พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1579 ยืมกระบี่สยบเซียน
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1579 ยืมกระบี่สยบเซียน
ขณะที่เธอพูดประโยคนี้ ผลินยังคงมีอารมณ์โกรธอยู่ และแม่ก็ขอให้เธอไปเก็บผักกาดขาวจากสวนด้านข้าง
หลังจากที่ผลินเดินไปแล้ว เธอเดินไปที่ป้ายวิญญาณของพ่อของผลิน จากนั้นก็จุดธูปแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้ลูกสาวโตแล้ว และเวลาก็ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว และฉันก็แก่ชราแล้ว ตาแก่ ไม่ว่าคุณอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง”
แล้วเธอก็บอกว่าหลายปีที่ผ่านมานี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย เธอเหงาและโดดเดี่ยวเดียวดาย ถ้าไม่ใช่เพราะผลิน ชีวิตของเธอคงเหมือนตายทั้งเป็น
ตอนนี้ผลินได้พบกับคนที่เธอรักแล้ว เขาเป็นชายหนุ่มที่ดี ไม่ว่าอะไรเธอก็จะทำให้ผลินสมปรารถนา
ตอนนี้เรื่องราวพัฒนาไปในทิศทางที่เธอไม่สามารถควบคุมได้แล้ว แต่อย่างน้อยเธอก็สามารถให้ผลินอยู่เคียงข้างรพีพงษ์ได้
ถ้าหากรพีพงษ์ไปแล้ว ผลินอยู่บ้านก็ต้องคิดถึงด้วยความทุกข์ทรมาน
รพีพงษ์และปัณฑาอยู่ในห้อง ปัณฑามองรพีพงษ์ที่ขมวดคิ้ว และถามด้วยความระมัดระวัง “ฉันทำให้คุณลำบากใจหรือเปล่า? ”
“ไม่เป็นไร ถึงแม้ว่าจะไม่ยอมให้ผลินสองแม่ลูกกลับมาที่เมืองแฟรี่กับพวกเรา แต่ด้วยนิสัยของผลินก็อยู่ที่นั่นไม่ได้หรอก”
ปัณฑาถอนหายใจด้วยความโล่งอก กลัวว่ารพีพงษ์จะตำหนิตนเอง เพราะรพีพงษ์ก็มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ
ผลินเรียกพวกเขามากินข้าว ขณะที่ทานอาหารค่ำ แม่ของผลินขอให้รพีพงษ์พักที่บ้านหนึ่งคืน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็เป็นเวลาค่ำมากแล้ว และตอนนี้เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ความรู้สึกของผลินที่มีต่อรพีพงษ์ควรจะมีข้อสรุป นี่คือสิ่งที่แม่ของผลินกล่าว
รพีพงษ์นั้นก็ไม่ควรใจร้ายเกินไป เขาแค่รู้สึกว่าสถานะของตนเองไม่เหมาะสม แต่คำพูดของแม่ผลินก็มีเหตุผลเช่นกัน อย่างที่พวกเธอพูด ถ้าตนเองไปจากที่นี่แล้ว ถ้าไม่มีความตั้งใจ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก
ไม่สามารถเป็นคู่สามีภรรยากับผลินได้ แต่เป็นพี่น้องคงจะได้
ปัณฑาบ่นพึมพำ ไม่รู้ว่าแม่ของผลินกำลังคิดอะไรอยู่ คำพูดนี้มีความหมายราวกับว่าเธอกำหนดว่ารพีพงษ์ต้องเป็นลูกเขยของตนเอง
ปัณฑาไม่ต้องการให้รพีพงษ์อยู่กับผลินจริง ๆ เพราะมันจะเป็นการผิดต่ออารียา
แต่เธอไม่ได้พูด และรพีพงษ์นั้นก็เป็นคนฉลาด บางอย่างนั้นตนเองไม่จำเป็นต้องพูดออกมา
วันรุ่งขึ้น เมื่อรพีพงษ์ตื่น ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นสูงแล้ว เขาได้ยินเสียงร้องไห้ก้องอยู่ในหู
เขาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของผลิน เกิดอะไรกับผลิน เมื่อคืนนี้ก็ยังดีอยู่
สีหน้าของปัณฑาไม่สู้ดีนัก รพีพงษ์ตรงไปหาผลินทันที แล้วเห็นแม่ของผลินหายใจรวยรินอยู่ในอ้อมแขนของผลิน
“คุณป้า เป็นอะไรไป?”
