พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1529 ความมหัศจรรย์ของเทวโลก
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1529 ความมหัศจรรย์ของเทวโลก
พอเห็นว่าผลินมีสีหน้ากังวลแบบนี้ รพีพงษ์ก็ไม่ได้สนใจอะไร
ตอนนี้ตนเองมีพลังระดับแดนบุณแล้ว ต่อหน้าคนทั่วไป เขาก็ไม่ได้อวดเบ่งใส่ใคร กลับกัน ก็ยังมีความคิดที่จะสร้างชื่อในเทวโลกเหมือนกัน
เพียงแต่มีจุดหนึ่ง ในใจของรพีพงษ์รู้สึกว่ามันแปลกๆ
ตามหลักแล้ว ก่อนหน้านี้ตนเองได้ยินญาณิดาบอกว่า ที่เทวโลกเป็นสถานที่ที่มหัศจรรย์มาก พลังทิพย์ที่นี่มากมายนัก ต่อให้เป็นทวีปโอชวินบนโลกก็ไม่อาจเทียบได้
แต่ว่า จากเมืองแฟรี่ และคนในเมืองนี้แล้ว รพีพงษ์กลับไม่ได้รู้สึกว่าคนที่นี่ต่างจากตนเองอย่างไร ถึงขนาดเหมือนเป็นคนธรรมดาๆ เท่านั้นเอง
หรือว่า สิ่งที่ญาณิดาบอก จะไม่เป็นความจริง?
รพีพงษ์เริ่มสงสัยเป็นครั้งแรก ในความคิดของเขา คนของเทวโลกนั้น อย่างน้อยก็ต้องมีพลังระดับแดนบุณถึงจะถูกสิ ทุกคนต้องไม่ใช่คนธรรมดาถึงจะถูกสิ
แต่ทว่า สภาพของที่นี่ มันต่างกับสิ่งที่รพีพงษ์คิดไว้มาก
“วางใจเถอะ ไม่เป็นอะไรหรอก” รพีพงษ์พูดนิ่งๆ
“คุณไม่รู้อะไร ในเมืองแฟรี่ ตระกูลภูสรีดาว ตระกูลไพยสูตร ตระกูลเยอซอ สามตระกูลนี้ หนึ่งในนั้นตระกูลภูสรีดาวแข็งแกร่งที่สุด แทบจะควบคุมเมืองแฟรี่ทั้งครึ่งไว้เลย ถ้าพวกเขาอยากจะกำจัดใครสักคน ก็เหมือนกับบี้มดตัวหนึ่งเท่านั้น มันง่ายมากเลย”
ผลินมองรพีพงษ์อย่างกังวล จากนั้นพูดว่า “รพีพงษ์ ฉันแนะนำว่าให้คุณรีบหนีไปเถอะ เมื่อครู่พวกเราไปหาเรื่องกับพ่อบ้านเตชิต ตระกูลภูสรีดาวคงจะไม่ปล่อยพวกเราไปแน่”
“ถ้าผมไปแล้ว คุณจะทำอย่างไร” รพีพงษ์พูดเสียงเบาๆ สีหน้าก็นิ่งๆ ราวกับไม่เห็นอำนาจของตระกูลภูสรีดาวอยู่ในสายตาเลย
“คือฉัน…….อย่างน้อยฉันก็เป็นคนของเมืองแฟรี่ แถมยังเป็นผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง ตระกูลภูสรีดาวรักในชื่อเสียง คงจะไม่ทำร้ายอะไรผู้หญิงอย่างฉันหรอก” ผลินพูดเสียงเบาๆ
“เหอะ แค่ไอ้พ่อบ้านเตชิตคนนั้นยังรังแกคุณแบบนั้นเลย พวกตระกูลภูสรีดาวไม่ใช่คนดีอะไรหรอก” รพีพงษ์พูดเสียงขรึม
“นั่นสิ ไอ้พ่อบ้านเตชิตนั่น หน้าตาลามกจะตาย แค่มองก็รู้ว่าสถุน ถ้าเธอยังอยู่ในเมืองแฟรี่ พวกมันต้องหาเธอพบแน่ พอถึงตอนนั้น เธอก็แย่แน่” ปัณฑาพูดออกมาเหมือนกัน
ผลินก็มองรพีพงษ์ แล้วก็มองปัณฑา หลักนี้เธอก็เข้าใจดี แต่ว่าเธอในตอนนี้นั้น แค่ลังเลไปเท่านั้น
“วางใจ พวกเราไม่เป็นอะไรหรอก” รพีพงษ์มองผลินแล้วพูดออกมา
พอมองสายตาของผู้ชายที่มั่นใจอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของผลินถึงได้เกิดความเชื่อใจแบบนี้ออกมาได้
“รพีพงษ์บอกว่าไม่เป็นอะไร ก็ต้องไม่เป็นอะไร เธอก็ไม่ต้องคิดมากแล้วล่ะ” ปัณฑาพูดอย่างไม่สนใจอะไร
“ผีน้อย” แสนฉลาดตัวนี้ ไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าอะไรเรียกว่า ความกลัว
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ตามนี้แล้วกัน” ผลินพยักหน้าเห็นด้วย
ทั้งสามคนก็ตามฝูงชนเดินหน้าเข้าไป ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูเมือง
“พวกคุณมาทำงานอะไร มาเมืองแฟรี่ทำไมกัน”
ที่ประตูเมือง ทหารสวมชุดเกราะคนหนึ่งขวางพวกของรพีพงษ์ทั้งสามคนไว้ เพื่อสอบถาม
ยังไม่ทันให้รพีพงษ์ได้ตอบ ผลินก็รีบตอบออกมาว่า “พวกเราพักอยู่ในเมืองเมืองแฟรี่ ออกไปทำธุระตอนเช้า ตอนนี้กลับมาแล้ว”
“อ๋อ”
ทหารรับเงินจากมือของผลินไปด้วย แล้วพูดด้วยหน้านิ่งๆ ไปด้วยว่า “พวกคุณเป็นสามคนพ่อแม่ลูกใช่ไหม?”
