พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1612 เสร็จแล้วก็ต้องกลับไป
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1612 เสร็จแล้วก็ต้องกลับไป
เดชารีบวิ่งกลับมาที่เดิม แล้วก็ไม่เห็นเงาของนฤเบศร์แล้ว แล้วก็ต่อยไปยังเสาแกะสลักกลางห้องโถงนั้นอย่างไร ด้วยความโมโห
“คนพวกนี้ทุเรศมาก ในเมื่อใช้วิธีที่ต่ำช้าแบบนี้ แน่จริงก็ออกมาสู้กันเลย กูจะให้5ม้าแยกร่างมึงเลยคอยดู”
ลูกน้องข้างๆ เขาก็มีสีหน้าไม่ยอมเหมือนกัน กว่าจะถามอะไรออกมาได้ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะถูกคนอื่นพาตัวไป แผนการของเขาก็เสียเรื่องอีกจนได้ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“ท่านแม่ทัพ ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี? ผมว่า ไอ้คนนั้นน่าจะอยู่ที่ตำหนักอ๋อง ตอนนี้พวกเราไปดูที่ตำหนักอ๋องดีไหม?”
เดชารู้ดีว่าตอนนี้มีเพียงแผนเดียว ถ้าหากว่าไม่ไป ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ศัตรูหนีรอดไปได้ แบบนั้นก็จะไม่ได้อะไรเลย
เดิมทีเขาคิดว่าเดี๋ยวจะเป็นสงครามที่ดุเดือดครั้งใหญ่ แต่คิดไม่ถึงว่าฝั่งตรงข้ามจะหลบซ่อนตัว ไม่ให้เห็นแม้แต่ใบหน้า
เขาก็คาดเดาไม่ออกเหมือนกันว่าตอนนั้นพวกเขาเอาชนะเจ้านายตนเองอย่างไร พวกเขาไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอก
เดโช ก็คือพี่ชายของเขา และเป็นคนที่เก่งมากเหมือนกัน แต่ก็ถูกทำลายในมือพวกเขาเหมือนกัน มันช่างคาดเดายากเสียจริงๆ
ถ้าหากว่าไม่ฆ่าศัตรูพวกนี้ เทวโลกก็จะมีเจ้านายคนใหม่ พวกเขาก็จะมีจุดจบที่ไม่ดีเท่าไรนัก
พวกเขาทั้งหลายก็รีบมาถึงยังตำหนักอ๋อง ข่ายอาคมของตำหนักอ๋องถูกทำลายไปแล้ว และบวรวิทย์ก็รู้ว่าพวกเขาจะต้องตามมาแน่ ก็เลยทำลายทางเข้าของทางลับทิ้งเสีย
ต่อให้พวกเขามาถึง ก็ไม่มีทางรู้ว่าจะไปตามหาพวกของรพีพงษ์ที่ไหน
อีกฝั่งหนึ่ง รพีพงษ์ก็กำลังมองดูรพีพงษ์ในกระจกสะท้อน ในใจก็เป็นกังวลมาก เขารู้ว่าบวรวิทย์เป็นคนยึดถือในคุณธรรม มองจิรันดน์เป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ แต่เขาไม่คิดเลยว่าบวรวิทย์จะฝ่าอันตรายเพื่อไปช่วยคนแบบนี้
ในใจก็กลัดกลุ้มเล็กน้อย บวรวิทย์ช่วยพ่อของจิรันดน์ออกมา แต่พ่อของจิรันดน์หักหลังทุกคน จะต้องจัดการอย่างไรถึงจะให้ทุกคนยอมรับได้?
เจตรินก็ยิ้มเย็น “ช่างเป็นคนยึดถือในคุณธรรมเสียจริงๆ ก่อนหน้านี้ทำไมไม่เห็นรู้ว่าเป็นแบบนี้เลย? แต่ว่าก็โง่อยู่เหมือนกัน!”
