พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1551 ความคิดของพ่อบ้าน
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1551 ความคิดของพ่อบ้าน
อาจารย์และศิษย์พวกเขาทั้งสองคนมีความรักกันอย่างลึกซึ้ง รพีพงษ์ก็ไม่อยากที่จะเป็นก้างขวางคอที่นี่ เดินไปที่หลังภูเขาเลย
ปัณฑาติดตามอยู่ข้างกายรพีพงษ์ พูดถาม : “พวกคุณฆ่ามังกรดำนั่นแล้ว เก็บมุกมังกรของมังกรดำนั่นได้หรือยัง?”
“มุกมังกรนั่นสามารถช่วยฉันฝึกตนได้คือเรื่องจริง แต่ว่าประสิทธิภาพเท่าไหร่กันเชียว?”
“จะต้องช่วยได้มากอย่างแน่นอน ทั้งหมดอยู่ในมือของคุณแล้วใช่ไหม?”
การฆ่ามังกรดำก็ไม่ใช่คุณงามความดีของเขาเพียงคนเดียว ทำไมถึงได้อยู่ที่เขาทั้งหมดสองเม็ดเลยล่ะ?ปัณฑากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ?แม้ว่าจะต้องกอบโกยของที่ยึดมาได้ แต่ก็ไม่ต้องโลภขนาดนี้
ปัณฑาได้ยินมาว่ายังมีอีกเม็ดหนึ่งที่อยู่ในมือของบวรวิทย์ จู่ๆก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาบ้างแล้ว
ปากบ่นพึมพำ ถ้าหากทั้งสองเม็ดตกไปอยู่ในมือของเขาแล้วก็ดี มุกมังกรนั่นรวบรวมพลังของมังกรดำเอาไว้ ถ้าสามารถรวมทั้งสองเข้าด้วยกันได้ งั้นจะได้ยกระดับบรรลุถึงแดนบุณอย่างสมบูรณ์ก็ไม่ใช่แค่ความฝันแล้ว
เมื่อได้ยินปัณฑาพูดแบบนี้ รพีพงษ์ก็รู้สึกเหลือเชื่อมาก มุกมังกรสองเม็ดก็ไปสู่ความสมบูรณ์แบบ ความสามารถของมังกรดำนั่นพวกเขาก็เคยได้เห็นมันมาก่อน แต่ว่ามีความน่าหวาดกลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?
“เรื่องเหล่านี้คุณรู้ได้ยังไงเหรอ?ใช้ชีวิตอยู่ในป่าหมอกมาโดยตลอดไม่ใช่เหรอ?”
“คุณก็อย่ามาดูถูกคนอื่นไปเชียว ฉันชีวิตมากว่าพันปีแล้ว ก็แค่ผลการฝึกตนไม่ได้สูงขนาดนั้น แต่สิ่งที่ฉันเคยพบเจอมา พวกคุณยังไม่เคยได้เจอมาอีกเยอะมาก”
รพีพงษ์ไม่มีกะจิตกะใจที่จะคิดมาก เขายืนยู่บนยอดภูเขาที่หลังเขาเลย มองดูในถ้ำแต่ละลูกล้วนแต่มีโซ่ตรวนทั้งนั้น
บนยอดถ้ำยังมีเวทมนตร์คาถาอีกด้วย และเวทมนตร์คาถาเหล่านี้จะต้องใช้ปราบปรามสัตว์เซียนเหล่านี้แน่นอน
เขาอยากรู้มาก ทำไมนราธิปถึงไม่ฆ่าสัตว์เซียนเหล่านี้ แล้วดูดจิตวิญญาณเทพของพวกเขา
ถึงอย่างไรก็ไม่มีสิ่งไหนที่สามารถทำให้เชื่องได้ เว้นชีวิตไว้ก็จะเป็นการทำให้เกิดหายนะได้ ฆ่าพวกเขาทิ้งก็ถือเป็นการผดุงความยุติธรรมในโลกแทนพระเจ้า
ความคิดนี้ก็ถูกบวรวิทย์ที่รีบตามมาดึงกลับมาแล้ว : “พวกสัตว์เหล่านี้แต่ละตัวช่างดุร้ายมาก คุณมีความมั่นใจที่จะรบชนะพวกเขาไหม?”
