พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1490 ต้นไม้ตายหมื่นปี
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1490 ต้นไม้ตายหมื่นปี
เมื่อได้ยินประโยคนี้ รพีพงษ์รู้สึกปีติ มองไปที่ปัณฑาแล้วกล่าวว่า “แล้วจะรออะไรอีก ปัณฑา คุณเป็นภูตโบราณ คุณไม่ขาดพลังชีวิตใช่ไหม? ขอให้ผมหน่อย?”
ปัณฑาหน้าดำคร่ำเครียด ส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “คุณอย่าหวังพึ่งแต่ฉัน คุณก็เห็นว่าฉันเพิ่งตื่นจากการหลับใหลเมื่อสองวันก่อน ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันคงถูกงูตัวนั้นกลืนไปแล้ว ตอนนี้ฉันไม่มีพลังชีวิตมากมายให้คุณได้หรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ รพีพงษ์ก็ขมวดคิ้ว ในเมื่อปัณฑาไม่มีพลังชีวิต แล้วตนเองควรมองหาจากที่ไหน?
“เอาล่ะ เอาล่ะ อย่าทำหน้าบึ้งเช่นนี้ ฉันไม่ได้มีพลังชีวิตขนาดนั้น แต่ในป่าหมอก อย่างเถาวัลย์ที่ฉันให้คุณก่อนหน้านั้น นั่นเป็นของดี อย่าใช้สิ้นเปลือง ข้างในมีพลังชีวิตอยู่ไม่น้อย”
“ถ้าไม่ใช่ว่ายังไม่ใช้ชั่วคราว ฉันก็ไม่อยากจะมอบมันให้คุณหรอก”
เมื่อรพีพงษ์ได้ยินเช่นนี้ ก็จำเถาวัลย์ครึ่งวงที่เป็นวัสดุระดับเทพที่ปัณฑาให้ตนเองก่อนหน้านั้น เขาลุกขึ้นทันที และรีบเข้าไปในคฤหาสน์ ในห้องเก็บของที่ชั้นหนึ่ง รพีพงษ์เก็บรักษาเถาวัลย์ครึ่งวงไว้ในกล่องไม้อย่างดี
คราวนี้ลองดูอย่างละเอียด ท่ามกลางเถาวัลย์ที่ถูกผนึก มีพลังงานชีวิตจาง ๆ เคลื่อนไหวอยู่ในนั้น
ปัณฑารีบตามมา และกล่าวด้วยความเหนื่อยหอบว่า “เถาวัลย์ครึ่งวงนี้ใช้ประโยชน์ไม่ได้ แต่ถ้าคุณสามารถเอาผลไม้จากต้นไม้ตายหมื่นปีได้ พลังงานชีวิตในนั้นมีเพียงพอสำหรับให้คุณใช้แน่นอน ที่เหลือยังสามารถให้ฉันใช้เพื่อฟื้นฟูพละกำลังได้อีก”
“ต้นไม้ตายหมื่นปี ทำไมผมถึงไม่รู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่ในป่าหมอก?” รพีพงษ์กล่าวด้วยใบหน้าที่สงสัย
ตนเองใช้เวลาอยู่ในป่าหมอกไม่น้อย ควบคู่ไปกับการควบคุมสัตว์เซียนต่าง ๆ ในป่าหมอก รพีพงษ์เชื่อว่าตนเองรู้ทุกที่ในป่าหมอก แต่เขากลับไม่เคยได้ยินว่าในป่าหมอกนี้มีต้นไม้ตายหมื่นปีเลย
“เป็นเรื่องปกติที่คุณไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน สิ่งนี้มีอยู่ในป่าหมอกเป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้ว ยาวนานกว่าสัตว์เซียนเหล่านั้นเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้น ต้นไม้ตายหมื่นปีต้นนี้ไม่ได้เติบโตบนพื้นดิน”
รพีพงษ์มองไปที่ปัณฑา และกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม “ขอแค่คุณพาผมไปหาต้นไม้ตายหมื่นปี เดือนนี้มีขนมเพียงพอสำหรับทั้งเดือน!”
