พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1568 กลยุทธุ์วิทยาหาร
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1568 กลยุทธุ์วิทยาหาร
สายตาจับจ้องไปที่บนแหวนในมือของนฤเบศร์ มันกำลังมีควันสีม่วงพวยพุ่งออกมา บวรวิทย์ก็พูดว่า “ระวังแหวนในมือมัน”
ตอนที่บวรวิทย์พูดนั้น สายตาของรพีพงษ์ก็มองไปยังแหวนในมือของนฤเบศร์ พวกเขาจะมัวชักช้าอยู่ที่นี่นานไม่ได้ คนของนฤเบศร์กำลังมาที่นี่
บางครั้ง ต่อสู้ยืดก็ไม่ใช่เรื่องดี ถ้าวันนี้ฆ่านฤเบศร์ไม่ได้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลย
รพีพงษ์มองออกว่า ในแหวนวงนั้นจะต้องพลังที่พวกเขาไม่อาจจะรับรู้ได้ ถ้ายังจะเสียพลังไปแบบนี้ มันได้ไม่คุ้มเสีย
รพีพงษ์เดินเข้ามาใกล้บวรวิทย์ อาศัยจังหวะที่นฤเบศร์ยังไม่ลงมือ ก็เลยบอกแผนกับบวรวิทย์ พอหลังจากทั้งสองคนประมือกับเขาไปสองกระบวนท่าแล้วนั้น ก็ทำตามที่คุยกันไว้แต่แรก ว่าให้แยกกันหนีออกไป แล้วไปเจอกันที่โรงเตี๊ยม
เดิมทีนฤเบศร์อยากจะจับสองคนนี้ไปให้นรเทพ แต่จับไม่ได้สักคน หัวเสียไม่น้อย
ในใจเขาไม่สงบสุขอย่างมาก การโจมตีของทั้งสองคนวันนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองโดนดูถูกเหยียดหยามอย่างมาก เขาไม่เคยพบกับเรื่องแบบนี้มาก่อน
คนที่เคยมาท้าทายเขาได้ตายไปหมดแล้ว จากนั้นก็โมโหซัดฝ่ามือไปยังก้อนหินใหญ่ข้างๆ ก้อนหินนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วคนของตระกูลพิมพ์สารก็มาถึง
“นายใหญ่ครับ เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ?”
“ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง กูเลี้ยงมึงไว้ก็เสียข้าวสุก ทำไมเพิ่งมาวะ?”
หัวหน้าลูกน้องก็ก้มหน้ารับผิด ตอนนี้นฤเบศร์ตกอยู่ในอันตรายมาก นอกจากพวกเขาจะยอมรับผิด ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว
นฤเบศร์ไม่อาจทนเห็นศัตรูหลุดรอดออกไปจากมือแบบนี้ได้ ก็เลยสั่งลูกน้องว่าต้องตามจับตัวบวรวิทย์และรพีพงษ์มาให้ได้ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินเมืองแฟรี่ก็ตาม
บวรวิทย์และรพีพงษ์อยู่ที่โรงเตี๊ยม คนที่ผ่านไปมาล้วนเป็นคนของตระกูลพิมพ์สาร รพีพงษ์หายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “คงจะยังตามหาที่นี่ไม่พบหรอก ที่นี่เป็นสถานที่ที่นรเทพเอาไว้ขังคน ที่ที่อันตรายที่เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด แต่จะอยู่นานไม่ได้ ต้องเร่งหาเวลาหลบหนีออกไป”
พวกปัณฑาไม่เห็นรพีพงษ์ ก็เลยกลับไปยังโรงเตี๊ยม พอได้ยินรพีพงษ์บอกแบบนี้ ก็ขมวดคิ้ว “แต่พวกเราจะไปที่ไหนได้ล่ะ คุณบอกว่าตาแก่ธิปให้รอพระอาทิตย์ตกวันพรุ่งนี้ค่อยกลับไปไม่ใช่หรือ?”
