พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1567 วรยุทธของนฤเบศร์
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1567 วรยุทธของนฤเบศร์
ในเขตของนฤเบศร์ จะทำอะไรก็ไม่เกินไป
ตั้งแต่เริ่ม พวกเขามันจะถูกตามตัว ถ้าไม่ใช่เพราะคนของนฤเบศร์ต้องการหาเรื่องพวกของรพีพงษ์ รพีพงษ์ก็คงจะไม่ลงมือกับนฤเบศร์
“คุณลุงเบศร์ ผมสนิทกับจิรันดน์เด็กแต่เด็ก เรื่องของลุงกับพ่อผม มันไม่เกี่ยวอะไรกับคนรุ่นผมเลย ผมนับถือลุงเป็นอาวุโส ลุงก็ควรจช่วยผมหน่อย”
“ระหว่างลุงกับพ่อเอ็ง มีแต่ความแค้น ไม่มีมิตรภาพ” นฤเบศร์พูดเสียงเย็น
นฤเบศร์ไม่ชอบที่ตระกูลภูสรีดาวมีตำแหน่งในเมืองแฟรี่ ชื่อเสียงอะไรดีๆ ก็เป็นของตระกูลภูสรีดาว ไอ้ตระกูลภูสรีดาวมันมีดีอะไรกัน
ตำแหน่งในเมืองแฟรี่ ก็อาศัยแค่นราธิปคนเดียวที่คอยค้ำชูอยู่ ถ้าไม่มีนราธิปก็คงไม่มีบวรวิทย์ในวันนี้
ตระกูลภูสรีดาวก็มีแค่พรสวรรค์ของบวรวิทย์ที่พอจะอวดได้ ถ้าพูดถึงเงินทอง ตระกูลภูสรีดาวไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของตระกูลพวกเขาได้หรอก
พอนึกถึงเรื่องพวกนี้ ก็นึกถึงโอกาสทางเศรฐษกิจทั้งหลายที่ถูกตระกูลภูสรีดาวแย่งชิงไป ทำให้ตระกูลพิมพ์สารขาดรายได้อย่างมาก
ว่ากันว่าตลาดก็เหมือนกับสนามรบ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้ ก็ควรจะตาสว่างได้แล้ว
ต่อให้ตอนแรกตระกูลภูสรีดาวกับตนเองจะไม่ได้อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน แต่มีที่พึ่งดีๆ อย่างนรเทพอยู่ ก็ต้องประจบเข้าหาดีๆ หน่อย ส่วนตระกูลภูสรีดาวมันเป็นแค่พวกไหนกันเชียว
พอได้หนังสือกลยุทธ์มาอยู่ในมือ แล้วตั้งใจฝึกวรยุทธถึงจะถูก
บวรวิทย์ยิ้มเย็น พูดดีๆไม่ชอบ ถ้าเขาพูดดีๆหน่อยสักสองสามคำ จะปล่อยเขาไปก็ไม่ใช่จะไม่ได้
ตอนนี้จุดยืนชัดเจน ดูท่าทางคงจะเอาตัวตนเองไปให้กับนรเทพ ถ้าไม่กำจัดเขา จะเป็นภัยภายหลังแน่นอน
“ในเมื่อคุณลุงเบศร์พูดแบบนี้แล้ว ผมก็คิดว่า พวกเราไม่จำเป็นต้องคุยกันให้เปลืองน้ำลายอีกแล้ว คุณลุงเบศร์เป็นคนฉลาด ผมรู้ว่าวันนี้ลุงคงไม่ปล่อยผมไปแน่ แต่ลุงเองก็ควรจะรู้ไว้ว่า วันนี้ไม่ลุงก็ผมต้องตายกันไปข้างหนึ่ง”
นฤเบศร์ก็มองไอ้เด็กน้อยบวรวิทย์ แล้วก็หัวเราะลั่นออกมา “ไอ้หนู เอ็งคิดว่ามีพลังระดับแดนบุณระดับต้นก็จะสามารถทำร้ายลุงได้งั้นหรือ ไร้เดียงสาไปหน่อยรึเปล่า?”
