พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1486 เก็บโลลิน้อยได้ระหว่างทาง
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1486 เก็บโลลิน้อยได้ระหว่างทาง
รพีพงษ์หันศีรษะไปดูคนในเสื้อคลุมที่นั่งอยู่บนพื้น แล้วเดินเข้าไป แล้วยื่นมือเพื่อจะช่วยพยุงคนในเสื้อคลุม แต่ถูกคนในเสื้อคลุมตบที่มือ เห็นได้ชัดว่าเห็นตนเองเป็นศัตรู
“เมื่อครู่นี้ เจ้างูน้อยตัวนี้ได้ล่วงเกินคุณ ถ้าไม่รังเกียจ ผมสามารถพาคุณกลับไปรักษาตัวที่บ้าน เพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของร่างกาย และชดเชยความเสียหายให้คุณ” รพีพงษ์กล่าวอย่างสุภาพ
ไม่ว่าจะเป็นยังไง งูสีเงินก็เป็นฝ่ายทำร้ายอีกฝ่ายก่อน และสัตว์เซียนทั้งหมดในป่าหมอกนี้เคารพตนเอง ตอนนี้มันเป็นสิ่งที่ตนเองจะต้องรับผิดชอบแทนงูสีเงิน
คนในเสื้อคลุมส่ายศีรษะ ดวงตาที่มองรพีพงษ์ยิ่งสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ
งูเซียนยาวหลายเมตรนั่น เป็นงูตัวเล็กในสายตาของชายคนนี้เหรอ? โลกใบนี้มันเป็นอะไรไปแล้ว?
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าตนเองเพิ่งตื่นจากการหลับใหล คงไม่ถูกงูเซียนที่อยู่ในระดับแดนดั่งเทพชั้นยอดเกือบฆ่าตาย
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เต็มใจที่จะยอมรับความช่วยเหลือจากตนเอง รพีพงษ์ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หยิบขวดยาหลิงตานออกจากกระเป๋า แล้ววางลงบนพื้น
“ในเมื่อคุณไม่ยอมไว้ใจผม ในขวดนี้คือยาที่สามารถฟื้นฟูความแข็งแกร่งได้ ผมวางไว้ตรงนี้ แล้วก็จะออกไปทันที คุณสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเอง คิดเสียว่าที่เป็นคำขอโทษคุณก็แล้วกัน”
พูดจบ รพีพงษ์ก็โค้งคำนับคนในเสื้อคลุมเล็กน้อย หันหลังแล้วพางูสีเงินเดินจากไป
คนในเสื้อคลุมตกตะลึงเป็นเวลานาน ได้กลิ่นยาที่ลอยอยู่ในอากาศ จึงไม่สามารถต้านทานสิ่งล่อใจได้ และในที่สุดเธอก็เดินมาอยู่ตรงหน้าขวดยา
ทันทีที่หยิบขวดขึ้นมาและเปิดฝาจุก กลิ่นยาทำให้ร่างกายของคนในเสื้อคลุมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
“มันเป็นยาชั้นเลิศจริง ๆ และแต่ละเม็ดก็มีลักษณะที่ยอดเยี่ยม ไอ้หมอนี้ดูเหมือนอายุประมาณยี่สิบกว่าเท่านั้น เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะเป็นคนปรุงยานี้? ไม่ได้! ฉันต้องตามไปดู”
คนในเสื้อคลุมคิดอยู่ในใจ แล้วก็เอาขวดยาใส่ในกระเป๋าเสื้อ มองหากลิ่นของรพีพงษ์ที่หลงเหลืออยู่ แล้วตามไปอย่างรวดเร็ว
“แพล็บ~”
ฝั่งรพีพงษ์ งูสีเงินแลบลิ้นออกมา แล้วก็มองไปข้างหลัง
รพีพงษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เข้าใจความหมายของงูสีเงินทันที เขาลูบหัวของงูสีเงินเบา ๆ มองพุ่มไม้ที่แกว่งไปมาเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ถ้าคุณมีธุระกับผม ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนเช่นนี้”
เมื่อกล่าวจบ รอบ ๆ ก็เงียบลงทันที
ท่ามกลางพุ่มไม้นั้น คนในเสื้อคลุมรู้สึกประหลาดใจ และไม่อยากหลบซ่อนตัวอีกต่อไป เธอยืนขึ้นจากพุ่มไม้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “ถ้าคุณรู้แล้วทำไมไม่รีบพูด ฉันหลบซ่อนอยู่ก็เหนื่อยน่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น รพีพงษ์ยิ้มอย่างขมขื่น เจ้าหนูนี้สะกดรอยตามตนเอง แต่ตนเองกลับกลายเป็นคนผิดเสียเอง?