จะไปทางฝั่งเส้นทางภูเขาสองกระบี่ไม่ได้ จะถูกนรเทพพบเข้า ก่อนหน้านี้ที่เคยได้ฝึกวิชาอยู่ที่ภูเขาสองกระบี่นั้น พลังเทพไกลออกไปเป็นพันลี้ นรเทพก็สามารถสัมผัสได้ ยิ่งพอถึงกลางคืน เขาก็ยิ่งมีประสาทสัมผัสดีขึ้น สามารถรับรู้ได้โดยง่ายว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน
จะหนีจากรังหมาป่าไปเจอรังเสือไม่ได้ รพีพงษ์ก็นึกถึงบ้านของผลิน ไปที่นั่นคงจะไม่มีใครนึกถึง
ที่นั่นอยู่ห่างไกล อยู่ห่างจากใจกลางเมืองของเมืองแฟรี่ ตอนนี้คงจะมีแต่ที่นั่นที่ปลอดภัย
คนของนฤเบศร์หาอยู่นานมาก ซ่อนตัวอยู่ในเมืองทั้งคืนก็ไม่พบอะไร นฤเบศร์เองก็ไม่กล้าไปยังภูเขาสองกระบี่ ด้วยเพราะว่าที่นั่นเป็นเขตของนราธิป เขาจะไปหาเรื่องไม่ได้ อีกอย่างนรเทพและนราธิปอาจจะมีสงครามใหญ่ เขาไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวด้วย
ก็เลยรออยู่ที่บ้านอย่างทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ค่อยๆ คิดหาทางอื่นไป
ทางฝั่งภูเขาสองกระบี่ ปริตรได้สร้างกลไกขึ้นมา แล้วเขาก็นั่งอยู่ในส่วนลึกสุดของถ้ำนิ่งๆ
ในตำหนัก มองภูเขาสองกระบี่ไปรอบๆ นรเทพอยู่ที่นั่น แต่ลูกน้องของเขาชเนศ ก็ไปสำรวจรอบๆ หุบเขา
นราธิปยิ้ม แล้วก็ไปยังตำแหน่งที่ชเนศอยู่ พอชเนศเห็นว่านราธิปเข้ามา ก็รีบตั้งท่าป้องกันโดยไม่ได้พูดอะไร แต่นราธิปถามว่า “เจ้านายของเอ็งล่ะ?”
สายตาของนราธิปมองไปยังตำแหน่งที่ปริตรอยู่ ที่นั่นมีแสงอ่อนๆ ส่องออกมา นราธิปก็รับออกมา แล้วมุ่งไปยังถ้ำนั้น
จริงๆ แล้วนี่เป็นแผนที่วางไว้กับปริตรแต่แรกแล้ว พอเห็นการตอบสนองนราธิป ชเนศก็รีบไปหานรเทพทันที
นรเทพเดินออกมา ดวงตาก็จ้องมองแสงที่ส่องออกมา แล้วก็หลับตาใช้พลังสัมผัสกับคนแถวนั้น
ไม่ใช่พลังที่คุ้นเคยมาก่อน แล้วก็สั่งชเนศว่า “ไปดูหน่อย แล้วกลับมารายงาน”
ภูเขาสองกระบี่ไม่ได้กว้างมาก เขาไม่คิดว่าพวกของรพีพงษ์จะอยู่ที่นี่ ถ้าอยู่ที่นี่จริงๆ เขก็คงจะไม่สามารถรับรู้ได้เลยแม้แต่น้อยแบบนี้
เงยหน้าดูสีท้องฟ้า ไม่ทันไรก็พลบค่ำเสียแล้ว ชเนศเข้าไปดูที่ถ้ำนั้น นราธิปก็มองชเนศ แล้วขมวดคิ้วแกล้งถามออกมาว่า “เห็นอะไรแล้วบ้างล่ะ ผมอยู่ที่ภูเขาสองกระบี่มานานแล้ว ยังไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
คำพูดของเขายิ่งทำให้ชเนศรู้สึกสงสัยในใจ เขามองนราธิปอย่างไม่เข้าใจ จากนั้นก็เอาสิ่งที่เห็นและได้ยินทั้งหมดไปบอกกับนรเทพ
นรเทพไม่ได้สนใจ แล้วก็กลับออกไปพักผ่อน ในหัวมีแต่รูปร่างของรพีพงษ์
ไอ้หมอนี่เป็นคนบนโลก ถ้ามันมาถึงที่เทวโลกจริงๆล่ะก็ จะต้องกำจัดให้ได้
