พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1591 คู่อาฆาตที่ไม่ทราบที่มาที่ไป
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1591 คู่อาฆาตที่ไม่ทราบที่มาที่ไป
รพีพงษ์มองย้อนกลับไปโดยไม่รู้ตัว พร้อมขมวดคิ้วแน่น เขาคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดได้รับการแก้ไขแล้ว ทำไมยังมีคนสะกดรอยตามตัวเองอีก
คนที่สะกดรอยตามเขาเป็นใครกัน เขาพูดกล่าว : “ฉันประมาทแล้ว ดูเหมือนว่าต้องระวังตัวตลอดเวลาแล้ว”
“ไม่ใช่ ที่คุณมาก็เพราะเรื่องของลูกสาวคุณใช่ไหม?”
“ผลการฝึกตนของฉันยกระดับขึ้นแล้วหนึ่งขั้น เพียงแค่ฉันไม่รู้ว่าจะบีบบังคับเอาวิญญาณออกมาได้อย่างไร อาจารย์ธิป ฉันไม่รู้จะไปหาใครแล้ว”
รพีพงษ์เพื่อหนูลิน เขารู้สึกว่าไม่ว่าอะไรตัวเองก็สามารถทุ่มเทให้ได้ทั้งนั้น นี่คือหัวใจของคนเป็นพ่อ
นราธิปยิ้ม : “ฉันรู้ว่าคุณเป็นกังวล แต่ใช่ว่าจะแก้ไขไม่ได้ ตอนนี้ไม่ควรที่จะคิดอะไรมากขนาดนั้น ฉันเคยบอกแล้วว่าจะช่วยคุณ คุณไม่เชื่อฉันเหรอ?”
นราธิปรูปว่าในใจของรพีพงษ์คิดยังไง ไม่มีอะไรมากก็แค่ไม่อยากติดหนี้บุญคุณคนอื่นเยอะ
แต่ว่าไม่อยากติดหนี้บุญคุณก็ติดหนี้บุญคุณแล้ว จะน้อยจะมากมันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ทุกเรื่องราวไม่สามารถทำสำเร็จได้เพียงคนเดียว ขอเพียงแค่ทุกคนพร้อมใจทำงานร่วมกัน
ก็เหมือนกับที่ต้องบีบวิญญาณของนรเทพออกมา ทำให้วิญญาณของนรเทพและวิญญาณของหนูลินแยกออกจากกัน การแยกออกจากกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สิ่งที่ต้องการไม่เพียงแค่ผลการฝึกตนเท่านั้น
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อใจคุณ อาจารย์ธิป ความกังวลของคนเป็นพ่อ ฉันเชื่อว่าคุณน่าจะเข้าใจดี”
“ได้ คุณไปหาของสิ่งหนึ่ง หากหาเจอฉันจะไปนำวิยญาณของหนูลินออกมาแทนคุณเอง” ไม่ช้าก็เร็วนราธิปก็จะต้องช่วย สู้พูดถึงเรื่องนี้ในกำหนดการเลยดีกว่า
รพีพงษ์เอ่ยถาม : “ของอะไรเหรอ?”
คิดได้เรียบร้อยแล้ว สิ่งของที่นราธิปให้ตัวเองไปหา จะต้องหายากแน่นอน
“ต้นคงจิต ของเพียงแค่หาของสิ่งนี้เจอ เมื่อบีบวิญญาณของนรเทพออกมาก็จะไม่ทำให้บาดเจ็บถึงวิญญาณของลูกสาวของคุณ” นราธิปพูดอธิบาย
รพีพงษ์ไม่ค่อยคุ้นชินกับสวรรค์ แต่ว่าก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย ก่อนหน้านี้ปัณฑาเคยอยู่บนสวรรค์มาไม่น้อย แล้วก็เป็นภูติในหุบเขา น่าจะรู้ว่าของสิ่งนี้อยู่ที่ไหน
รพีพงษ์เพิ่งจะตอบรับปาก นราธิปพูดกล่าว : “ต้นคงจิตหนึ่งปีถึงจะงอกออกมาหนึ่งก้าน จะหาเจอนั้นกลับว่าไม่ได้ง่ายดายเลย ขึ้นอยู่กับความโชคดีของคุณ”
รพีพงษ์พยักหน้า เพื่อหนูลิน ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟหรือลำบากมากแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแค่ให้ลูกปลอดภัยดีเท่านั้น
นอกจากนี้แล้ว ไปที่ในถ้ำที่นราธิปจัดไว้ให้กับปริตร ปริตรก็แปลกประหลาดใจ อยู่ในวิหารดีๆไม่ยอมอยู่ ชอบมาอยู่ในถ้ำ
ปริตรก็ยังคงเป็นดั่งเช่นเมื่อก่อนเอาหุ่นเชิดที่ควบคุมด้วยกลไกเหล่านั้นเล่นอยู่ในมือ เห็นรพีพงษ์เดินเข้ามา ยิ้มพร้อมพูดว่า : “ฉันคิดว่าคุณจะไม่มาที่ภูเขาสองกระบี่แล้วซะอีก ถึงอย่างไรท่านรพีพงษ์ก็จะต้องไปแล้ว”
“ที่ฉันมานอกจากมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ธิป แล้วก็ยังมาหาคุณด้วยนะ”
รพีพงษ์นั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่อย่างไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย ในถ้ำแห่งนี้มีทั้งลำธารและน้ำพุปริตรใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
“ต้องการให้ฉันช่วย?” ปริตรขมวดคิ้ว พูดกล่าว “พรสวรรค์ในการฝึกตนของคุณอยู่ระดับสูง ฉันก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ไม่มีผลฝึกตนอะไร จะช่วยอะไรคุณได้?”
รพีพงษ์ไอออกมาสองครั้งอย่างเก้ๆกังๆ คำพูดนี้ทำให้ตัวเองอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
รพีพงษ์เอ่ยปากชื่นชมปริตรต่อ : “คนที่มีผลการฝึกตนแบบพวกเราเมื่ออยู่ในกำมือของนรเทพสามารถถูกเขาเหยียบให้ตายคาตีนได้ตลอดเวลา แต่นรเทพพ่ายแพ้ในมือของคุณ นี่มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผลการฝึกตนมากเท่าไหร่”
ปริตรยิ้มอย่างเบาๆ คนที่ฉลาดเฉกเช่นเขา จะไม่รู้ความคิดในใจของรพีพงษ์ได้อย่างไรล่ะ?
แต่ว่า กลยุทธ์นี้จะให้คนอื่นเรียนรู้ไม่ได้ และก็ใช่ว่าใครจะมีความสามารถที่จะเรียนรู้ได้ ส่วนกลยุทธ์ในตัว เขาก็ไม่ได้คิดที่จะให้ใคร
เวลาจะพิสูจน์ทุกอย่าง หากเขาจะต้องเอากลยุทธ์ออกมาก็ต้องพิจารณาถึงบุคลิกลักษณะของคนๆนั้นด้วย จะสะเพร่าไม่ได้
เขาวางสิ่งของที่อยู่ในมือ พูดเข้าประเด็น : “ฉันรู้ว่าคุณมาทำอะไร แต่ว่าฉันไม่มีทางที่จะสอนกลยุทธ์ให้คุณหรอกนะ”
รพีพงษ์พยักหน้าแล้ว และก็ไม่ได้ถามถึงเหตุผล คนเขาไม่ถ่ายทอดให้คนนอกจะต้องมีเหตุผลที่ไม่ถ่ายทอดให้คนนอกอย่างแน่นอน ไม่ว่ายังไง ทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนกัน
เขายิ้มเบาๆ พูดกล่าว : “พวกเราเป็นเพื่อนกัน ฉันเข้าใจคุณได้”
ปริตรถามถึงสถานการณ์ของนรเทพอย่างง่ายๆครู่หนึ่ง เขาอยากไปที่เมืองแฟรี่เพื่อดูว่าตระกูลเยอซอเป็นอย่างไรบ้าง ตอนที่รู้ว่าผลการฝึกตนของนฤเบศร์ถูกรพีพงษ์ทำลายแล้ว ในใจมีความสุข
เขาทำความชั่วไว้มากมาย ควรจะมีจุดจบแบบนี้ตั้งนานแล้ว
ปริตรเป็นคนที่ใช้ชีวิตบนสวรรค์เป็นเวลานาน รพีพงษ์พูดถึงเรื่องต้นคงจิตขึ้นมา คิดว่าปริตรจะต้องรู้เรื่องบ้างแหละ
“วันนี้ฉันต้องการต้นคงจิตเพื่อช่วยลูกสาวของฉัน คุณอ่านหนังสือมามากมาย รู้หรือไม่?”
ต้นคงจิตสามคำนี้เหมือนว่าปริตรจะเคยอ่านเจอมาก่อนนะ เขาหลับตาเพื่อระลึกความทรงจำครู่หนึ่ง พูดกล่าวกับรพีพงษ์ว่า : “สิ่งของชิ้นนี้หนึ่งปีจะงอกออกมาหนึ่งก้าน อยู่ที่จุดสูงสุดของภูเขาหิมะซีหลิงบนสวรรค์ มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี มีปีศาจหิมะออกมาหลอกหลอน ถึงคุณไปก็ใช่ว่าจะได้มันมา”
ปริตรไม่กลัวที่จะโจมตีคน บอกว่าสัตว์ประหลาดหิมะที่นั่นสุดยอดมาก คอยคุ้มครองอยู่บนเขาหิมะ
อีกอย่างระยะเวลาการเจริญเติบโตของต้นคงจิตมีเพียงสองร้อยปี จะเจอหรือไม่นั้นล้วนแต่ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้ว
นั่นเป็นความหวังเดียวของรพีพงษ์ รพีพงษ์จะยอมแพ้ไม่ได้ นราธิปก็พูดแล้ว มีเพียงแค่วิธีการเดียวเท่านั้น
คิดมาถึงตรงนี้ บอกลานราธิปและปริตร ออกจากภูเขาสองกระบี่
คนที่ติดตามอยู่เบื้องหลังของเขาไม่เคยลงมือจัดการเลย เขารู้สึกงง ตอนที่ใกล้จะถึงเมืองแฟรี่ คนกว่าเจ็ดแปดคนห้อมล้อมเขาไว้แล้ว
พี่ใหญ่ที่นำมาคนแรกพูดกล่าว : “แกคือรพีพงษ์ใช่ไหม?”
“ฉันไม่รู้จักพวกแก ไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกัน นี่พวกแกจะทำอะไร?”
“แกทำร้ายคนของพวกเรา จะพูดว่าไม่ได้เป็นคู่แค้นกันได้ยังไง?” พี่ใหญ่ที่เป็นผู้นำนั้นขมวดคิ้ว “แกจะฆ่าตัวตายเอง หรือว่า……”
รพีพงษ์อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา นี่ยังไม่เริ่มลงมือ ไอ้หมอนี่ก็พูดจาโอหังแล้ว
รพีพงษ์ไม่พูดอะไร กวาดสายตาไปมองคนเหล่านั้น สายตาหยุดไปที่ตัวของพี่ใหญ่ที่นำทีมมา พูดกล่าว : “แล้วถ้าฉันไม่ยินยอมฆ่าตัวตายล่ะ?”
“ถ้าหากเราลงมือ ก็ไม่รับประกันว่าศพของแกจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์นะ”
“พี่ใหญ่ ไม่ต้องพูดจาไร้สาระ จัดการไอ้สารเลวนี้เลยเถอะ ก็จะกลับไปรายงานการปฏิบัติภารกิจ”
ชายอ้วนที่อยู่ข้างกายของพี่ใหญ่พูดกล่าว พี่ใหญ่ยักๆไหล่ เผยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง : “ส่งเขาไปลงนรกแบบง่ายๆอย่างนี้น่าเบื่อจะตายไป บนโลกมนุษย์มีการถลอกหนังคนด้วย 5ม้าแยกศพ เมื่อพูดอย่างนี้ ไม่ยอมที่จะฆ่าตัวเองตาย สามารถใช้วิธีการทรมานที่วิจัยออกมาบนโลกมนุษย์ ได้ ท่านสาม คุณว่าบทลงโทษในโลกนี้มีอะไรที่น่าสนใจยิ่งกว่าไหม?”
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว ทำไมถึงได้เข้าใจเรื่องในโลกมนุษย์ชัดเจนขนาดนั้นล่ะ สรุปว่าพวกเขามาจากที่ไหนกันแน่?
ในใจของรพีพงษ์สาดส่องเงาร่างของหนูลินและอารียา นัยน์ตารวบรวมกลิ่นอายสังหารณ์ พูดถามอย่างเยือกเย็น : “พวกแกมาจากที่ไหน มีจุดประสงค์อะไร เพียงแค่ฆ่าฉันแค่นั้นเหรอ?เจ้านายเป็นใคร แม้ว่าจะให้ฉันฆ่าตัวตาย ก็ต้องให้ฉันตายอย่างเข้าใจทุกอย่าง พวกแกว่าใช่ไหมล่ะ? ”
พี่ใหญ่ที่นำทีมมาเห็นสีหน้าแววตาของรพีพงษ์ มีความรู้สึกประสบความสำเร็จอย่างมาก หัวเราะเยาะรพีพงษ์ : “ที่โลกภายนอกร่ำลือกันว่าสุดยอด ฉันดูแล้วก็แค่นี้เอง แกไม่ต้องเป็นกังวลที่ไม่รู้ตัวตนของพวกเราหรอกนะ มาถึงขุมนรกแล้ว แกก็ถามยมบาลเอาแล้วกัน”
ผู้นำทีมมองไปยังกลุ่มคน พูดออกคำสั่ง : “ลงมือ!”
ทั้งสามสี่คนก็ก่อสร้างค่ายกลขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ห้อมล้อมรพีพงษ์ไว้……