หลังจากที่ปัณฑาฟัง หน้าดำคร่ำเครียด และดูเหมือนว่าไอ้หมอนี้ยังคงปฏิบัติต่อตนเองเหมือนเด็ก
“ถึงคุณไม่พูดขนมก็เป็นของฉัน แต่ฉันสามารถพาคุณไปที่นั่นได้ ขอแค่คุณสัญญากับฉันด้วยเงื่อนไขหนึ่งข้อ หลังจากที่คุณได้ผลไม้จากต้นไม้ตายหมื่นปีแล้ว คุณและฉันแบ่งพลังชีวิตกันคนล่ะครึ่ง คุณวางใจได้ แม้ว่าจะมีพลังชีวิตเพียงครึ่งเดียวก็เพียงพอสำหรับให้คุณใช้แล้ว”
หลังจากที่รพีพงษ์ได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่ลังเลเลยที่จะตอบตกลง แต่ตอนนี้มันดึกแล้ว มันไม่เหมาะสมที่จะเดินทาง แล้วปัณฑาก็อธิบายตำแหน่งของต้นไม้ตายหมื่นปีให้ รพีพงษ์ฟังคร่าว ๆ จากนั้นก็กลับไปนอนพักผ่อน
เที่ยงของวันรุ่งขึ้น
“ว้าว แม่เก่งมาก หมัดเดียวก็สามารถทำให้ต้นไม้หักโค่น!” หนูลินกระโดดเชียร์อารียา
ณ.ลานบ้าน มีเพียงต้นไม้ใหญ่หักไปครึ่งต้น และอารียาที่อยู่ด้านก็มีสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อก่อนรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นที่รพีพงษ์ทำนั้นตนเองไม่มีวันจะทำได้
ไม่คิดว่า วันนี้ตนเองก็สามารถทำสำเร็จได้!
รพีพงษ์ดูโล่งใจ กอดอารียาจากด้านหลัง มองรอยแผลเป็นวงกลมสีชมพูคู่นั้นของอารียา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“ช่วงหลายวันที่ผ่านมาลำบากคุณแล้ว คุณมีความก้าวหน้ามาก ผมจะปรุงยาให้คุณในภายหลัง แล้วคุณสามารถฝึกตามคำแนะนำของผม คิดว่าอีกไม่นาน คุณก็จะสามารถถึงระดับแดนปรมาจารย์ได้”
อารียาพยักหน้า เธอไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับระดับผลของการฝึกตน แต่เธอเข้าใจว่าระดับแดนปรมาจารย์แข็งแกร่งกว่าตัวเธอมาก!
ขอแค่กลายเป็นระดับแดนปรมาจารย์ ตนเองจะมีความสามารถในการป้องกันตนเองในระดับหนึ่ง และสามารถลดภาระของรพีพงษ์ได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
ตอนนี้ฝนสุดาและหงส์ที่อยู่ด้านข้างก็เดินมายินดีกับอารียา อารียามีความคืบหน้าเร็วมาก
อย่างไรก็ตาม มีเพียงรพีพงษ์และอารียาเท่านั้นที่รู้ว่า ความดีความชอบทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่จากคัมภีร์หยินหยาง
ในอนาคต เมื่อฝนสุดาและหงส์พบใครบางคนที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป รพีพงษ์ก็ไม่ลังเลที่จะมอบคัมภีร์หยินหยางนี้ให้กับพวกเธอ
รพีพงษ์ยิ้มอย่างอบอุ่น ขณะมองเสียงเชียร์ที่ดังของคนทั้งสี่ ปัณฑาที่อยู่ข้างหลังก็ดึงชายเสื้อของรพีพงษ์ เพื่อเตือนว่าถึงเวลาแล้ว
รพีพงษ์พยักหน้า มองไปที่อารียาและกล่าวว่า “อารียา ฝนสุดา หงส์ และหนูลิน ผมมีธุระต้องออกไปข้างนอกกับปัณฑา แต่พวกคุณไม่ต้องกังวล พรุ่งนี้ผมจะกลับก่อนพระอาทิตย์ตกดิน”
สีหน้าอารียาดูกังวล จับมือรพีพงษ์ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถอนหายใจยาว ๆ แล้วปล่อยมือ และกล่าวว่า “ฉันรู้ว่าคุณทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อพวกเรา คุณไปเถอะ ฉันจะรอคุณอยู่ที่บ้าน”
“คุณพ่อ หนูจะเป็นเด็กดีและรอคุณพ่อกลับบ้าน” หนูลินกอดรพีพงษ์ หลังจากรพีพงษ์ก็นั่งลง แล้วหนูลินก็จูบไปที่ใบหน้าของรพีพงษ์เบา ๆ ความน่ารักรู้ความของเธอทำให้รพีพงษ์รู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก
ขณะนี้ธกรเดินออกมาพอดี เมื่อรู้ว่ารพีพงษ์กำลังจะจากไป ก็กล่าวว่า “วางใจเถอะ รพีพงษ์ คุณไปทำธุระของคุณได้เต็มที่ ผมจะปกป้องคนที่นี่ ผมหนูตะกายฟ้าขอใช้ชีวิตเป็นหลักประกัน มีผมอยู่ จะไม่มีใครสามารถแตะต้องภรรยาและลูกสาวของคุณได้!”