“ถูกต้องๆ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน พี่ชาย เปิดทางให้พวกเราเถอะนะ”
ผลินยิ้มพูด แล้วก็หยิบเงินออกมาจากกระเป๋า10เหรียญทอง
รพีพงษ์ก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรกับการกระทำนี้ แต่ปัณฑากลับบึนปากอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางไม่พอใจ
“ได้ๆ พวกคุณเข้าไปเถอะ มา คนต่อไป!”
ทหารโบกมือ แล้วปล่อยพวกของรพีพงษ์ทั้งสามคนเข้าเมือง
“ทำไมเธอบอกว่าพวกเราเป็นครอบครัวกัน3คนล่ะ?”
พอเข้าเมืองแฟรี่มา ยังไม่ทันได้ชมกับความงามในเมืองเลย ปัณฑาก็ถามผลินอย่างโมโห
“สถานการณ์มันบังคับ ถ้าไม่มีเหตุผลมาอธิบายล่ะก็ แล้วทหารตรวจสอบขึ้นมา แล้วสงสัยในตัวพวกคุณสองคน ก็อาจจะไม่ปล่อยเราเข้าเมืองก็ได้” ผลินกล่าว
“แบบนั้นก็ไม่ได้ จะให้เธอมาเอาเปรียบพวกเราไม่ได้หรอก จะว่าไปแล้ว อายุของฉันน่ะเยอะกว่าพวกเธอสองคนรวมกันเสียอีกนะ!” ปัณฑาพูดอย่างโกรธๆ
ผลินก็ผงะเล็กน้อย เธอมองปัณฑาที่มีใบหน้าเหมือนกับเด็กน้อย แล้วก็เหวอไป โดยไม่เข้าใจเด็กคนนี้หมายความว่าอย่างไร
รพีพงษ์ก็ยิ้มเล็กๆ แล้วก็เอาปัณฑาแบกขึ้นบ่า “ที่ผลินทำไปเมื่อครู่ถูกต้องแล้วล่ะ”
“รพีพงษ์ คุณก็บอกแบบนี้ด้วยงั้นหรือ คุณเพิ่งรู้จักกับเธอไม่นานเองนะ แค่นี้ก็ช่วยกันเสียแล้ว ฉันว่าถูกความสวยบังตาสิไม่ว่า อย่าลืมว่าพวกเรามาที่เทวโลกทำไม” ปัณฑาพูดอย่างโมโห
รพีพงษ์ส่ายหัวเบาๆ “วางใจเถอะ เรามาที่เทวโลกครั้งนี้เพื่ออะไร ผมไม่ลืมหรอก แต่ว่าที่ผลินทำไปเมื่อครู่นี้ถูกต้องแล้ว แบบนี้จะได้มีปัญหาน้อยลงไงล่ะ”
“หรอ? ทำไมคุณว่าเป็นอย่างนั้นล่ะ?” ปัณฑาขมวดคฃิ้วแน่นพูดออกมา
“อาวุธของทหารเมื่อครู่นี้คุณเห็นหรือเปล่า” รพีพงษ์ถามเสียงต่ำ
“เอ๊ะ ก็แค่ทวนยาวธรรมดาไม่ใช่หรือไง มีอะไรพิศดาร” ปัณฑาพูดอย่างไม่สนใจ
“ทวนยาวนั้น ทำจากพลังกังฟูเสน” รพีพงษ์พูดเสียงต่ำ
“อะไรนะ? ทำจากพลังกังฟูเสนงั้นหรือ?” พอปัณฑาได้ยิน ก็ตกใจเล็กน้อย
“ถูกต้อง”
สายตาของรพีพงษ์มองไปยังฝูงชนด้านหน้า ปากก็ถอนหายใจพูดว่า “ยอดฝีมือระดับแดนดั่งเทพที่ฝึกวิชากังฟูเสน ถ้าไปอยู่โลกของเราล่ะก็ ก็คงจะไปที่เลื่องลือไม่น้อย ส่วนในเมืองแฟรี่นี้ เป็นแค่ทหารเฝ้ายามประตูเมืองเท่านั้น เทวโลกนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ !”
