พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1531 กฎธรรมชาติ
รู้ไหม รพีพงษ์เป็นเขยไร้ประโยชน์มาเป็นเวลา 3 ปีเต็ม ไม่คิดว่าตอนนี้อยู่ในเทวโลก ยังมีคนอยากได้ตนเองเป็นลูกเขย!
แน่นอนว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างแม่ของผลินที่อยู่ตรงหน้ากับชลิตา แม่ของผลินมีความเมตตาอ่อนโยนมากกว่า อย่างไรเสียในโลกนี้มันยากที่จะมีแม่ยายที่แปลกประหลาดเท่าชลิตาอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ถึงกระนั้น รพีพงษ์ก็ไม่ต้องการเป็นเขยแต่งเข้าอีก
“หรือว่า ตนเองดูเหมือนเขยแต่งเข้าขนาดนั้นเชียวหรือ?” รพีพงษ์หัวเราะอย่างจำใจ
“เกิดอะไรขึ้น คุณรพี คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร” จินตราถามด้วยความประหลาดใจ
ในขณะนี้เอง ผลินก็เดินมา
แม้เธอจะไม่รู้ว่าแม่ของเธอเพิ่งพูดอะไรกับรพีพงษ์ แต่จากการแสดงออกของรพีพงษ์ เธอสามารถตระหนักได้ว่า แม่ของเธอต้องพูดเรื่องเหลวไหลอีกครั้งแน่นอน
“แม่คะ แม่กำลังพูดเรื่องอะไรคะ?”
ผลินกล่าวถาม
จินตรามองลูกสาวของเธอแล้วกล่าวตามจริงว่า “ฉันต้องการให้คุณรพีอยู่ในบ้านของพวกเรา และเป็นลูกเขยของฉัน ลูกคิดว่าไง!”
“แม่…..แม่พูดแบบนั้นได้ยังไง?”
ผลินหน้าแดงไปถึงโคนหู เธอมองแม่ด้วยความตำหนิ อายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
“ลูกว่ายังไง เมื่อคืนพวกเราคุยกันมากมาย แม่เป็นแม่ของลูก ลูกคิดอะไรอยู่แม่รู้ทุกอย่าง เห็นได้ชัดว่าลูกตกหลุมรักผู้ชายคนนี้แล้ว แม่พูดถูกไหมล่ะ?”
จินตรากล่าวอย่างไม่ยี่หระ ผลินกัดริมฝีปากและไม่กล่าวอะไร
“ไม่เห็นจะมีอะไรน่าอายเลย ผู้ชายและผู้หญิงโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ควรจะต้องแต่งงาน จริงไหม? คุณรพี?” จินตรากล่าวถาม
รพีพงษ์ยิ้มเล็กน้อย หลังจากรักษาอาการป่วยของจินตราจนหายแล้ว ดูเหมือนเธออารมณ์ดีเป็นพิเศษ ดังนั้นเมื่อเธอพูดขึ้นมาจึงไม่อ้อมค้อม แต่ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าจินตราเป็นคนจริงใจ
“คุณป้า สิ่งที่คุณพูดนั้นถูกต้อง”
คำพูดของรพีพงษ์ ทำให้ผลินรู้สึกประหลาดใจ
เธอคิดว่ารพีพงษ์จะปฏิเสธแม่ของเธอ และหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็คือรพีพงษ์เห็นด้วยกับมุมมองของแม่เธอ
“ผลิน ลูกเห็นไหม คุณรพีก็เห็นด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าจัดการเรื่องใหญ่เสร็จแล้ว แม่จะหาฤทธิ์ดีจัดงานแต่งงานให้ลูกสองคน” จินตรากล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผลินรู้สึกเขินอาย ดูเหมือนว่าแม่อยากจะให้ตนเองแต่งงานจริง ๆ
“ช้าก่อน คุณป้า”
รพีพงษ์หยุดแม่ของจินตราไว้ แล้วกล่าวว่า “ที่ผมเห็นด้วยเมื่อสักครู่ นั้นหมายความว่าผมเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพูดเมื่อสักครู่”
“มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เมื่อผู้ชายและผู้หญิงโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ควรจะแต่งงาน มันถูกต้องตั้งแต่แรก เพียงแต่….…”