แม่ของผลินยื่นมือออกมา แล้วรพีพงษ์ก็ยื่นมือไปจับชีพจรให้เธอ
เธอดื่มยาพิษเข้าไป เขาไม่เข้าใจ จึงถามว่า “คุณป้า ทำอะไร?”
รพีพงษ์ไม่สามารถช่วยได้แล้ว ถ้าเป็นหนึ่งชั่วโมงก่อนยังสามารถช่วยได้ แต่ตอนนี้หมดทางเยียวยาแล้ว เธออดทนเหมือนกับว่ากำลังรอตนเองอยู่
แม่ของผลินมองไปที่รพีพงษ์ น้ำตาไหลนองหน้า และกล่าวว่า “รพีพงษ์ ฉันมีแค่ลูกสาวคนนี้คนเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะเธอฉันคงไม่สามารถยืนหยัดจนถึงทุกวันนี้ได้ ฉันคงตายตามพ่อของเธอไปนานแล้ว ตอนนี้เธอได้พบคุณ ถึงฉันจะตายก็หมดห่วง ฉันขอฝากเธอไว้กับคุณ ฉันหวังต่อไปว่าคุณจะดูแลเธอแทนฉัน ฉันคิดถึงพ่อของเธอตลอดเวลา และในที่สุดฉันก็สามารถไปพบกันเขาที่ยมโลกได้แล้ว”
รพีพงษ์ไม่รู้จะพูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี
เขากัดริมฝีปากเพื่อต้องการพูดอะไรบางอย่าง แม่ของผลินกล่าวว่า “ฉันรู้ว่า คุณมีภรรยาแล้ว คุณแต่งงานกับลูกสาวของฉันไม่ได้ คุณก็คิดเสียว่าเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง ฉันอายุเยอะแล้วคงจะอยู่ได้ไม่นานหรอก ไม่ช้าก็เร็วฉันก็ต้องตายจากเธอไป คุณช่วยหาผู้ชายที่ดีให้เธอแต่งงานแทนฉันด้วย แล้วฉันอยู่ยมโลกก็จะรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก”
รพีพงษ์ลังเล แม่ของผลินไอหลายครั้ง ปัณฑาทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงกล่าวว่า “รพีพงษ์ คุณรับปากเถอะ”
ผลินมองไปที่รพีพงษ์ ร้องไห้และกล่าวว่า “รพีพงษ์ ตอนนี้ฉันมีแค่คุณเท่านั้น ถ้าแม่ตายจากไปแล้ว ฉันก็ไม่มีญาติเหลืออีกแล้ว”
รพีพงษ์พยักหน้า แสดงว่าตกลง แม่ของผลินยิ้มและจากไปอย่างสงบ การตัดสินใจของเธอถูกต้อง ดีกว่าต้องมองลูกสาวของเธอทุกข์ทรมานจากความรัก
หลังจากฝังศพแม่ของผลินเรียบร้อยแล้ว รพีพงษ์พาผลินและปัณฑาไปที่บ้านของเทวเทพ เพราะเขาต้องการแผนที่บ้านตระกูลพิมพ์สาร และต้องรู้ทุกอย่างชัดเจนถึงจะสามารถค้นหาว่านรเทพพักอาศัยอยู่บริเวณไหน
ตอนนี้นรเทพไม่สามารถกลับไปที่พักอาศัยเดิมได้ นอกจากบ้านของตระกูลพิมพ์สารแล้ว เขาไม่มีที่อื่นที่สามารถไปได้
เทวเทพรู้สึกประหลาดใจที่เห็นรพีพงษ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือข้างกายของรพีพงษ์มีผลินอยู่ด้วย
เขาเยาะเย้ยรพีพงษ์ว่า “ผู้หญิงคนนี้ติดตามคุณมาตลอด ไอ้หนูคุณจะไม่ให้สถานะเธอเลยหรือ?”
