พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1592 คนของนรเทพ
รพีพงษ์มองไปยังค่ายกลนี้อย่างตกใจ เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย รวมตัวกันอยู่ตรงนี้ พละกำลังนั่นยากที่จะจินตนาการได้
พวกเขาไม่ได้หยุดพักแต่อย่างใดพุ่งตรงไปโจมตีรพีพงษ์เลย รพีพงษ์ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ แต่เขาสามารถหลบหนีได้
พวกคนเหล่านี้ไม่กล้าไปยังตระกูลภูสรีดาวที่เที่ยงตรงโปร่งใส แต่ว่าเพราะว่าตัวเองอยู่ที่ตระกูลภูสรีดาว ก็จะมีคนอื่นๆออกมาให้ความช่วยเหลือ
พวกคนเหล่านี้เห็นรพีพงษ์เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พวกเขาโจมตีอย่างดุเดือดอยู่ตลอด แต่ไม่มีกระบวนท่าไหนที่สามารถเป็นภัยคุกคามต่อรพีพงษ์ได้เลย
พี่ใหญ่ที่นำทีมขมวดคิ้วแน่น พูดกล่าว : “ไอ้เด็กอย่างแก โลกภายนอกบอกว่าแกสุดยอด ฉันว่าตอนนี้แกก็เป็นเพียงคนขี้ขลาดที่รู้จักหลบหนีเท่านั้น แม้แต่จะสู้กับฉันซึ่งๆหน้ายังไม่กล้าเลย”
รพีพงษ์มองไปยังพี่ใหญ่ที่นำทีม ยิ้มอย่างไม่แยแส : “พวกแกสามารถฆ่าฉันได้ นั่นมันเป็นความสามารถของพวกแกเอง แต่ว่าถ้าแกฆ่าฉันไม่ได้ คนที่ไร้ความสามารถก็คือพวกแก แปดคนต่อสู้กับคนหนึ่งคน แม้ว่าจะรบชนะก็ตามก็เป็นการเอาชนะด้วยวิธีการที่ขี้โกง ”
“ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ถ้าหากวันนี้แกไม่ยอมแพ้ พวกเราไม่มีทางให้แกออกไปจากที่นี่โดยสวัสดิภาพอย่างแน่นอน”
“แม้ว่าพวกแกจะสุดยอดมาก แต่ฉันก็ต้องขอพูดไว้ก่อนนะ อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปกันจนเกินไป”
รพีพงษ์พลิกข้อมือ พลังจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างกายหมุนเวียนรอบร่างกาย รับส่งระหว่างค่ายกลนี้ตามอำเภอใจ
ท่ามกลางค่ายกล มีพละกำลังที่ยิ่งใหญ่กดขี่เขาอยู่ แต่ว่ารพีพงษ์ก็เข้าใจกฎของค่ายกลนี้ได้อย่างรวดเร็ว นี่เป็นค่ายกลที่จัดวางแปดทิศ คิดอยากจะออกไปจากที่นี่มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเลย
ก่อนหน้านี้เพียงแค่ได้ยินมาเท่านั้น แต่ไม่ได้เห็นมากับตาจริงๆ ตอนนี้ได้เห็นแล้วรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก
พวกเขาทั้งแปดคนเป็นกลุ่มเดียวกัน หากตัวเองอยากจะจัดการกับพวกเขาก็จะต้องฆ่าคนใดคนหนึ่งไปถึงจะทลายค่ายกลได้
รพีพงษ์มองแวบหนึ่ง พวกเขาทั้งแปดคนต่างก็สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียว ไม่มีวิธีการทลายได้เลยด้วยซ้ำ
ในสายตาของคนพวกนี้รพีพงษ์ไม่ได้สุดยอดตามคำล่ำลือขนาดนั้นเลย นรเทพได้รับความทุกข์ทรมาน ไม่ใช่คุณงามความดีของรพีพงษ์เพียงคนเดียว จะต้องมีคนอื่นช่วยด้วยแน่
รพีพงษ์เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่อาจจะจับตัวไว้ได้เลย เห็นเพียงรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจของรพีพงษ์ พูดกล่าว : “พวกแกอยากที่จะจับตัวฉัน มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ”
คำพูดของรพีพงษ์เป็นการยั่วยุอย่างตรงไปตรงมา เป็นค่ายกลที่จัดวางแปดทิศ ตัวเองไม่รีบที่จะลงมือทำอะไร พูดถ่วงเวลากับพวกเขา
ที่พวกเขามาจับตัวเองแน่นอนว่าตัวเองจะต้องมีประโยชน์ คิดๆแล้ว ตระกูลเยอซอก็ไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกับตัวเอง ตระกูลพิมพ์สารก็ไม่ได้มีพละกำลังอะไรแล้ว คนเหล่านี้ จะต้องเป็นกองกำลังที่ตกค้างของนรเทพแน่นอน!
รพีพงษ์จะให้เขาจับตัวไปไม่ได้ ระหว่างที่หลบหลีกก็หยิบโรสแมรีโรยออกไปเลย โรสแมรีนี้ปลิวเข้าตาของคนพวกนั้น ทำให้ดวงตาเกิดการระคายอย่างมาก
พี่ใหญ่ที่นำทีมมากพูดอย่างตกใจว่า : “นี่มันคืออะไรกัน?”
รพีพงษ์พูดกับพี่ใหญ่นั่นว่า : “พวกแกอยากจะจัดการกับฉันไม่ใช่เหรอ เพียงแค่ไม่มีพละกำลัง นี่เป็นสิ่งของที่ฉันตอบแทนพวกแกไง ”
วาดมือกลางอากาศ ทันใดนั้นคนเหล่านี้ก็มาถึงภายในโลกแล้ว ทุกสิ่งที่อยู่ข้างในเหมือนกับข้างนอกอย่างมาก
ทั้งแปดคนยังไม่ทันได้สังเกตว่าพวกเขาได้ตกมาอยู่ในการควบคุมของรพีพงษ์แล้ว การสืบทอดปฐมกาล บนสวรรค์ก็มีน้อยคนนักที่จะได้รับความสามารถนี้ รพีพงษ์มี ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่พูดออกมา ทันใดนั้นพูดออกมามันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงจนอ้าปากค้างเลย
“พี่ใหญ่ เหมือนว่าพวกเราจะมาถึงอีกที่หนึ่งแล้วนะ นี่มันไม่ใช่สถานที่เมื่อตะกี้นี้ ดูแล้วเหมือนกันมาก แต่ว่าไม่ว่าเด็กนั่นจะเร็วแค่ไหน ด้วยผลการฝึกตนของพวกเราเป็นไปไม่ได้ที่จะสังเกตไม่ได้แม้แต่นิดเดียว”
พี่สามมองดูทุกสิ่งอย่างที่อยู่รอบตัว หลังจากที่มองดูอย่างละเอียดถึงจะพูดออกมา
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ พี่ใหญ่ขมวดคิ้วแน่นพูดด้วยความโกรธ : “รพีพงษ์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา ใช้วิธีการที่เลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ หากครั้งหน้าฉันเจอเขา จะต้องได้เห็นดีกับเขาแน่”
ระหว่างที่พูดจาก็กัดฟันด้วยความเกลียดชัง ไม่เต็มใจที่จะพ่ายแพ้อย่างมากๆ
พี่สามพูดอย่างจนใจ : “เพียงแค่ พี่ใหญ่พวกเราไม่รู้จะออกไปยังไง จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังหาทางออกไม่เจอเลย ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ได้การแล้ว”
“ไม่ต้องเป็นกังวล อีกเดี๋ยวก็มีทางออก ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าไอ้หมอนั้นจะขังพวกเราทุกคนไว้ที่แห่งนี้ได้”
พวกเขาชนกระแทกข้างในอย่างมั่วซั่ว รพีพงษ์เห็นถึงสถานการณ์ข้างใน อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา
คนของสวรรค์ล้วนแต่ชอบพูดจาโอหังกันเหรอ เรื่องเดียวที่เขาคิดในใจตอนนี้มีเพียงแค่เรื่องของหนูลินและอารียาเท่านั้น
เมื่อกี้ที่ตัวเองถามขึ้นมาไม่มีใครพูดจา หนูลินและอารียาน่าจะไม่เป็นอะไรแน่ ไม่งั้นพวกเขาจะต้องเอาชีวิตของลูกสาวและภรรยาของตัวเองมาข่มขู่ตัวเองย่างแน่นอน
โลกนั่นที่รพีพงษ์วาดสร้างขึ้นมายืนหยัดได้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกมาได้ จะต้องไปหาตระกูลภูสรีดาวอย่างไม่จบไม่สิ้นแน่
รพีพงษ์จะไปที่ตระกูลภูสรีดาวไม่ได้ กลัวว่าจะพลอยทำให้ตระกูลภูสรีดาวซวยไปด้วย ในช่วงเวลานี้จะต้องจัดการนรเทพให้เรียบร้อย ไม่สามารถให้นรเทพหลุดพ้นจากการควบคุมไปได้เด็ดขาด
เขามาถึงหน้าประตูตระกูลภูสรีดาว ให้คนที่เฝ้าประตูไปตามบวรวิทย์ออกมา บวรวิทย์อยู่ในห้องหนังสือของพ่อ มีลูกน้องไปเรียกเขา รู้สึกมึนงงอย่างมาก
เดินออกไป รพีพงษ์กำลังยืนรอเขาอยู่ที่หน้าประตูใหญ่
“ทำไมถึงไม่เข้าไปล่ะ ทำตัวห่างเหินกันเหรอ?” บวรวิทย์ก้าวเดินเข้ามา ตบๆที่ไหล่ของรพีพงษ์แล้ว
“ไม่ใช่แน่นอน ฉันถูกคนจับตามองอยู่ จะทำให้ตระกูลภูสรีดาวของพวกคุณเดือดร้อนไปด้วยไม่ได้” รพีพงษ์ยิ้มเบาๆ “ถ้าหากตระกูลภูสรีดาวได้รับความเดือดร้อนเพราะฉัน งั้นก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างมาก”
บวรวิทย์ยิ้มอย่างไม่สนใจ : “คุณและฉันในตอนนี้ต่างก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันมาตั้งนานแล้ว แม้ว่าคุณอยากจะแยกกันก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น รู้ไหมว่าคนที่โจมตีคุณเป็นใครกัน?”
“ไม่รู้นะ แต่จากที่ฉันคาดเดาน่าจะเป็นคนของนรเทพ เว้นแต่คนทางฝั่งนรเทพแล้ว ฉันก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นใครได้นะ”
รพีพงษ์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ บวรวิทย์ขมวดคิ้ว นรเทพก็เป็นแบบนี้แล้ว ยังจะมีคนกังวลถึงเขาอีกเหรอ?
เขามองไปยังรพีพงษ์เอ่ยถามรพีพงษ์ว่าคิดจะทำยังไงต่อไป รพีพงษ์นำคำพูดที่นราธิปคุยกับเขาบอกให้บวรวิทย์ได้ฟัง บวรวิทย์แทบอยากจะไปเอาต้นคงจิตนั่นกับรพีพงษ์ด้วย
เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ที่เมืองแฟรี่ เขาไม่สามารถจากไปได้
บวรวิทย์เตือนรพีพงษ์ : “สัตว์ประหลาดหิมะที่ภูเขาหิมะซีหลิงมีเยอะมาก ล้วนเป็นสัตว์ในตำนานที่มีการฝึกฝนมากกว่าพันปี คุณไปที่นั่นอันตรายอย่างมาก จะต้องเตรียมไปให้ดี” ในระหว่างคำพูดล้วนมีแต่ความเป็นห่วง
รพีพงษ์แบมือยักไหล่ พูดกล่าว : “ฉันผ่านประสบการณ์มามากมายขนาดนี้ รอดจากเหตุการณ์ที่เลวร้ายมาได้ ครั้งนี้จะต้องสำเร็จแน่นอน คุณวางใจเถอะ ”
ครั้งนี้ที่ฉันมาหาคุณ ก็เพราะต้องการให้คุณช่วยดูแลปัณฑาเจ้าเด็กนั่นให้ดี แล้วก็ผลินด้วย แม่ของเธอฝากฝังเธอไว้กับฉัน จะให้เกิดเรื่องขึ้นกับเธอไม่ได้
บวรวิทย์พยักหน้า เขาคิดว่า รพีพงษ์ไม่อยู่ นี่เป็นความรับผิดชอบที่ไม่สามารถบอกปัดได้
รพีพงษ์ได้รับคำตอบของบวรวิทย์แล้ว โล่งอกครู่หนึ่ง รพีพงษ์มองไปยังบวรวิทย์อย่างละอายใจ : “ฉันรู้ นรเทพอยู่ที่ตระกูลภูสรีดาว จะต้องสร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลภูสรีดาวไม่น้อยเลย ฉันขอรับรองว่า ฉันจะรีบกลับมาอย่างแน่นอน”
“พูดมากขนาดนี้ทำไมกัน เห็นเป็นคนอื่นคนไกลแล้วนะ อยากจะบอกลาพวกเขาสักหน่อยไหม?” ทันใดนั้นสีหน้าแววตาของบวรวิทย์ก็เคร่งขรึมขึ้นทันที เขารู้ว่าเส้นทางนี้จะต้องอันตรายและยากลำบากเป็นแน่ พยายามที่จะไม่ทำให้อารมณ์ของตัวเองแปรปรวน
รพีพงษ์พูดกล่าว : “เด็กน้อยอย่างคุณหวังว่าฉันไปแล้วไม่กลับมาจริงๆเหรอ นี่มันไม่จำเป็นเลย นิสัยของผลินจะต้องตามตื๊อฉันอย่างแน่นอน พาเธอไปด้วยก็ไม่ค่อยสะดวก”
ขณะที่รพีพงษ์นึกถึงผลินขึ้นมา ก็นึกถึงอารียาแล้ว ถ้าหากคนที่อยู่ตำหนักอ๋องในวันนี้เป็นอารียา เขาจะต้องพาอารียามาด้วยแน่นอน
สามีภรรยาควรที่จะลงเรือลำเดียวกัน ช่วยเหลือซึ่งกันแล้วกัน……