เจตรินได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว เขาก็เลยบอกกับรพีพงษ์ไปเลย ถ้าหากว่ากลไกถูกเปิดขึ้น ในเมืองทั้งหมดจะกลายเป็นซาก แล้วทุกอย่างจะต้องเริ่มขึ้นมาใหม่ แก้ไขกันใหม่
รพีพงษ์ยิ้มแบบไม่สนใจไยดี ที่เขาพูดมาทั้งหมดล้วนถูกทำขึ้นด้วยฝีมือคน ขอเพียงมีคนอยู่ งั้นอะไรก็ถูกสร้างขึ้นมาได้ทั้งนั้น
“รอชนะสงครามครั้งนี้แล้วล่ะก็ ในเมืองควรจะมีเจ้านายคนหนึ่ง มีคนคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ จะให้เมืองกลับมาเป็นแบบเดิม หรือแม้กระทั่งสวยงามกว่าเดิม ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เวลาใด รพีพงษ์ก็จะมีจิตใจที่มั่นคงตลอด ต่อให้จะเจอเรื่องเกี่ยวกับลูกสาวและภรรยาตนเอง ก็ยังคงสามารถรักษาความสงบนิ่งในใจได้เสมอ
แม้กระทั่งเสียใจก็ใช้เวลาไม่นานในการที่จะคืนกลับมาเป็นปกติได้ นี่คือสิ่งที่ฝึกได้จากตอนที่เป็นลูกเขยของบ้านอื่นเขา
บางครั้งก็หวนนึกถึงเรื่องราวที่ไม่อยากจะนึกถึงมันอีก ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ อย่างน้อยเรื่องพวกนั้นก็ทำให้เขาได้เติบโตมาไม่น้อย ได้รู้จักความโหดร้ายในโลกนี้
เจตรินได้ยินรพีพงษ์บอกว่าจะหาผู้นำให้กับเมืองนี้ ก็ขมวดคิ้ว ในใจก็พอจะมีแผนแล้ว
ก่อนหน้านี้มีสามตระกูลคอยปกครองเมืองนี้ทุกอย่าง จริงๆ แล้วแบบนี้มันไม่เหมาะสม ควรจะยกย่องคนหนึ่งขึ้นมาเป็นผู้นำ ที่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ที่เทวโลกมีนรเทพเป็นผู้นำเพียงคนเดียว
เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ หลักการนี้ใครๆ ก็รู้ เขาแค่คิดในใจเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรสงครามนี้มันเพิ่งเริ่มเท่านั้น
และได้เริ่มเปิดกลไกแล้วนั้น วิธีเดียวกันสามารถเอามาใช้ได้ในเรื่องเดียวกัน ก่อนหน้านี้นรเทพก็เสียสติอยู่ภายใต้กลไกนี้ ตอนนี้มาใช้บนตัวทหารของเขา ก็จะได้ผลแบบเดียวกัน
แต่ที่น่าเสียดายก็ถือกำลังทหารของเขาไม่ได้อยู่ในเมืองทั้งหมด ต่อให้เจตรินเก่งแค่ไหนก็โจมตีในครั้งแรกได้เท่านั้น ต่อจากนั้นก็จะขึ้นอยู่กับพวกของรพีพงษ์
ในเมืองก็ฟ้าถล่มดินทลาย พวกของเดชารู้เหมือนว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ร่างกายของตนเองเอียงไปด้านหน้าอย่างเสียการควบคุม
ภูเขาถล่ม ดินแยก หินบนภูเขากลิ้งตกลงมา ไม่เพียงเท่านั้น น้ำในแม่น้ำก็ไหลพัดขึ้นมาด้านบน โดยที่พวกเขาควบคุมตัวเองไม่ได้เลย
เทวเทพมองทุกสิ่งอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง แล้วก็รู้สึกเสียดายบ้านตนเอง
ก่อนหน้านี้รู้มาตลอดว่าได้ความช่วยเหลือจากเจตริน ถึงสามารถจับนรเทพได้ แต่เข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจตรินจับได้อย่างไร พอดูสภาพทุกอย่างในเมืองผ่านกระจกสะท้อน ในใจเขาก็เข้าใจขึ้นมาได้
เจตรินเรียกรพีพงษ์มา “ที่ผมทำได้ก็มีเพียงเท่านี้แหละ ตอนนี้คุณต้องคิดหาวิธี จัดการกับนฤเบศร์ให้เรียบร้อย เดี๋ยวอีกไม่นานทุกคนไปออกรบ จะได้ไม่มีผลกระทบอะไร”
รพีพงษ์ก็ต้องขมวดคิ้ว เขารู้ดีว่านี่เป็นเรื่องยาก แต่บวรวิทย์เพิ่งช่วยคนออกมา จะให้เข้าไปฆ่าเลยก็ไม่ได้
ถ้าเกิดว่าฆ่าไปจริงๆ ตนเองก็จะกลายเป็นศัตรูของบวรวิทย์ บวรวิทย์ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของตนเองกับจิรันดน์ถูกทำลาย รพีพงษ์เองก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของตนเองกับบวรวิทย์ถูกทำลายลงเพราะเรื่องนี้
พอได้ยินคำพูดของเจตริน เทวเทพก็รู้สึกว่าบวรวิทย์บ้าจริงๆ ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ทำไมถึงทำเสียเรื่องได้ ช่างทำให้ตนเองผิดหวังมาก
เทวเทพพูดออกมาทันทีว่า “เรื่องนี้เป็นเพราะลูกชายไม่รักดีของผมก่อขึ้นมาเอง เดี๋ยวผมจะให้คำตอบที่ทุกคนพอใจเอง นี่มันเวลาไหนแล้ว มันยังหน้ามืดตามัวไปทำเรื่องแบบนั้นได้อีก มันจะทำให้ทุกคนวิตกสิไม่ว่า”
ขณะพูด ยังไม่ทันรอให้รพีพงษ์ลงมือเอง เขาก็เดินไปยังฝั่งที่บวรวิทย์อยู่ รพีพงษ์ก็โล่งอก เทวเทพไปจัดการ บวรวิทย์คงไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นมองพ่อตนเองเป็นศัตรูหรอก
พอบวรวิทย์ช่วยคนรอดกลับมาได้ ก็พาไปยังฝั่งของจิรันดน์ เดิมทีจิรันดน์ก็จิตใจเหม่อลอย พอเห็นว่าพ่อตนเองปลอดภัยกลับมา ก็มีสติขึ้นมาได้ทันที
ยังไม่ทันได้ดีใจพูดอะไรเลย ก็เห็นเทวเทพพุ่งเข้ามาด้วยความโกรธ บวรวิทย์ลุกขึ้น แล้วก็ถูกเทวเทพตบเข้าไปที่ใบหน้าเต็มๆ
“ไอ้ลูกไม่รักดี เอ็งกำลังล้อเล่นกับชีวิตของทุกคน รู้ไหม?”
จริงๆ แล้วเทวเทพก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน เขาและนฤเบศร์ไม่ถูกกันมาตลอด ตอนนี้ก็ได้โอกาสพอดี จะต้องฆ่านฤเบศร์ให้ได้
ไม่มีใครรู้จักลูกตนเองดีเท่าพ่อแท้ๆ แจิรันดน์ทนเห็นพ่อตนเองเป็นอะไรไปไม่ได้ จะว่าไปแล้ว ทุกอย่างที่พ่อเขาทำลงไปทั้งหมด ก็เพื่อตัวเขานั่นแหละ
พอเห็นท่าทางของจิรันดน์ เทวเทพก็โมโหเพิ่มไปอีก พ่อลูกคนอื่นเขามีใจคิดเหมือนกัน แต่ทำไมบวรวิทย์ถึงไม่ยอมฟังอะไรตนเองเลย?
มีเพียงสองพ่อลูกมีใจไปในทางเดียวกัน ครอบครัวถึงจะสงบสุขเจริญรุ่งเรือง เทวเทพก็มองวัยรุ่นตรงหน้า แล้วพูดว่า “การรับปากของเอ็งมันไม่ได้ผลอะไรหรอก พ่อเอ็งเป็นคนแบบไหนเอ็งไม่รู้หรือไง?”
คำพูดนี้เป็นความจริง จิรันดน์รู้ดีว่าไม่มีทางเปลี่ยนความคิดของพ่อตนเองได้ จากเรื่องนี้ ไม่ว่าอย่างไรนฤเบศร์ก็จะไม่ทำเรื่องโง่เด็ดขาด
เรื่องที่ก่อขึ้นทั้งหมด ตอนนี้ก็ได้รับกรรมแล้ว เขาไม่มีเหตุผลที่ต้องหน้ามืดตามัวต่อไป
นฤเบศร์ถูกบวรวิทย์ตีจนสลบ ตอนนี้ฟื้นขึ้นมาก็ยังไม่ได้สติดี เขารู้ว่าเทวเทพไม่ชอบเขา ตอนนี้มาตกอยู่ในมือของเทวเทพ เทวเทพคงไม่ปล่อยตนเองไปง่ายๆ แน่ แล้วก็พูดกับจิรันดน์ว่า “จะเป็นจะตายก็ปล่อยไปตามกรรม เอ็งจะลดตัวไปขอร้องมันทำไม?”