ปัณฑาได้ยินดังนั้น ก็เข้าใจขึ้นมาได้
แค่ทหารยามเฝ้าประตู ก็เป็นถึงยอดฝีมือระดับแดนดั่งเทพที่ฝึกกังฟูเสน ถ้าเกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้นมา ใครจะรู้ล่ะว่าต่อจากนั้นจะมียอดฝีมืออะไรอีกบ้าง?
“ความลึกล้ำของกังฟูเสนนั้น ผมรู้ดี วิชาแบบนี้เป็นวิชาขั้นสุดยอดที่ผมรู้จักแล้ว แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ ทหารเฝ้าประตูที่นี่ก็สามารถฝึกวิชากังฟูเสนได้ มันก็แสดงว่า……”
“ก็แสดงว่า สิ่งที่พวกเรามองว่าเป็นของล้ำค่า อยู่ที่นี่ถือว่าเป็นของระดับล่างเลย!” ปัณฑารีบพูดตอบเอง!
รพีพงษ์ขมวดคิ้วแน่น
ตอนนี้ ในหัวของเขา ก็เกิดภาพที่นั่งนิ่งๆ อยู่ในวัดเขตแดนลับของทวีปโอชวินอีกแล้ว
มันเหมือนกับที่ญาณิดาบอกไว้เลย คัมภีร์วิชาลับต่างๆ ที่วางไว้ในวัดนั้น เป็นแค่วิชาระดับต่ำของเทวโลกเท่านั้น และต่อให้เป็นกังฟูเสนที่ชัชพิสิฐเอามา ก็เป็นของธรรมดาไม่อัศจรรย์อะไรเลย
เทวโลก เป็นดินแดนที่มหัศจรรย์แค่ไหนกันแน่? ที่นี่จะซ่อนความน่ากลัวเอาไว้เพียงใดกัน!
รพีพงษ์คิดในใจ แต่ในสายตาก็ยังคงมีความมั่นใจ
ตั้งแต่ที่แต่งงานเข้าตระกูลฉัตรมงคลมา รพีพงษ์ก็ได้ฝึกทักษะหนึ่ง นั่นก็คือยิ่งเจอปัญหายิ่งฝ่าเข้าไป
ทักษะแบบนี้ ทำให้รพีพงษ์ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับอำนาจใดๆบนโลกนี้ และไม่เกรงกลัวการท้าทายใดๆ จากคนบนโลกนี้!
“พวกคุณ……พูดอะไรกันหรือเมื่อครู่ โลกนั่นโลกนี่ อะไรกัน ทำไมฉันฟังไม่เข้าใจ?”
ผลินถามอยู่ข้างๆ สายตาที่ไม่รู้เรื่องอะไร มองไปยังรพีพงษ์และปัณฑา
รพีพงษ์พูดนิ่งๆ ว่า “คุณฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ขอบคุณคุณมากที่พาพวกเราเข้าเมือง ตอนนี้พวกเราก็ควรแยกกันได้แล้วล่ะ”
พูดจบ รพีพงษ์ก็บอกปัณฑา เตรียมจะแยกกับผลิน
“พวกคุณคิดจะไปไหนกันล่ะ?” ผลินพูดเสียงดังขึ้นมา ตอนที่รพีพงษ์กำลังหันตัวออกไป
รพีพงษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่ก็คือปัญหาอย่างหนึ่งเหมือนกัน
เมื่อครู่ที่เห็นผลินจ่ายเงินไป รพีพงษ์เห็นว่าเงินที่เทวโลกใช้ก็ต่างกับที่โลกอยู่เหมือนกัน
เงินตราของที่นี่ทำขึ้นจากทองคำ
ทองคำ รพีพงษ์ไม่ขาดแคลน ในห้องนิรภัยใต้ดินของธนาคารโลก รพีพงษ์เอาทองคำเก็บไว้ในนั้นหนึ่งห้องเต็มๆ
เพียงแต่ ครั้งนี้มาที่เทวโลก รพีพงษ์ไม่ได้พกพาทองคำพวกนั้นมาด้วย
ดูเหมือนว่าจะมองออกว่าในใจของรพีพงษ์คิดอะไร ผลินก็เดินมาตรงหน้าของรพีพงษ์ แล้วพูดเสียงต่ำว่า “ถ้าคุณยังไม่รู้จะไปที่ไหนล่ะก็ ก็ไปพักที่บ้านฉันก่อนก็ได้ แต่ห้องรับแขกยังเหลืออยู่อีก2ห้อง เกรงว่าคุณจะรังเกียจ”
“ปัณฑา คุณว่าไง? ”