เมื่อฟังจากน้ำเสียงแล้ว เจ้าหนูนี้น่าจะเป็นเด็กผู้หญิงอายุไม่กี่ขวบ?
มีบางอย่างผิดปกติ
ผิดปกติเป็นอย่างมาก!
เด็กผู้หญิงอายุไม่กี่ขวบจะมาปรากฏตัวในป่าหมอกได้อย่างไร
แม้ว่าป่าหมอกจะถูกรพีพงษ์ขจัดอันตรายไปแล้ว แต่ยังไงที่นี่มันก็ยังเป็นป่าที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ ไม่มีพ่อแม่คนไหนจะวางใจให้เด็กเดินอยู่ในป่าหมอกเพียงลำพัง
ก็เหมือนเมื่อสักครู่ ถ้าตนเองมาไม่ทัน เกรงว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะถูกงูสีเงินกลืนเข้าไป และเสียชีวิตไปแล้ว
หรือบางที เด็กผู้หญิงคนนี้อาจเป็นคนของสำนักเทพยาเซียน?
แต่ตนเองอาศัยอยู่ที่สำนักเทพยาเซียนเป็นเวลาไม่น้อย รพีพงษ์รู้จักลูกศิษย์ของสำนักเทพยาเซียนเกือบหมด แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนนี้เลย
“ไม่ต้องคิดแล้ว ฉันไม่ใช่คนที่นี่ คุณไม่รู้จักฉันแน่นอน อีกอย่าง อย่ามองฉันด้วยสายตาที่มองเด็ก” คนในเสื้อคลุมกล่าวด้วยความไม่พอใจ
รพีพงษ์รู้สึกตกใจมากขึ้นไปอีก ตนเองยังไม่ได้พูดอะไร เด็กผู้หญิงคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่? หรือว่าโลกนี้มีวิชาอ่านความคิดจริง ๆ?
รพีพงษ์อดไม่ได้ที่จะระวังตัว หันหน้าไปทางเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้า กล่าวอย่างเย็นชาว่า “รบกวนคุณถอดเสื้อคลุมออกก่อนแล้วค่อยพูด”
คนในเสื้อคลุมรู้สึกถึงแววสังหารของรพีพงษ์ แต่ก็ไม่ตกใจแต่อย่างใด กลับหัวเราะและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าคุณจะมีพรสวรรค์ในการกลั่นยาและการฝึก และคุณก็มีคุณสมบัติที่จะสามารถเห็นใบหน้าของฉันได้”
พูดจบ คนในเสื้อคลุมใช้มือทั้งสองข้างจับหมวกและถอดหมวกออกมาอย่างช้า ๆ ใบหน้าเล็กราวกับตุ๊กตาก็ปรากฏขึ้น แล้วดวงตาของรพีพงษ์ก็ไม่มีแววสังหารอีกต่อไป
เธอมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับหนูลินเล็กน้อย!