“อะไรนะ?” จินตราถามด้วยความสงสัย
“เพียงแต่ว่าผมรพีพงษ์ไม่มีวาสนานี้ หวังว่าผลินจะได้พบกับคนที่มีวาสนาในอนาคตต่อไป” รพีพงษ์กล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ ผลินก็มองไปที่รพีพงษ์ด้วยความประหลาดใจ
จินตรายิ่งงงเข้าไปใหญ่
“ผมแต่งงานแล้ว”
ขณะที่พูด รพีพงษ์ก็หยิบรูปถ่ายออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
จินตราและผลินมองไปที่รูปถ่ายพร้อมกัน
เป็นรูปถ่ายที่ค่อนข้างเก่า ในภาพเป็นอารียาและหนูลินที่กำลังยิ้มอย่างสดใส
“นี่คือภรรยาและลูกสาวของผม” รพีพงษ์แนะนำ
“คุณรพี ภรรยาของคุณสวยมาก” ผลินกล่าวแล้วถอนหายใจ สายตาของเธอมีแววผิดหวัง
“พูดมาตั้งนาน ที่แท้คุณแต่งงานแล้ว เมื่อสักครู่ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจผิดไปเอง”
จินตรากล่าวอย่างผิดหวัง
รพีพงษ์เก็บรูปถ่ายด้วยความระมัดระวัง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณป้า ผลิน คุณสองคนเป็นเพื่อนคนแรกที่ผมพบในเมืองแฟรี่ หากพวกคุณมีเรื่องอะไรให้ช่วย ก็พูดออกมาได้เลย ผมรพีพงษ์จะต้องช่วยเหลือแน่นอน แต่ขออย่าให้ผมเป็นลูกเขยคุณเลย”
เมื่อเห็นดวงตาที่ขี้เล่นเล็กน้อยของรพีพงษ์ จินตรารู้สึกอายเล็กน้อย
“ถูกต้อง คุณรพีพูดถูก”
จินตรารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็ค่อย ๆ กินนะ ฉันจะออกไปซื้อของ แล้วมาทำอาหารอร่อยให้พวกคุณกินตอนเที่ยง”
“ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น อีกสักครู่ผมจะพาปัณฑาไปเที่ยวในเมือง และจะทานอาหารเที่ยงข้างนอก”
รพีพงษ์กล่าวปฏิเสธ
“เมื่อคืนฉันได้ยินผลินพูดว่า คุณได้ล่วงเกินตระกูลภูสรีดาวใช่ไหม? งั้นช่วงนี้ก็อย่าออกไปข้างนอกอยู่แต่ในบ้านก่อน รอให้เรื่องซาก่อน แล้วค่อยออกไป”
จินตรากล่าวต่อ “อีกอย่าง เมื่อคืนนี้คุณช่วยฉันไว้ และฉันทำอาหารอร่อยให้คุณทานมันก็เป็นเรื่องสมควร”
พูดจบ จินตราก็เดินออกไปทันที
ภายในบ้านเหลือเพียงรพีพงษ์ ผลิน ปัณฑาสามคนเท่านั้น
ปัณฑายังคงกินขนม ราวกับว่าไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น อารมณ์ของเธอยังอยู่กับการกินขนมอันวิจิตรงดงาม
บรรยากาศอึมครึมเล็กน้อย
“คุณรพี อย่าฟังคำพูดของแม่ฉัน แม่เป็นคนที่ชอบพูดจาเหลวไหล เธอทำเหมือนว่าฉันจะไม่ได้แต่งงาน” ผลินกล่าวทำลายความสงบ
รพีพงษ์กล่าวเบา ๆ “วางใจเถอะ คุณป้าเป็นห่วงคุณมันก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่ไม่รู้ว่าพ่อของคุณ?…….”
“พ่อของฉัน ได้เสียชีวิตตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเด็ก”
เมื่อผลินกล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของเธอแดงเล็กน้อย
รพีพงษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่คือเทวโลก ได้ยินญาณิดาเคยพูดว่า นักฝึกวิชาในเทวโลกนั้นมีชีวิตเป็นอมตะ
คิดว่าคนธรรมดาของที่นี่ก็น่าจะมีอายุยืนยาว แต่ทำไมพ่อของผลินถึงเสียชีวิตในวัยหนุ่มเช่นนี้?