“ไม่ลองดูก็ไม่มีทางรู้ได้ หากมาทีละตัวก็ยังพอได้อยู่ แต่ถ้าหากเข้ามาพร้อมเกรงว่าจะจัดการยากหน่อย”
รพีพงษ์ไม่พูดเกินความจริงสักนิด และก่อนหน้านี้บวรวิทย์ก็เคยมาที่นี่ เคยเห็นสัตว์เซียนเหล่านี้ แต่เขานั้นเพียงแค่เห็นก็เกิดความกลัวแล้ว
วันนี้ท่านอาจารย์ของเขาต้องการพวกเขาไปฆ่าสัตว์เซียนเหล่านี้ ก็คือทำให้เขาลำบากใจ รพีพงษ์จึงตอบตกลงแล้ว เขาก็ยากที่จะปฏิเสธได้ หากทำแบบนั้นก็ช่างน่าขายขี้หน้ามากไปแล้ว
“ฉันคิดว่าก็น่าจะลองดู ฉันเชื่อว่าท่านอาจารย์ของฉันไม่มีทางที่ว่าเห็นคนกำลังลำบากแต่กลับว่าไม่เข้าไปช่วยหรอกนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ในใจของรพีพงษ์ก็ถือว่าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมอยู่ในสถานที่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทิพย์อย่างสวรรค์แบบนี้ อายุของเขาและตัวเองก็ใกล้เคียงกัน แถมยังมีอาจารย์คอยชี้แนะ แต่ยังไม่สามารถบรรลุได้ ไม่กล้าไปลอง แม้แต่ชั้นสูงสุดที่อันตราย บั้นปลายของชีวิต เขาก็ยังไม่เคยไปลอง แล้วเขาจะสามารถบรรลุได้อย่างง่ายๆขนาดนั้นได้ยังไงกัน?
อยากจะบรรลุผลการฝึกตนขึ้นสูง งั้นก็ต้องโฉบเฉี่ยวไปมาระหว่างความเป็นกับความตาย ต้องต่อสู้ในช่วงสุดท้ายของชีวิต
“พวกคุณไม่ต้องมัวอืดอาดยืดยาดกันแล้ว ฉันจะไปช่วยพวกคุณปล่อยสัตว์เซียนออกมา”
ระหว่างที่ปัณฑาพูดก็ได้กระโดดลงจากไหล่ของรพีพงษ์มาแล้ว ตรงไปยังถ้ำเพื่อทำการฉีกเวทมนตร์คาถา
นราธิปที่ยืนอยู่ไม่ไกลมาก มองวัยรุ่นสองคนนี้ เมื่อก่อนไม่ลงรอยกันเลย ตอนนี้ก็ยืนอยู่ด้วยกันพร้อมใจกันทำงามร่วมกัน นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงเลย
นี่คงเป็นความต้องการของพระเจ้าสินะ ตั้งแต่สมัยโบราณอธรรมไม่อาจสะกดข่มธรรมะได้ การต่อสู้ของสวรรค์กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว รพีพงษ์ไม่ใช่คนธรรมดา มาถึงสวรรค์แน่นอนว่ามีเหตุผลของการมาถึงสวรรค์
นราธิปก็ไม่สามารถคิดคำนวณได้ว่าตัวเองรับบทบาทเป็นอะไร เขารู้เพียงแค่ว่าพยายามทำตามสุดความสามารถของตัวเองเพื่อปกป้องความยุติธรรมของสวรรค์ และระหว่างนรเทพ ในเมื่อเส้นทางที่เลือกเดินมันไม่เหมือนกัน ก็ไม่สามารถที่จะร่วมงานกันได้
ขอเพียงแค่สัตว์เซียนทั้งสิบตัวออกมา แม้ว่านรเทพหาที่นี่เจอ เห็นพวกเขากำลังต่อสู้อยู่กับสัตว์เซียน ก็ไม่สามารถเชื่อมโยงพวกเขาและคนที่ฆ่ามังกรดำได้
เมื่อคิดถึงมังกรดำ ทันใดนั้นก็คิดถึงอะไรบางอย่างได้แล้ว ขมวดคิ้วแน่น เดินไปทางที่พวกเขาอยู่ทั้งหมด
จะไว้มุกมังกรนั่นของมังกรดำที่ตัวไม่ได้ นั่นก็จะเป็นการทิ้งหลักฐานที่ฆ่ามังกรดำไว้ ขอเพียงแค่นรเทพพบเจอ งั้นก็ไม่อาจจะแก้ตัวได้แล้ว
ภายในโรงเตี๊ยมในเมืองแฟรี่ เพียงครู่เดียวคนก็เข้ามาไม่น้อยแล้ว แม้แต่เถ้าแก่นั่นก็มาที่หน้างานเองด้วย ในช่วงเวลานี้ยุ่งมากเลยทีเดียว
ใบหน้าของเทวเทพกลับว่าเต็มไปด้วยความกังวล นันท์ธรพูดกล่าว : “ตอนนี้อยู่ข้างท่านอาจารย์ของเขา คิดๆดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นอะไร”
“คนของนรเทพจำนวนมากมาถึงที่นี่แล้ว ที่มาก็เพื่ออยากจะมาหาศัตรูเพื่อมังกรดำ หาที่นี่ไม่เจอ สักวันหนึ่งก็ต้องตามหาจนเจอ พละกำลังและนิสัยของนรเทพแม้ว่าจะไม่เคยได้เห็นกับตา แต่ว่าก็ได้ยินมาไม่น้อยเลย อยากจะฆ่าลูกชายคนนั้นของฉัน ก็ทำได้ง่ายดายเหมือนกับขยี้มด”
พูดไปพลางถอนหายใจไปพลาง เมื่อก่อนไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร พ่อคนนี้ก็สามารถเป็นกำบังให้เขาได้ แต่วันนี้ทำได้เพียงพึ่งพาตัวของเขาเอง
ตัวการที่ก่อกรรมทำชั่วเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพ่อบ้านคนนั้น เทวเทพนึกถึงที่นี่ได้ ไม่มีใครไป ก็พาพ่อบ้านเตชิตนั่นขึ้นมาแล้ว
เดิมทีพ่อบ้านเตชิตก็คิดว่าทุกอย่างนี้น่าจะมาถึงจุดจบได้แล้ว เขาก็ทำตัวถ่อมตรงอย่างตรงไปตรงมา แต่เทวเทพก็นึกถึงเขาได้แล้ว
เขาคุกเข่าลงกับพื้นโขลกหัวไม่หยุดหย่อน : “เรื่องนี้เป็นความคิดของคุณชาย ผมก็แค่ทำตามคำสั่งที่คุณชายสั่งมาเท่านั้น ท่านจะโทษผมไม่ได้หรอกนะ?”