พอนราธิปเห็นว่าแผนของตนเองไม่ได้ผล ก็เสียดาย เขาเพิ่งเคยเห็นนรเทพอดกลั้นแบบนี้เป็นครั้งแรก
เดินผ่านช่องทางลับเข้าไปยังจุดลึกสุดของถ้ำ ปริตรดูระบบกลไกอยู่ที่นั่น พอกำลังจะเปิดระบบ ก็ได้ยินว่ามีคนเข้ามา แล้วก็ยิ้มถามว่า “ไม่ได้เข้ามาก็ถือว่าไม่ผิดคาด เวลามันยังไม่เหมาะสม พอดีเลยผมยังต้องมีอะไรเตรียมตัวอีกเยอะ”
กลยุทธุ์วิทยาหารไม่มีใครทำลายได้ พอเจอศัตรูก็จะควบคุมไว้ทันที แต่เขาไม่เคยเจอศัตรูที่ร้ายกาจแบบนรเทพมาก่อน เรื่องนี้มันเป็นความท้าทายสำหรับเขามาก
ในใจไม่กังวลสิแปลก แต่เขาไม่ได้แสดงท่าทางออกมา คนอื่นก็ไม่มีทางรู้ได้
นราธิปได้รู้จักกับเขา ก็รู้ว่าไม่ธรรมดา และเชื่อมั่นในตัวเขามาก แล้วก็มองเขาจัดการกับกลไกพวกนั้น โดยตนเองไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย
ตอนที่ได้ฝึกวิชาแรกก็พอได้ยินมาบ้าง แต่ไม่เคยเห็น วันนี้ได้เห็นก็ถือว่าเปิดหูเปิดตาเหมือนกัน
“คุณจัดเตรียมนานขนาดนี้ ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง เรื่องที่จะทำให้นรเทพเข้าก็ไว้เป็นหน้าที่ผมแล้วกัน เพียงแต่ พลังของเขาแข็งแกร่งมาก กลไกของคุณถ้าจัดการอะไรไม่ได้เลย เขาก็อาจจะทำลายทั้งถ้ำเลยนะ พอถึงตอนนั้นจะเสียแผนกันหมดไหม?”
“จัดการได้ แต่ไม่ถึงตาย สามารถยื้อเวลาไว้ได้พักหนึ่ง มีเวลาพอให้คุณจัดการฆ่ามันเสีย ผมแค่ควบคุมตัวมันไว้เฉยๆ”
ส่วนคนอื่น จะฆ่าเลยก็ไม่อะไรมาก แต่นรเทพจะถูกฆ่าง่ายๆ เลยได้อย่างไรกัน?
พอได้ยินดังนั้น นราธิปก็มีแผนในใจแล้ว ฟ้าเริ่มจะสางแล้ว น่าจะรอพวกของรพีพงษ์กลับมาถึงพอดี
นี่เป็นความแค้นของนรเทพกับพวกเขา คนผูกก็ต้องเป็นคนแก้เอง ทางฝั่งเขาได้แต่ชี้นำเท่านั้น จะเข้าไปแทรกแซงไม่ได้
นรเทพอดใจรอต่อไปไม่ได้ อยู่ที่นี่ไม่ได้ข่าวคราวอะไรที่เป็นประโยชน์เลย เมืองแฟรี่ก็กว้างใหญ่เท่านี้เอง
นราธิปก็จะเข้าไปใส่ไฟเพิ่มเสียหน่อย เขาเข้าไปหานรเทพ แล้วบอกให้นรเทพออกไปจากภูเขาสองกระบี่ เขาคุ้นชินกับความเงียบสงบในภูเขาสองกระบี่เสียแล้ว ไม่อยากให้คนอื่นมารบกวน
นรเทพอยากจะครอบครองพื้นที่ที่ไหน ก็ต้องเป็นของเขา ตอนนี้เพิ่งถูกไล่ออกไปเป็นครั้งแรก เขาก็เลยบอกว่า “หมายความว่าอย่างไร? รีบร้อนจะให้ผมกลับออกไป หรือว่ามีอะไรกันแน่ห้ะ?”
นราธิปต้องการผลลัพธ์แบบนี้แหละ แล้วก็ประชดเขาไปว่า “นี่มันที่ของผม ทำไมผมจะพูดไม่ได้ คุณบอกว่าเก่งนัก สุดท้ายก็ยังแพ้ให้กับเด็กสองคนนั้นไม่ใช่หรือไงล่ะ แล้วยังจะมาอวดดีอยู่ที่นี่อีกทำไม อย่าคิดตัวเองจะเรียกลมเรียกฝนในเทวโลกนี้ได้คนเดียว?”