ยังไม่ทันพูดจบ บวรวิทย์ก็ไม่มีเวลาเปลืองน้ำลายกับเขา แล้วหยิบกระบี่หมายมุ่งเอาชีวิต
“คุณลุงเบศร์ จะมาดูถูกผมไม่ได้นะ ต่อให้ผมแย่แค่ไหนก็เป็นคนดังในเมืองแฟรี่เหมือนกัน ผมฆ่าลุงไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ลงมือคนเดียวหรอก”
ขณะพูดก็หันไปมองที่ซ่อนตัว แล้วพูดว่า “รพีพงษ์ พวกเรารีบจัดการมันก่อนเลย เดียวคนของมันเข้ามา พวกเราจะรับศึกสองด้านเอาเปล่าๆ”
รพีพงษ์ก็เอากระบี่ออกมา แล้วสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับบวรวิทย์ พอนฤเบศร์เห็นรพีพงษ์ ก็ตกใจมาก
ตอนนี้รพีพงษ์ก็มีชื่อเสียงในเมืองแฟรี่ไม่น้อย เนื่องจากมีพรสวรรค์ แถมยังถูกนราธิปให้ความสำคัญ ไม่ถูกกับบวรวิทย์ ทำให้ชื่อเสียงของรพีพงษ์ดังกระฉ่อน
ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นตัวจริง ตอนนี้ได้เห็น ก็รู้สึกว่าเหลือเชื่อมาก
มีแค่บวรวิทย์ก็พอแล้ว ตอนนี้ยังจะมีคนที่มีพรสวรรค์มากกว่าบวรวิทย์อยู่อีกด้วย ตนเองจะสู้ได้อย่างไรกัน?
เขาไม่พอใจที่ถูกเด็กสองคนล้อมไว้ เขาเอามือมาวางไว้ที่ปาก แล้วส่งเสียงสัญญาณออกไป
“มันส่งสัญญาณออกไป ไม่นานคนของตระกูลพิมพ์สารก็จะมาที่นี่”
บวรวิทย์พูดไป มือก็ออกกระบวนท่าเร็วขึ้น มือกำกระบี่บุกฆ่าไปยังนฤเบศร์ นฤเบศร์ยิ้มเย็น “ต่อให้มึงสองคนเก่งแค่ไหน ในเวลาอันสั้นนี้ก็ฆ่ากูไม่ได้หรอก”
บวรวิทย์ไม่รู้ว่า วรยุทธของนฤเบศร์จะล้ำลึกขนาดนี้ เพราะไม่เคยประมือกันมาก่อน ตอนนี้โอกาสชนะมีไม่เยอะ
รพีพงษ์แอบสัมผัสได้ว่า ในตัวของนฤเบศร์ไม่ใช่วรยุทธธรรมดา จะต้องรับมืออย่างระวัง เดี๋ยวจะถูกลอบโจมตีเอาได้ มันได้ไม่คุ้มเสีย
“บวรวิทย์ ระวังด้วย มันฝึกวรยทุธอื่น”
“วรยุทธอื่นงั้นหรือ?” บวรวิทย์ขมวดคิ้ว พอนึกดูก็ไม่แปลก คนแบบเขา ขอเพียงมีหนังสือกลยุทธ์ให้ฝึก ก็จะฝึกโดยไม่สนใจผลลัพธ์ที่ได้
นฤเบศร์มองรพีพงษ์อย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ว่ารพีพงษ์รู้ได้อย่างไร
เขาอิจฉาคนที่มีความสามารถ ก็เลยมองแรงไปยังรพีพงษ์ “คิดไม่ถึงว่า มึงจะเก่งกว่าที่กูคิดไว้เสียอีก”
รพีพงษ์ก็หน้านิ่ง “ที่ผ่านมา ถ้าไม่เด็กของผมเปิดเผยให้กับศัตรูได้รับรู้ งั้นตอนนี้ผมก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้หรอก”
นฤเบศร์ยิ้มเย็น “ความสามารถมึงก็ไม่เบา ถ้าฝึกเพิ่มอีก คงจะเป็นใหญ่ได้แน่ รพีพงษ์มึงมาอยู่กับกูมา วันนี้ก็ฆ่าไอ้บวรวิทย์ทิ้งเสีย เดี๋ยวกูจะช่วยขอชีวิตมึงต่อหน้านรเทพเอง แล้วมาอยู่ข้างกายกู มึงก็ไม่ได้ผลเสียอะไรไม่ใช่หรือไง?”