รพีพงษ์ถาม เขารู้ดีว่า ภูตน้อยตัวนี้ไม่เหมือนคนทั่วไป ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องถามความเห็นของธอก่อน
“เอาเถอะ ฉันว่าเธอชอบรพีพงษ์เข้าแล้ว ก็เลยอยากรั้งเขาไว้ล่ะสิ แต่ว่าตอนนี้ฉันเริ่มหิวแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ไปแล้วกัน”
ถูก “เด็ก” พูดความในใจตนเองออกมา ผลินก็หน้าแดงกว่าเดิม
“งั้นก็รบกวนคุณผลินแล้วล่ะ” รพีพงษ์พูดเสียงเบา
เดินตามผลินขึ้นหน้าไป ไม่นานก็มาถึงสถานที่เงียบๆ แห่งหนึ่ง
บ้านก็ไม่กว้างมาก แต่เมื่อเทียบกับคฤหาสน์ของตระกูลลัดดาวัลย์แล้ว มันแตกต่างกันมาก
“เชิญเข้ามาก่อน คุณไม่ต้องเกรงใจไปนะ” ผลินพูดเสียงต่ำ
“คุณอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ?” รพีพงษ์เดินเข้ามาในบ้าน แล้วก็ถามไปอย่างนั้น
“เปล่า ฉันอยู่กับแม่”
ตอนที่กำลังพูด ด้านในห้อง ก็มีผ้าคนหนึ่งเดินออกมา
“ลิน กลับมาแล้วหรือ? ”
ตอนที่พูด ผ้าก็เงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็เห็นรพีพงษ์กับปัณฑากำลังยืนอยู่ข้างๆ ผลิน
“สองท่านนี้คือ?” ป้าดูสงสัย ว่าทำไมอยู่ดีๆ ในบ้านถึงมีผู้ชายและเด็กอีกคนหนึ่งได้?
รพีพงษ์เดินเข้าไปพูด “พวกเราเป็นเพื่อนของคุณผลินครับ วันนี้อยากจะรบกวนพักที่นีสักคืน เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเราก็จะไป ถ้าคุณป้าคิดว่าเป็นการรบกวน เดี๋ยวพวกเราจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
แม่ของผลินได้ยินดังนั้น ก็มองๆ รพีพงษ์
ไม่นาน ใบหน้าของเธอก็ยิ้มออกมา
“ไม่รบกวนหรอกจ่ะ ไม่รบกวน ในเมื่อเป็นเพื่อนของลิน ก็พักที่นี่แหละ จะอยู่นานเท่าไรก็ได้” แม่ของผลินยิ้มพูด
ก็น่าแปลก รพีพงษ์ตัวสูงลิ่ว ความเป็นผู้ดีของเขาก็ต้องเผยออกมาให้เห็นเป็นธรรมดา ขอเพียงคนที่มองออกเห็นเข้า ก็รู้ได้ว่าเขาไม่ธรรมดา
“ลิน มีแขกมา ก็ไปรีบตักน้ำตักท่ามาให้เขาสิลูก เด็กคนนี้นิ ไม่รู้อะไรเลยนะ”
พูดไปดังนั้น แม่ของผลินก็ลากรพีพงษ์มานั่ง
“เด็กน้อยคนนี้คือ……”
“ใครบอกว่าฉันเป็นเด็ก!” ปัณฑาสายตาโกรธออกมา
รพีพงษ์ก็รีบดึงปัณฑาที่กำลังโมโหไว้ แล้วพูดไปว่า “คุณป้าครับ เธอคือเพื่อนผมคนหนึ่งครับ ชื่อว่าปัณฑา แต่ว่า สิ่งที่เธอไม่ชอบที่สุด ก็คือการถูกเรียกว่า เด็ก”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง ป้ารู้แล้วล่ะจ่ะๆ วัยรุ่นสมัยนี้ล้วนอยากมีความคิดเป็นของตัวเองกันทั้งนั้นแหละนะ”
ป้ายิ้มพูด “คุณชายรพีพงษ์อยู่ที่ไหนกันล่ะ ทำกิจการอะไร ที่บ้านมีใครบ้างล่ะ? แต่งงานหรือยัง?”
ถามออกมามากมายทีเดียวแบบนี้ ทำให้รพีพงษ์ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน