พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1541 พลิกแพลงได้ทุกเรื่อง
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1541 พลิกแพลงได้ทุกเรื่อง
บวรวิทย์หัวเราะเยาะ “คุณมีความสามารถไม่เท่าคนอื่น ผมสามารถคิดได้ว่า คุณกำลังขอความเมตตาจากผม? ”
น้ำเสียงของบวรวิทย์เต็มไปด้วยความลำพอง เขาจะต้องได้กระบี่ที่อยู่ในมือของรพีพงษ์มาครอบครอง ตอนนี้รพีพงษ์ก็พูดออกมาแล้ว มันจะดีกว่าถ้าให้เกียรติรพีพงษ์ ถ้ารพีพงษ์สามารถมอบกระบี่เล่มนี้ให้กับตนเองได้ ตนเองก็จะปล่อยรพีพงษ์ไป?
สำหรับเขาแล้วพ่อบ้านเล็ก ๆ คนนี้ไม่สำคัญเท่าอาวุธดี
“ผมไม่รู้ว่าคุณชายบวรวิทย์กำลังคิดอะไรอยู่ แต่สิ่งที่คุณชายบวรวิทย์กำลังทำอยู่ตอนนี้เป็นสิ่งที่ขาดทุน”
รพีพงษ์ได้ฆ่าคนที่อยู่ในระดับแดนดั่งเทพชั้นยอดไปแล้วสิบคน ถ้าต่อสู้กับบวรวิทย์คนเดียว ตนเองถึงจะรู้สึกว่ากดดัน แต่ก็ไม่ถึงกับถูกบดขยี้
แม้ว่าบวรวิทย์จะไม่พอใจ แต่ก็ต้องถอยให้ก้าวหนึ่ง
เป้าหมายของเขาคือกระบี่สยบเซียนของรพีพงษ์ เขารวบรวมพลังทั้งหมด จากนั้นก็มีแสงสีทองก็ปกคลุมเขา แล้วเขาก็กางมือออก และตะโกนว่า “มังกรมหาสมุทร!”
แค่รู้สึกว่ามีหัวมังกรมากมายกำลังวิ่งเข้าหารพีพงษ์ รพีพงษ์ยิ้มเยาะเย้ย หันหลังแล้วกล่าวว่า “เปลี่ยนนภา…..”
ชั่วพริบตากระบวนท่ามังกรมหาสมุทรก็กระแทกพื้นโดยตรง บวรวิทย์สูญเสียพลังไปมาก เขาสามารถสร้างโลกใบเล็กของตนเองได้ แต่เขาไม่เคยเห็นคนที่คล่องแคล่วเหมือนรพีพงษ์มาก่อน
เขามองดูสถานที่นั้นด้วยความประหลาดใจ ฝุ่นตลบไปทั่ว แผ่นดินสั่นสะเทือน และหินตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
เขายังแอบลำพองใจ ถ้าฝ่ามือนี้สามารถกระทบร่างของรพีพงษ์ได้ ถึงแม้ว่าจะมีเก้าชีวิตก็ไม่สามารถรอดได้
“เป็นไปได้อย่างไร ทำไมถึงแข็งแกร่งเช่นนี้ได้ ไม่! ไม่มีใครแข็งแกร่งกว่าผม …….”
เขาอดไม่ได้ที่จะคลุมศีรษะกรีดร้อง ไม่เคยรู้สึกท้อใจเช่นนี้มาก่อน
เขาจะต้องได้ครอบครองกระบี่สยบเซียนเล่มนี้ จากนั้นก็ทำให้รพีพงษ์อับอาย!
แต่ไม่คาดคิดว่า ไอ้หมอนี้จะมีพรสวรรค์มากเช่นนี้!
นี่เป็นการต่อสู้ครั้งที่สอง และฝีมือของทั้งสองคนนั้นก็สูสีกัน
หารู้ไม่ว่า รพีพงษ์ได้รับการสืบทอดเทพเจ้าระดับสูงจากจอมมารชูร่าอยู่ในร่างกาย!