รพีพงษ์ตกใจเล็กน้อย ชั่วขณะหนึ่ง เขาเห็นเงาของหนูลินอยู่บนตัวของเด็กผู้หญิงคนนี้ แต่รพีพงษ์ก็แยกแยะได้อย่างรวดเร็ว
เพราะหนูลินไม่เย่อหยิ่งเหมือนเด็กผู้หญิงคนนี้
“คุณเป็นใคร? ทำไมคุณถึงมาปรากฏตัวในป่าหมอกเพียงลำพัง พ่อแม่ของคุณไปไหน?” รพีพงษ์ถามอย่างมีไมตรี ปฏิบัติต่อเด็กผู้หญิงราวกับเป็นเด็กหลงทาง
เด็กผู้หญิงกล่าวพึมพำ สะบัดมือของรพีพงษ์ออก ซึ่งแรงสะบัดนั้นมีพลังเน่ยจิ้งอยู่
“ฉันเคยบอกไปแล้วว่าอย่ามองฉันเหมือนเด็กเล็ก ฉันขอถามคุณว่า ยาเม็ดพวกนี้คุณเป็นคนกลั่นทั้งหมดหรือ?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ รพีพงษ์มองไปที่ขวดเล็ก ๆ ในมือของเด็กผู้หญิง และกล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า “เป็นยาที่ผมปรุงเอง แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว คุณต้องกลับไปพร้อมกับผม ผมจะต้องรู้ตัวตนของคุณ”
รพีพงษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อสักครู่รพีพงษ์รู้สึกถึงพลังเน่ยจิ้งจากแรงสะบัดของเด็กผู้หญิงคนนี้ และมีแม้แต่ร่องรอยของพลังจิตวิญญาณด้วย!
เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่า เด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าอายุเท่าไหร่ หรือว่าเธอจะเป็นยอดฝีมือเน่ยจิ้ง? หรืออาจจะเป็นระดับแดนดั่งเทพ?
สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะยังไง รพีพงษ์จะต้องตรวจสอบตัวตนของเด็กผู้หญิงคนนี้ให้ชัดเจน
หลังจากได้ยินคำตอบของรพีพงษ์ เด็กผู้หญิงยิ้มด้วยความพึงพอใจ และเดินไปทางรพีพงษ์ แล้วกระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนไหล่ของรพีพงษ์
“เอาล่ะ ฉันก็ไม่อยากหนี ไม่ต้องคิดเรื่องที่ซับซ้อนมาก ไปเถอะ พาฉันไปที่ที่คุณพักอยู่ ฉันต้องการทำข้อตกลงกับคุณ”
“ข้อตกลง?” รพีพงษ์สงสัยเล็กน้อย เด็กผู้หญิงคนนี้ จะสามารถมีข้อตกลงอะไรกับตนเองได้
รพีพงษ์ไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นศัตรูจากเด็กผู้หญิงคนนี้ อย่างไรก็ตาม เป็นการดีถ้าพาเด็กผู้หญิงคนนี้กลับไปก่อน
หลังจากนั้น รพีพงษ์ก็ปล่อยงูสีเงิน และพาเด็กหญิงคนนี้เดินกลับไปที่คฤหาสน์ทันที
สิ่งที่ทำให้รพีพงษ์สงสัยคือเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ร้องไห้หรือสร้างปัญหา แต่ให้ความร่วมมือกับตนเองเป็นอย่างดี ไม่เหมือนกับเด็กทั่วไป
ไม่กี่นาทีต่อมา รพีพงษ์คลายเกราะป้องกันไว้รอบ ๆ คฤหาสน์ออก แล้วพาเด็กผู้หญิงเดินเข้าไปในคฤหาสน์
“ว่าแต่ ฉันยังไม่ได้ถามว่าคุณชื่ออะไร” เด็กผู้หญิงกล่าวขึ้นก่อน
รพีพงษ์ผงะไปครู่หนึ่งและกล่าวว่า “รพีพงษ์ คุณสามารถเรียกผมว่าลุง แล้วคุณชื่ออะไร?”
เด็กผู้หญิงถอนหายใจอย่างจำใจ ไม่อยากจะโต้เรื่องที่รพีพงษ์ปฏิบัติต่อตนเองเหมือนเด็ก และกล่าวว่า “ปัณฑา พวกเขาเรียกฉันอย่างนั้น”
“พวกเขาคือใคร?”
รพีพงษ์ถามต่อ แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปัณฑา
ในลานกว้างของคฤหาสน์ หงส์ที่กำลังฝึกอยู่ในลานกล้างเห็นรพีพงษ์กลับมาพร้อมเด็กคนหนึ่ง จึงเดินเข้าไปทันที