ฝนสุดาและหงส์ก็พยักหน้าเช่นกัน
รพีพงษ์ยิ้ม แล้วสร้างเกราะป้องกันไว้รอบ ๆ คฤหาสน์ จากนั้นถึงได้วางใจและจากไปพร้อมกับปัณฑา
“เฮ้ ออกไปแค่วันเดียว ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงขนาดนั้นหรอก?” ปัณฑากล่าวและมองดูท่าทางกังวลของรพีพงษ์
รพีพงษ์ถอนหายใจอย่างจำใจ จะให้เขาไม่ห่วงภรรยาและลูกของตนเองได้อย่างไร
สองชั่วโมงต่อมา ณ เชิงเขาที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าหมอก
ปัณฑากระโดดลงมาจากไหล่ของรพีพงษ์ รับรู้ถึงการมีอยู่ของพลังงานชีวิตอย่างละเอียด จากนั้นก็เดินไปที่หินก้อนใหญ่ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ชี้ไปที่หินก้อนใหญ่และกล่าวว่า “รพีพงษ์ รีบทุบหินนี้ให้ละเอียด ทางเดินอยู่ใต้หินก้อนนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ รพีพงษ์ก็เดินไปด้วยความสงสัย มองไปที่หินก้อนนั้น แล้วชกเบา ๆ หมัดที่ทรงพลังก็ทุบหินจนละเอียดทันที
เศษหินทำให้เกิดเป็นฝุ่นกระจายขึ้น แต่โชคดีที่รพีพงษ์ได้จัดเตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ โดยการสร้างเกราะป้องกันไว้รอบ ๆ ตัว
เมื่อฝุ่นหายไปหมด ปัณฑาก็ยิ้มเล็กน้อย ขณะที่มองดูโพรงกลมที่อยู่ภายใต้หินที่แตกละเอียด
“โอเค ไม่ได้หาผิดที่ รพีพงษ์ ที่ข้างล่างมีไม้ตายหมื่นปีอยู่ที่ก้นถ้ำแห่งนี้ พวกเราลงไปกันเถอะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ รพีพงษ์ก็พยักหน้า อุ้มปัณฑาด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วกระโดดลงไปในหลุมทันที
ความมืดของสิ่งแวดล้อมไม่มีผลกระทบต่อนักฝึกตนอย่างรพีพงษ์ แต่ปัณฑารู้สึกอึดอัด รพีพงษ์จึงนำไฟฉายที่เตรียมไว้แล้ว ให้ปัณฑาส่องทาง
หลังจากที่ลงมาถึงก้นถ้ำ พลังชีวิตอันแข็งแกร่งแผ่กระจายไปทั่วพื้นผิว ซึ่งทำให้รพีพงษ์เข้าใจว่า พวกเขาไม่ได้มาผิดที่!
“แล้วจะไปยังไงต่อ?”
ปัณฑาเงียบไปครู่หนึ่ง พยายามนึกเส้นทาง แต่สุดท้ายก็เลิกนึก และกล่าวว่า “เวลาผ่านไปนานเกินไป คิดไม่ออกแล้ว แต่ไม่มีปัญหา เพราะฉันสัมผัสได้ถึงพลังชีวิต เดินตามฉันมา”