พ่อบ้านเตชิตปลอบโยนเขาอยู่ด้านข้าง แต่กลับถูกบวรวิทย์เตะอย่างแรง
ตอนนี้ในสายตาของเขาพ่อบ้านเตชิตเป็นเพียงคนที่ชอบสร้างปัญหา และไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
พ่อบ้านเตชิตไม่กล้าพูดอะไรสักประโยค
เทวเทพเจ้าบ้านของตระกูลภูสรีดาวเพิ่งกลับมาถึงบ้าน รู้สึกว่ามีไอพิฆาตที่แข็งแกร่งมาจากห้องของบวรวิทย์ ทำให้เขารู้สึกใจคอไม่ดี
สิ่งที่นักฝึกวิชากลัวที่สุดคือจิตไม่นิ่ง แล้วมันเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดธาตุไฟเข้าแทรก ถ้าเบาคือสูญเสียผลการฝึกตน แต่ถ้ารุนแรงนั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต
เมื่อรพีพงษ์เห็นว่าบวรวิทย์ได้จากไปแล้ว ก็ออกมาจากโลกใบเล็ก ๆ สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และรู้สึกว่าตนเองนั้นเหมือนเป็นผงธุลี ถ้าตกในน้ำมือของนรเทพก็เหมือนลูกแกะที่รอถูกสังหาร
ปัณฑาหัวเราะเบา ๆ “เชอะ ฉันคิดว่าผู้ชายคนนั้นเก่งกาจแค่ไหน แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณ”
“ไม่! คุณคิดผิด ความแข็งแกร่งของเขากับผมนั้นแตกต่างกันไม่มาก เพียงแต่สิ่งที่ผมมีนั้นเขาไม่มี ตอนนี้เขายังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ และเขาจะไม่ยอมจบง่าย ๆ เมื่อสร้างศัตรูไว้แล้ว ตอนนี้พวกเราทำได้เพียงแค่สู้ไม่ถอย”
เจ้าบ้านของตระกูลภูสรีดาวเป็นคนอย่างไร? ไปเยี่ยมเยียนดีกว่า
ก่อนอื่นพวกเราต้องกุมอำนาจเชิงรุกอยู่ในมือก่อน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะมีอำนาจต่อรอง ตอนนี้ตนเองยังไม่มีความสามารถพอ จึงต้องใช้วิธีอื่น
จากนั้นเขาก็เดินทางตรงไปที่บ้านของตระกูลภูสรีดาวในเมืองแฟรี่ แต่ไม่รู้ว่าบ้านของตระกูลภูสรีดาวนั้นอยู่ที่ไหน แค่ถามใครสักคนก็สามารถรู้แล้ว
เทวเทพยืนอยู่นอกห้องของบวรวิทย์ เห็นไอดำปกคลุมไปทั่วหลังคา นราธิปก็ยังมาไม่ถึง เขาจึงใช้เท้าเตะประตูออกแล้วเดินเข้ามา
เห็นบวรวิทย์นั่งอยู่บนพื้น เหงื่อเต็มแผ่นหลัง ดูทรมานเป็นอย่างมาก
เขาจ้องเขม็งไปที่พ่อบ้านเตชิต เขาได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาบ้าง แต่ไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้
เขารีบไปนั่งอยู่ข้างหลังบวรวิทย์ทันที และใช้พลังเทพในร่างกายตนเองเพื่อถ่ายพลังเซียนให้บวรวิทย์ หลังจากนั้นไม่นานบวรวิทย์ก็สงบลง
ไม่ได้บาดเจ็บจากการถูกคนอื่นทำร้าย แต่เป็นเพราะว่าตนเองรู้สึกโกรธจนทำร้ายตนเอง
เขารู้ว่าลูกชายตนเองไม่เอาไหน และก็รู้ด้วยว่าบวรวิทย์มีความทะนงตนเป็นอย่างมาก จึงทำให้เขาเดินอยู่ในเส้นทางที่ผิด
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำให้ลูกถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้ได้?”
ขณะนี้นราธิปก็มาถึงพอดี ตนเองรู้ว่าเกิดความผิดปกติกับบวรวิทย์ ถึงได้มาที่นี่ มิเช่นนั้นตนเองก็ไม่อยากมา
ไม่ใช่วันแรกที่บวรวิทย์ดูหมิ่นอาจารย์ ในสายตาของบวรวิทย์นั้น นราธิปพักอาศัยอยู่ในตระกูลภูสรีดาว ฉะนั้นควรเป็นทาสของตระกูลภูสรีดาว
แต่หารู้ไม่ว่า ที่นราธิปทำตามที่บวรวิทย์ต้องการนั้นเพราะเห็นแก่หน้าของเทวเทพ
เมื่อเห็นนราธิปเดินเข้ามา เทวเทพก็รู้สึกว่ามีที่พึ่ง และถามว่า “คุณธิป ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คุณช่วยดูลูกผมหน่อย”
นราธิปเห็นว่าบวรวิทย์ไม่เป็นไร แค่พักผ่อนเพียงเล็กน้อยเพื่อฟื้นฟู จึงกล่าวตามความจริงว่า “ในโลกนี้มีคนที่แข็งแกร่งมากมาย ตอนนี้คุณเจอรพีพงษ์แค่คนเดียวก็กลายเป็นแบบนี้ มันจะทำให้คุณไปได้ไม่ไกล คนหนุ่มที่เก่งกว่าคุณนั้นมีมากมาย เจ้าหนู คุณต้องรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า”
“ไม่! ผมไม่ยอม อาจารย์ เขามีกระบี่สยบเซียนอยู่ในมือ ผมอยากครอบครองกระบี่เล่มนั้น ขอแค่ผมมีกระบี่เล่มนั้น ผมก็เป็นผู้แข็งแกร่ง”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เทวเทพก็ขมวดคิ้วจนแน่น กระบี่สยบเซียนนั้นไม่ใช่ว่าใครก็สามารถจับได้
จึงเรียกพ่อบ้านเตชิตมาทันที เพื่อสอบถามต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ แล้วกล่าวกับพ่อบ้านเตชิตว่าถ้าประพฤติตัวไม่ดีออกนอกลู่นอกทาง แล้วยังใช้ชื่อของตระกูลภูสรีดาวไปทำร้ายผู้คน ก็จะไม่ปล่อยพ่อบ้านไว้เด็ดขาด
เรื่องนี้ทั้งหมดเกิดจากคนรับใช้เพียงคนเดียว แม้ว่าพ่อบ้านเตชิตจะเป็นที่โปรดปราน แต่ก็ยังต้องแยกแยะว่าอะไรสำคัญกว่า
“ท่านพ่อ ผมจะฆ่าไอ้เด็กเปรตรพีพงษ์ มันเป็นตัวอะไรถึงได้กล้ามาทัดเทียมกับผม?”
เทวเทพมองไปที่นราธิป และถามว่า “คุณธิป มีความคิดเห็นอย่างไร……”
ขณะนี้เอง มีคนรับใช้มารายงานว่า มีคนชื่อรพีพงษ์ต้องการพบเจ้าบ้านของตระกูลภูสรีดาว บอกว่ามีของขวัญล้ำค่าจะมอบให้
เทวเทพและนราธิปไม่รู้ว่ารพีพงษ์กำลังเล่นเกมอะไรอยู่?
เดิมบวรวิทย์เซื่องซึม แต่เมื่อได้ยินว่าศัตรูบุกมาถึงบ้าน ก็รู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที ให้คนรับช่วยพยุงตนเองลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า “ไม่คิดว่ามันจะส่งมาถึงที่”
เทวเทพมาถึงห้องโถงใหญ่ เขาได้สั่งห้ามบวรวิทย์อย่ามาวุ่นวายอย่างเด็ดขาด และก็เห็นสายตาของนราธิปมีความสนใจรพีพงษ์เป็นอย่างมาก
รพีพงษ์กับปัณฑาเดินตามคนรับใช้ไปตามถนนเล็ก ๆ จนมาถึงห้องโถงใหญ่ ปัณฑาถามว่า “คุณจะมอบของล้ำค่านี้ให้คนอื่นจริง ๆหรือ?”
“แผนรับมือชั่วคราวที่เหมาะสม แค่มีความสามารถ ของในโลกนี้ผมสามารถยึดได้ทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นกระบี่สยบเซียนเล่มนี้รู้จักนายเพียงคนเดียวเท่านั้น?”
รพีพงษ์ยิ้มอย่างมีความหมาย เมื่อบวรวิทย์ต้องการ งั้นตนเองก็จะส่งมาให้บวรวิทย์ มันถือเป็นความหวังดี แม้ว่าบวรวิทย์จะโกรธแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมา
และถึงแม้กระบี่สยบเซียนจะอยู่ในมือของบวรวิทย์แต่ก็ไร้ประโยชน์ บางทีอาจสามารถช่วยตนเองไว้ในช่วงเวลาวิกฤติได้
ชั่วพริบตาก็เดินมาถึงห้องโถงใหญ่ รพีพงษ์กล่าวทักทายอย่างสุภาพ “ผู้น้อยรพีพงษ์ ขอคารวะท่านผู้อาวุโส”
เทวเทพมองไปที่รพีพงษ์อย่างเย็นชา และสัมผัสได้ถึงพลังที่อยู่ในตัวของรพีพงษ์ซึ่งแข็งแกร่งกว่าบวรวิทย์
ดูผิวเผินนั้นไม่มีความแตกต่างมากนัก แต่ความสงบของชายหนุ่มผู้นี้เป็นสิ่งที่บวรวิทย์นั้นเทียบไม่ได้ เขาจึงถามว่า “ถ้าไม่มีเรื่องคงไม่มาถึงที่นี่ เจ้าหนุ่ม พูดเข้าประเด็นได้เลย!”