พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1607 เปิดประตูเมือง
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1607 เปิดประตูเมือง
เดชายังไม่พูดอะไร ลูกน้องข้างๆกำลังจะลงมือ เขาทนมองต่อไปไม่ได้
“ฉันต้องการฆ่าเขา ทหารจวนจะถึงเมืองอยู่แล้ว หมอนี่อยู่บนหอคอยเมือง ตั้งใจยั่วยุกันไม่ใช่เหรอ?”
“พูดจาไร้สาระ หากยังไม่ได้รับการยืนยัน ไม่ว่าใครก็ห้ามบุ่มบ่าม”
เดชา ไม่อาจประมาทฆ่าศึก และก็ไม่กล้าประมาทข้าศึก นรเทพเคยต่อสู้กับรพีพงษ์มาก่อน นรเทพและพี่ชายของตัวเองเก่งขนาดนั้นต่างก็อยู่ในมือของพวกรพีพงษ์ กองกำลังทหารหลายแสนนายของตัวเองไม่แน่ว่าจะชนะสงคราม
เดชารู้ดีแก่ใจ แม้ว่ากองทหารที่ยอดเยี่ยมมีจำนวนมาก แต่ความแข็งแกร่งของนรเทพ นรเทพก็สามารถชนะสงครามได้ ในใจเขาเป็นกังวล
ตอนนี้ประตูเมืองแฟรี่ปิดแล้ว รู้ว่าพวกเขามา ตระกูลภูสรีดาวและตระกูลนฤวัตปกรณ์ต้องเตรียมการไว้พร้อมแล้ว
คนที่เก่งที่สุดก็คือปริตรแห่งตระกูลนฤวัตปกรณ์ เดชาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินมาไม่มากก็น้อย ยังไงก็ต้องป้องกันไว้หน่อยแล้ว
จะตีเมืองและยึดครองดินแดนยิ่งเป็นไปไม่ได้ จะเสียทหารเยอะ มันจะไม่เป็นผลดีต่อการต่อสู้ในอนาคตแน่ เขาทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นไม่ได้หรอก
นฤเบศร์ยืนอยู่บนกำแพงเมือง รู้ว่าพวกเขาจะต้องมาคุยกับตัวเองแน่ เขาอยู่ด้านบน ยืดคอและตะโกนว่า: “ฉันเป็นคนของนรเทพ เจ้านายตายอย่างน่าอนาถ ตอนนี้พวกคุณมาแล้ว ฉันยินดีที่จะร่วมมือกับพวกคุณในการแก้แค้นให้เจ้านาย”
นฤเบศร์พูดอยู่นั้น สายตาของเดชาอดไม่ได้ที่จะจ้องไปที่เขา มองจากไกลๆไม่ค่อยชัดเจน ก่อนหน้านี้ได้ยินชเนศบอกว่า คือตระกูลพิมพ์สาร
และถาม: “บนกำแพงเมือง คุณชื่ออะไร?”
“ฉันชื่อนฤเบศร์ เจ้าบ้านตระกูลพิมพ์สาร ฉันอยู่ร่วมโลกกับตระกูลภูสรีดาวและตระกูลนฤวัตปกรณ์ไม่ได้ ตอนนี้ฉันยินดีที่จะต่อสู้ไปด้วยกันกับทุกคน”
นฤเบศร์พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความฮึกเหิม เดชาเชื่อใจเขาไม่ได้ เขาเป็นคนของเมืองแฟรี่ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เคยคิดถึงเมืองแฟรี่เลยงั้นเหรอ?
เดชายิ้มเย็นชา: “คนในเมืองแฟรี่อย่างพวกคุณมีนิสัยขี้โกงทั้งนั้น ฉันไม่เห็นมีใครอยู่รอบตัวคุณเลย ดักซุ่มกันไว้นานแล้วใช่ไหมล่ะ แล้วรอให้พวกเราติดกับดัก?”