“ความคิดของคุณก็ไม่เลว แต่ผมไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับนรเทพได้ คงทำตามที่เสนอมาไม่ได้หรอก”
“เหอะ ไอ้นี่ไม่รู้อะไรเสียเลย กูจะไม่ให้มึงได้มีโอกาสฝึกวิชาเพิ่มหรอก วันนี้กูจะจับตัวมึง แล้วส่งให้กับนรเทพ กูก็จะได้อะไรดีตอบแทนมามากมาย”
เขาสู้พูดไป รพีพงษ์ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา มีอย่างเดียวที่คาใจก็คือเขาฝึกวิชาอะไรกันแน่ ถ้าไม่ระวังก็จะถูกโจมตีได้
วิชากระบี่ของนฤเบศร์ว่องไว จากคำพูดก็ฟังออกได้ว่า ไม่ค่อยได้ต่อสู้เองจริงๆ ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ให้ลูกน้องไปจัดการ
วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะรอบกายไม่มีลูกน้องอยู่ ก็คงไม่ลงมือกับพวกของรพีพงษ์เองหรอก
ในใจของรพีพงษ์ก็เริ่มมีโอกาสว่าจะชนะมากขึ้น กระบี่ของนฤเบศร์มุ่งมาทางรพีพงษ์ รพีพงษ์กระโดดออกไป แล้วใช้ต้นไม้ข้างๆ เป็นจุดศูนย์ถ่วงเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งของตนเอง กระบี่แทงเข้าที่ต้นไม้จนขาดเป็นสองท่อน
รพีพงษ์แกล้งทำแบบนี้ สายตาของเขามองไปที่บวรวิทย์ กระบวนท่ากระบี่ของบวรวิทย์ไม่ได้เร็วเท่ารพีพงษ์ ถ้าใช้ตัวของบวรวิทย์เป็นจุดอ่อน ก็จะสามารถเอาตัวของบวรวิทย์มาข่มขู่รพีพงษ์ได้
วัยรุ่นแบบนี้เน้นเรื่องคุณธรรม คงไม่ทอดทิ้งโดยไม่สนใจแน่นอน
บวรวิทย์ก็รับรู้ได้ถึงจุดประสงค์ของนฤเบศร์ชัดเจน รพีพงษ์ก็พูดว่า “บวรวิทย์ พวกเราใช้กระบี่พร้อมกัน ไอ้แก่นี่มันคิดจะหาช่องโหว่”
ทำตามที่รพีพงษ์พูด ทั้งสองคนก็เข้าสู้พร้อมเพรียงกัน
ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องมา นฤเบศร์และพวกเขาก็สู้กันไปมา สองมือยากจะสู้กับสี่มือได้ จะฆ่าก็ฆ่าไม่ได้ เขารอคนของตระกูลพิมพ์สารมาถึง แต่ก็ยังไม่เห็นเงาสักคน
ถึงแม้ในใจจะโมโห แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แล้วก็รีบสร้างข่ายอาคมขึ้นมาเพื่อแยกตนเองอยู่ด้านนอก แล้วสองแขนก็ยกขึ้นสูง เงยหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นควันสีดำก็เกิดเป็นสายยาวราวกับมังกร แล้วก็เพิ่มพลังเทพเข้ามาในตัวของนฤเบศร์
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว เหมือนจะมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี แล้วก็พูดว่า “บวรวิทย์ เราต้องทำลายข่ายอาคมนี้ก่อนที่มันจะออกมาจากข่ายอาคมนี้ได้”
“มันกำลังทำอะไร?” บวรวิทย์ตกใจอย่างมาก
รพีพงษ์เห็นว่าในหมอกดำกลายเป็นรูปร่างคน ในใจก็คิดไว้แล้ว พร้อมพูดว่า “มันฆ่าคนไปไม่น้อย พวกนี้ก็คือดวงวิญญาณที่มันฆ่าไป”
บวรวิทย์ได้ยินดังนั้น ก็เงยหน้ามองหมอกดำนั้น ก็มีรูปร่างของคนอยู่จริงๆ แล้วยังมีวิญญาณอื่นๆ ด้วย หลายปีมานี้รู้ว่านฤเบศร์ทำชั่วไว้มาก แต่ไม่รู้เลยว่าเขาจะฆ่าสิ่งมีชีวิตไปมากมายขนาดนี้
สองคนร่วมือกัน ใช้วิชาสลายข่ายอาคมออกไป ทันใดนั้น นฤเบศร์ก็ซัดฝ่ามือออกทำร้ายรพีพงษ์และบวรวิทย์
รพีพงษ์เดิมที่มีวิชาป้องกันตัวอยู่แล้ว เลยไม่ได้รับบาดเจ็บ แค่กระทบกระเทือนเท่านั้น ส่วนบวรวิทย์ก็เอามือจับหน้าอก เจ็บปวดอย่างมาก……..