“ลูกชายที่ฉันเลี้ยงมากับมือมีนิสัยอย่างไง ฉันเองจะไม่รู้เลยงั้นเหรอ?ถ้าไม่ใช่เพราะแกคอยยุยงเขาให้ทำร้ายรพีพงษ์ แล้วจะบังเอิญทำพลาดไปฆ่ามังกรดำได้อย่างไรล่ะ ทำให้นรเทพขุ่นเคือง วันนี้ฉันไม่ฆ่าแก ทุบขาทั้งสองขาของแกให้หัก ต่อไปก็ให้แกขอทานเลี้ยงชีพ บทลงโทษนี้สำหรับแกแล้วก็เป็นการลงโทษที่ไม่เลวเลย”
พูดแล้ว เขาก็พูดตะโกนออกมา : “ใครก็ได้มานี่!”
พูดแล้ว คนประมาณสามสี่คนก็มาหักขาทั้งสองข้างของพ่อบ้านเตชิต ให้ถ้วยเขาไปใบหนึ่ง โยนไปที่หน้าประตู
เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน คิดไม่ถึงว่าเขาเป็นพ่อบ้านของตระกูลภูสรีดาวอยู่ดีๆ เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นขอทานแล้ว
ทั้งหมดนี่รพีพงษ์เป็นคนทำ ถ้าไม่ใช่รพีพงษ์ ทุกอย่างนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น เขาไม่สามารถยอมวางมือยุติเรื่องราวแบบนี้ได้
ในเมื่อคนของนรเทพกำลังหาตัวรพีพงษ์ งั้นตัวเองจะไม่ชี้แนะพวกเขาได้อย่างไรกันล่ะ?
คนของนรเทพแต่ละคนต่างก็มีความสามารถอย่างมหัศจรรย์ ขอแค่เอาข่าวคราวนี้ทำเป็นเงื่อนไข พวกเขาจะต้องรักษาขาทั้งสองข้างของตัวเองให้หายดีได้แน่นอน และตัวเองก็ได้กลายมาเป็นสมาชิกของพวกเขาด้วย
ขอเพียงแค่เข้าไปถึงข้างกายของนรเทพ เอาใจนรเทพให้ดีๆ เขาก็ยังคงเหนือมนุษย์ได้ตามเดิม
เรื่องประจบสอพลอแบบนี้ เขาถนัดเลยเชียว มองไปที่สองขาของตัวเองอย่างไร้ความหวัง เงยหน้ามองดูแผ่นป้ายของตระกูลภูสรีดาว ในใจแอบสาบานว่าจะต้องแก้แค้นให้ได้
เขาเหมือนกับหนอนตัวหนึ่ง ที่ค่อยๆคืบคลานไปอย่างช้าๆ ทนกับความเจ็บปวดของขาที่หัก มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยม
คนที่รู้จักเขาเห็นเขาเป็นแบบนี้ ต่างก็ลุกขึ้นยืนพร้อมชี้ๆกัน กาลครั้งหนึ่งที่เคยรุ่งโรจน์ ทำร้ายคนมานับไม่ถ้วน วันนี้ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นผลกรรมของเขา
เขาตะเกียกตะกายมาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม ก็รออยู่ที่นั่น รอตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นยังพระอาทิตย์ตกดิน เห็นเพียงคนชุดดำมาเดินออกมา ทันใดนั้นก็กอดขาของคนเขาไว้แล้ว
“คนขอทานตัวเหม็นอย่างแก ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้นะ ก็ไม่ดูเลยว่ากูเป็นใคร อยากจะมาแตะต้องก็มาได้งั้นเหรอ?”
คนๆนั้นเตะเขาอย่างเต็มแรง ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่ามีคำสั่ง เขาไม่ยอมมาสถานที่เล็กๆแน่นอน
พ่อบ้าน รีบเอ่ยปากพูดทันที : “ฉันสามารถให้ข้อมูลที่คุณต้องการได้นะ!”