เมื่อพูดจบ ข้างกายของพลตรีที่อยู่ข้างๆเดชากล่าว: “ต้องเป็นอย่างนี้แน่ จะมีคนหวังดีขนาดนั้นได้ยังไง ตอนนี้เจ้านายตายไปแล้ว พวกเรารุกอย่างเดือดดาล ถ้าหากมันเป็นกลอุบาย เราก็จะสูญเสียอย่างมาก”
นฤเบศร์มองไปที่ประตูใต้กำแพงเมือง สูดลมหายใจลึกๆ มองไปที่นฤเบศร์อีกครั้งอย่างสับสนและมองหาพวกรพีพงษ์ แล้วสายตาก็มองไปที่สิงโต 10 กว่าตัว
นฤเบศร์กล่าว: “ตอนนี้ประตูเมืองล็อกแน่น พวกคุณเข้ามาไม่ได้ง่ายๆหรอก พวกเขาได้อพยพคนในเมืองแล้ว ทหารเฝ้าป้อมฉันฆ่าหมดแล้ว ฉันเปิดประตูให้พวกคุณได้ และพวกคุณต้องไปจัดการรพีพงษ์รวมถึงตระกูลภูสรีดาว
เดชามองเขาอย่างประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนฤเบศร์ถึงทำเช่นนี้ เขาไม่เชื่อเพียงเพราะการถวายความจงรักภักดีต่อนรเทพ
แม้แต่เดชาก็ไม่อยากสาบานว่าถึงแม้จะตายก็จะจงรักภักดีต่อนรเทพ ก็แค่พี่ชายของเขาตายในเงื้อมมือของรพีพงษ์เท่านั้น หากไม่พูดคำนี้ออกไป ในใจก็คงปล่อยไปไม่ได้
ภายใต้การแอบแฝงการแก้แค้นเพื่อนรเทพ รวบรวมกำลังพลทั้งหมดของนรเทพ ยืมมือพวกคนที่มีความรู้และฝีมืออยู่ในระดับสุดยอดในการฆ่าคน
“ตอนนี้คุณเปิดประตูให้เรา ฉันเดชายินดีที่จะเป็นเพื่อนกับคุณ ถ้าหากเพียงแค่พร่ำบอก ยังไงฉันก็ไม่มีทางเชื่อถือหรอกนะ”
นฤเบศร์ไม่มีวรยุทธใดๆแล้ว เดินเตาะแตะๆไปยังประตูนั่น มองดูกลอนประตูใหญ่นั่นอย่างเคร่งขรึม ก้าวขึ้นไปอย่างหนักแน่นเพื่อไปเปิดประตู
ยังดี ที่ทุกคนไปกันหมดเกลี้ยงแล้ว แม้ว่าทหารเหล่านี้เข้าไปแล้ว ก็จะไม่ทำร้ายผู้คนมากเกินไป
อีกอย่างกองทหารของเขามีมากมาย เข้าไปไม่หมดทุกคน
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นประตูเมืองค่อยๆ ถูกเปิดออก เดชาไม่เชื่อว่าเขาจะช่วยตนจริงๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับความจริง เดชาไม่พูดอะไร สั่งกองทัพให้เข้าไปโดยตรง และในบ้านของนฤเบศร์ก็มีแค่เขาคนเดียวที่อยู่ เขาคุกเข่าต่อหน้าป้ายของบรรพบุรุษ ในหูได้ยินเสียงฝีเท้า เขาคุกเข่าและมือยันกับพื้นโน้มศีรษะติดพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ต่อให้เลวทรามแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำเรื่องที่ไร้ผู้สืบสกุลได้ แต่เมื่อไม่ทำเช่นนี้ เขาก็ไม่มีลูกหลานไว้สืบสกุลแล้วจริงๆ
จิรันดน์ต้องการปกป้องไว้ แต่เขาไม่มีความสามารถแล้ว
บ้านในเมืองแฟรี่ สัตว์ที่เลี้ยงไว้ที่บ้านถูกฆ่าตายหมด ที่จริงแล้วคนของเดชาหาไม่เจอแม้แต่คนเดียว กริ้วโกรธอย่างมาก
ลูกน้องของเขากล่าว: “ขุนพล พวกเราโดนหลอกแล้ว หมอนั่นเปิดประตูเมือง แต่ไม่มีอะไรเลย พวกเรามาทำอะไร เดิมทีก็ไม่รู้ว่าศัตรูที่เราจะฆ่าอยู่ที่ไหนกัน”
เดชาไม่คิดเช่นนี้ แม้ไม่รู้ว่านฤเบศร์มีจุดประสงค์อะไร แต่ก่อนหน้านี้นฤเบศร์เป็นคนของนรเทพ เรื่องนี้คือเรื่องจริง คนตายเหล่านั้นที่อยู่บนกำแพงเมืองนฤเบศร์ก็เป็นคนฆ่าจริงๆ นฤเบศร์ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดโกหก
เดชานึกถึงตำหนักอ๋องขึ้นได้ พากองทัพของตนมุ่งหน้าไปยังตำหนักอ๋อง มีเพียงแค่ตำหนักอ๋องถึงจะมีคนที่เขาตามหา
เมื่อมาถึงหน้าประตูตำหนักอ๋อง ทำไมถึงเข้าไปไม่ได้ ถูกข่ายอาคมกั้นเอาไว้
พวกรพีพงษ์ไม่ได้กลับมา เทวเทพหากอยู่ข้างนอก บวรวิทย์ก็มาถึงตำหนักอ๋องก่อนแล้ว และยังมีนราธิปกับปริตร
บวรวิทย์กังวลว่าพวกเขาจะบุกเข้ามาโดยไม่ลังเล ดังนั้นสร้างข่ายอาคมไว้ ตอนนี้มันมีประโยชน์อย่างมาก
ลูกน้องคนหนึ่งกล่าว: “คุณชาย หาพบแล้ว นฤเบศร์ไปเปิดประตู เขาตั้งใจพาทหารเหล่านั้นเข้ามาครับ”
บวรวิทย์ต่อยเสาข้างเขา ตวาดด้วยความโกรธ: “เลวจริงๆ นฤเบศร์ทำเช่นนี้แล้วมันจะดีต่อเขายังไงกัน?”