“ผมแค่คิดกับเธอเหมือนน้องสาว ไม่มีความคิดอื่นใด พวกคุณทุกคนเข้าใจผิดแล้ว”
เทวเทพก็มีประสบการณ์เช่นนี้อยู่บ้าง รพีพงษ์พูดถูก แต่ผู้หญิงคนนี้ทุ่มเทให้กับเขามากจริง ๆ
“ครับ ครับ ผมจะวาดแผนที่บ้านของตระกูลพิมพ์สารให้คุณ สำหรับปัณฑาที่อยู่ข้างกายคุณนั้นไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าคุณผลินตามไปด้วย เกรงว่ามันจะสร้างความยุ่งยากให้กับคุณ”
แต่ไม่สามารถพูดออกมาจากปากได้
“ผมรู้ว่าคุณหมายถึงอะไร ผมจะรอบคอบไม่บุ่มบ่าม”
รพีพงษ์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ นึกถึงเรื่องกระบี่ของตนเอง และอยากจะถามเขา แต่ไม่สามารถพูดออกมาจากปากได้
กระบี่สยบเซียนเล่มนั้นไม่มีใครสามารถใช้มันได้ เพราะเจ้านายของมันคือตนเอง
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวว่า “ผมมาที่นี่ยังมีจุดประสงค์อื่น ท่านผู้อาวุโส ผมขอยืมใช้กระบี่สยบเซียนได้ไหม?”
สีหน้าของเทวเทพเปลี่ยนไป ก่อนหน้านั้นรพีพงษ์เป็นคนมอบกระบี่ให้ตนเอง แต่ตอนนี้ต้องการเอามันกลับคืนไป?
“คุณหมายความว่าอย่างไร?”
“ตอนนี้ความสามารถของผมยังไม่เพียงพอ หากเจอนฤเบศร์แล้ว ผมจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน แต่ถ้ามีกระบี่สยบเซียนอยู่ในมือ เขาแพ้ผมแน่นอน”
เมื่อได้ยินรพีพงษ์กล่าวอย่างสง่าผ่าเผย ทำให้รู้สึกเขาลังเลเป็นอย่างมาก ถ้ากระบี่สยบเซียนกลับไปอยู่ในมือของรพีพงษ์ อาจจะไม่สามารถคืนมาอีก
เขาได้กระบี่สยบเซียน และพยายามชักกระบี่ในห้องหนังสือหลายครั้ง เพื่อเติมพลังทิพย์ แต่พบว่ามันไร้ผล
เมื่อเห็นเขาลังเล รพีพงษ์ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อผมได้มอบมันให้ท่านผู้อาวุโสแล้ว มันก็เป็นของท่านผู้อาวุโส ถ้าท่านผู้อาวุโสไม่สะดวก จะยืมหรือไม่ยืมก็แล้วแต่คุณตัดสินใจ ไม่ใช่ว่าผมจะต้องเอามันให้ได้”
มันเป็นคำพูดที่พิธีรีตองเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วรพีพงษ์ก็ต้องเอากระบี่เล่มนั้นกลับคืนมา มันเป็นเพียงแผนรับมือชั่วคราวที่เหมาะสมก่อนหน้าเท่านั้น และมันก็ทำให้เขาได้รับประโยชน์มากมาย
แต่ถ้าเขารู้ว่าภายหลังจะเกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมมอบกระบี่ให้เทวเทพเด็ดขาด
เทวเทพกัดฟัน และสั่งให้คนไปหยิบกระบี่ออกมา เนื่องจากบวรวิทย์และรพีพงษ์นับถือเป็นพี่น้องกัน พวกเขาทั้งหมดรวมใจเป็นหนึ่งเดียว สถานการณ์ในเมืองแฟรี่ยังไม่มั่นคง ถ้าเกิดเรื่องกับรพีพงษ์ มันก็ไม่ดีสำหรับพวกเขาเช่นกัน
เขาสามารถแยกแยะได้ชัดเจนว่าเรื่องไหนหนักเบา รพีพงษ์ถือกระบี่สยบเซียนไว้ในมืออีกครั้ง กระบี่สยบเซียนประกายทันที
ปัณฑาเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน และกล่าวว่า “กระบี่เล่มนี้มันจำเจ้านายได้ รพีพงษ์ ดูสิ ดูเหมือนว่ามันกำลังทักทายคุณอยู่”