆ มองไปยังฝ่ายตรงข้าม
อารมณ์ของธีทัตในตอนนี้ เขาก้มหน้าลง ดูเหมือนว่าวันนี้ถ้าไม่อยากเจ็บตัว คงจะต้องขอโทษเด็กผู้หญิงคนนี้เสียแล้วล่ะ
ฟุบลงไป ธีทัตคุกเข่าที่พื้น “ยัยหนู อาผิดไปแล้ว ตุ๊กตาตัวนั้นเป็นของหนู อาไม่ควรแย่งมันมา”
หนูลินไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอมองรพีพงษ์แล้วพูดว่า “พ่อคะ หนูควรจะทำอย่างไรดีคะ?”
“หนูให้เขาลุกยืนขึ้นก่อน แต่ก็สามารถให้เขาคุกเข่าต่อไปได้นะ หนูตัดสินใจเองเลย” รพีพงษ์กล่าว
หนูลินพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร “ก็ได้ค่ะ คุณอาลุงขึ้นเถอะค่ะ”
พอได้ยินหนูลินบอกดังนั้น ธีทัตก็โล่งใจ
รพีพงษ์ก็ไม่ได้สนใจ แล้วก็จะพาหนูลินจากไป
“รอเดี๋ยว” ธีทัตเรียกให้รพีพงษ์หยุด
“ยังมีเรื่องอะไรอีก?” รพีพงษ์ถามนิ่งๆ ไอ้หมอนี่ ถ้ายังกล้าอีกล่ะก็ ตนเองก็มีหลายร้อยวิธีที่จะทำให้เขาทรมาน
“เปล่า เปล่า พี่ชาย ผมอยากถามหน่อย ไอ้ตุ๊กตาตัวนั้น พี่เอามันมาได้อย่างไร ทำไมครั้งเดียวก็ทำสำเร็จเลย แต่ผมทำไมทำไม่ได้ล่ะ?” ธีทัตถามอย่างตั้งใจ
รพีพงษ์ก็ยิ้มเยาะเย้ย แล้วพูดเบาๆ ว่า “ง่ายมาก เพราะว่าคุณตาเขไงล่ะ”
พูดจบ ก็พาหนูลินออกไป
ไอ้หมอนี่มีตาไร้แวว ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แม้แต่รพีพงษ์ที่เป็นคุณชายแบบนี้ยังมองไม่ออก ถ้าไม่เรียกว่าตาเขจะให้เรียกว่าอะไร?