ปริตรยิ้มเย็นชา: “ตระกูลภูสรีดาวและตระกูลพิมพ์สารอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ และเมื่อกี้ฉันก็ได้ยินเรื่องนี้มาตลอดทาง รพีพงษ์ทำลายการฝึกตนของนฤเบศร์ ถ้าคุณคือนฤเบศร์ คุณจะทนได้เหรอ?”
บวรวิทย์กล่าวด้วยความโกรธจัด: “นั่นก็เป็นกรรมที่นฤเบศร์ก่อไว้และกรรมตามสนอง เขาเป็นคนใจคด อีกอย่างต้องการตั้งตัวเป็นศัตรูกับเรา รพีพงษ์ก็ไม่ใช่คนที่สร้างปัญหาโดยไร้เหตุผลอยู่แล้ว”
ปริตรไม่ได้พูดอะไร เขามีแนวทางอยู่ในใจอยู่แล้ว นฤเบศร์อยู่ที่บ้านคนเดียว เขาและตระกูลพิมพ์สารอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ กลับให้จิรันดน์ไปหาพวกรพีพงษ์ เพื่อร้องขอให้ปกป้อง
พ่อแม่รักลูก สิ่งที่ทำได้ก็ทำได้แค่นี้แล้ว ภายนอกดูเหมือนว่า ชั่วร้ายบาปหนา แต่ในฐานะที่เขาเป็นพ่อคนๆหนึ่ง เขาก็มีคุณสมบัติพอ
นราธิปไม่มีเวลาคิดอะไรมาก ถามลูกน้องพวกรพีพงษ์พวกเขาอยู่ที่ไหน จากการนำพาของลูกน้อง พาเข้าสู่เส้นทางลับในสนามหลังบ้าน ซึ่งเป็นที่ที่รพีพงษ์และพวกเขาอยู่กัน
นราธิปขื่นชมรพีพงษ์อย่างมาก ถึงตอนนี้แล้ว ยังเป็นห่วงบ้านเมือง เขาไม่เคยมองคนผิด เทวเทพเป็นคนวางอำนาจเผด็จการมาตลอด ครั้งนี้ทำได้ถูกต้องมากๆ
เมื่อถึงสถานที่ที่รพีพงษ์และพวกเขาอยู่กัน จิรันดน์รีบมา และถามว่า: “พวกคุณเห็นพ่อผมไหม?”
ลูกน้องที่พูดเมื่อสักครู่มองบนให้จิรันดน์และกล่าว: “พ่อของคุณเปิดประตูเมือง ปล่อยให้ทหารของนรเทพเข้ามา ฉันเห็นกับตา”
จิรันดน์แทบจะไม่เชื่อหูของตัวเอง ทำไมพ่อของเขาต้องให้ตัวเองมาอยู่กับพวกรพีพงษ์ด้วย ตอนนี้ก็มาแล้ว แล้วทำไมต้องเปิดประตูเมืองด้วย?
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว สายตามองไปที่จิรันดน์ เห็นเพียงแค่สีหน้าของจิรันดน์ซีดลงอย่างมาก เขานั่งยอง ๆบนพื้นและจับหัวตัวเอง และกล่าวว่า: “เป็นไปไม่ได้ บวรวิทย์ คุณเชื่อพ่อฉันสิ เขาไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่ คุณก็รู้ดี ใช่ไหม?”