“ขอละลาบละล้วงถามว่า พ่อของคุณตายไปตอนอายุเท่าไหร่” รพีพงษ์กล่าวถาม
“อายุไม่ถึงสี่สิบปี มีอะไรหรือเปล่า?” ผลินกล่าวถาม
รพีพงษ์ส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไร แค่ถามเฉย ๆ คนตายแล้วไม่สามารถฟื้นคืนได้ คุณผลิน ผมหวังว่าคุณจะไม่คิดมาก”
“ค่ะ ฉันรู้ ฉันไม่ค่อยมีความประทับใจต่อพ่อเท่าไหร่ แต่ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนกล้าหาญ เหมือนกับ……..เหมือนกับคุณรพี”
ผลินก้มศีรษะลงและกล่าวเบา ๆ แล้วหันกลับมาเก็บจานชาม
“ฉันทานอิ่มแล้ว!”
ปัณฑาลูบท้องของตนเอง และยิ้มด้วยความพึงพอใจ
บางครั้ง รพีพงษ์สงสัยว่าท้องของเด็กน้อยคนนี้ทำมาจากยางหรือเปล่า ทำไมถึงกินเยอะเช่นนี้!
“ไปเถอะ รพีพงษ์พวกเราไปเดินเล่นกันไหม?” ปัณฑากล่าว หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นและเตรียมตัวจะเดินออกไป
“ช้าก่อน”
รพีพงษ์เรียกปัณฑาเอาไว้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ผมรู้สึกว่า สิ่งที่แม่ของผลินพูดเมื่อสักครู่นั้นมีเหตุผล พวกเรามาเมืองแฟรี่ในครั้งนี้ พวกเราต้องถ่อมตน และไม่ควรทำตัวเป็นจุดเด่นจนเกินไป”
“รพีพงษ์ คุณหมายความว่าอย่างไร!” ปัณฑากล่าว
“ตอนนี้ตระกูลภูสรีดาวจะต้องสืบหาที่อยู่ของพวกเราไปทั้งเมืองแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น วันนี้พวกเราจะไม่ออกไปข้างนอก” รพีพงษ์กล่าว
หลังจากที่ปัณฑาฟัง ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ปัณฑาเดินวนไปรอบ ๆ รพีพงษ์ และมองด้วยสายตาแปลก ๆ
“ทำไมคุณถึงได้มองผมเช่นนี้” รพีพงษ์กล่าวถาม
“รพีพงษ์ คุณเปลี่ยนไปแล้ว”
ปัณฑากล่าวเบา ๆ
“ผมเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปตรงไหน?” รพีพงษ์ถามอย่างขบขัน
“คุณเปลี่ยนเป็นคนขี้ขลาด รพีพงษ์ที่ฉันเคยรู้จักเป็นคนไม่ย่อท้อ แต่ตอนนี้คุณกลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าออกไปไหน หลบอยู่แต่ในบ้านหลังนี้ หรือว่าคุณจุดประสงค์ที่พวกเรามาที่นี่แล้ว?”
ปัณฑากล่าวด้วยความโกรธ
สีหน้าของรพีพงษ์นิ่ง โชคดีที่ผลินไม่อยู่ที่นี่ หากเธอเห็นภาพนี้ เธอจะแปลกใจที่เด็กเย่อหยิ่งคนนี้กล้าตำหนิตนเอง
“ปัณฑา คุณคิดผิดแล้ว ผมก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” รพีพงษ์กล่าวเบา ๆ
“แล้วทำไมคุณถึง……..”
“ผมไม่ได้บอกว่าจะไม่ออกไป เพียงแต่มันขึ้นอยู่กับโอกาส” รพีพงษ์กล่าว
“โอกาส?”
ปัณฑารู้สึกสับสนเล็กน้อย
“ถูกต้อง” รพีพงษ์เดินมาที่หน้าต่างแล้วมองดูทิวทัศน์ภายนอก
“ตอนกลางวันพวกเราจะไม่ออกไปข้างนอก แต่ไม่ได้หมายความว่า ตอนกลางคืนพวกเราจะไม่ออกไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ ปัณฑาก็เข้าใจทันที
“โอเค พวกเราจะไปสำรวจเมืองแฟรี่ในตอนกลางคืน!”
ปัณฑากล่าวอย่างตื่นเต้น