พอได้ยินดังนั้น จิรันดน์ก็โมโหเล็กน้อย ถึงแม้ปากเขาจะบอกว่าไม่ยอมยินยอม แต่ก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายเขาจริงๆ การกระทำของเขานี้ช่างขำสิ้นดี
เทวเทพยิ้มเย็น “ศัตรูอยู่ตรงหน้า กูไม่มีเวลาจะมาหาเรื่องกับมึง แต่ว่ามึงจะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ ไม่งั้นจิตใจของกองทัพจะไม่นิ่ง”
เทวเทพก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไร เขาอยากจะฆ่าจิรันดน์ แต่พอนึกขึ้นได้ ว่าเขาถูกบวรวิทย์ช่วยออกมาอย่างยากลำบาก ถ้าไปฆ่าทิ้ง ก็จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกเกิดช่องว่างขึ้น ความคิดพวกนี้ก็เลยต้องเอาวางไว้อีกด้านหนึ่ง
ตอนนี้บวรวิทย์ก็พูดขึ้นว่า “พ่อครับ ถ้าไม่ให้อยู่ที่นี่ แล้วจะให้ไปอยู่ไหน?”
เทวเทพก็พูดอย่างเอือมระอาว่า “มันจะต้องมีที่ให้มันไปอยู่แหละ เอ็งก็พาคนไปที่ภูเขาสองกระบี่ แล้วก็ถือโอกาสพาไอ้หมอนี่ไปด้วยเลยแล้วกัน”
ตอนที่เทวเทพพูดนั้น ก็มองจิรันดน์ไปด้วย นฤเบศร์ต้องการคนคอยดูแล ให้จิรันดน์ตามไปด้วยจะได้ช่วยดูแลได้ดี
เทวเทพไม่ได้คิดเป็นศัตรูกับจิรันดน์ เรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่เกี่ยว อีกอย่างเขากับลูกชายตนเองก็สนิทกันดี
ถ้าก่อนหน้านี้ไม่มีเขาอยู่ บวรวิทย์ก็คงไม่รอดจากตระกูลพิมพ์สารมาได้
จิรันดน์ก็มองเทวเทพอย่างซาบซึ้ง แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสครับ หลังจากพวกเราไปแล้ว ทางนี้จะเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”
เทวเทพก็ถือว่าเป็นคนที่มีหน้ามีตาอยู่เหมือนกัน ถ้าเขามีปัญหาอะไร ต่อให้คนอื่นจะคิดอย่างไรก็คงไม่พูดอะไรออกมาหรอก
“เรื่องที่นี่คุณไม่ต้องสนใจ เดี๋ยวผมจัดการเอง” บวรวิทย์พูดกับจิรันดน์
เนื่องจากพ่อของจิรันดน์เกือบจะเป็นอะไรไป ไม่ว่าใครก็คงจะไม่สามารถตั้งสติกลับมาได้เร็ว ดังนั้น ตอนนี้จิรันดน์ก็ค่อนข้างกลัวจนตัวสั่นๆ
เทวเทพก็ไม่อยากให้พวกเขามาพูดเรื่องความสนิทสนมกันแบบเพื่อนพ้องที่นี่ เขารู้สึกว่าตนเองตัดสินใจได้แบบนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
เทวเทพเดินออกไป บวรวิทย์ก็โล่งใจ มักรู้สึกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเทวเทพ เหมือนว่ามีพลังอะไรบางอย่างมากดดันตนเองไว้จนแทบจะหายใจไม่สะดวก
ที่สำคัญคือมีเรื่องที่จะขอร้องต่อเทวเทพ ดังนั้นท่าทางก็เลยจะแข็งกร้าวไม่ได้ ไม่อย่างนั้นสองพ่อลูกก็คงไม่ได้เข้าใจกันดีแบบนี้
จิรันดน์ก็มองรพีพงษ์อย่างกังวล แล้วพูดว่า “ผมไม่แรงแม้แต่จะฆ่าไก่สักตัว ถ้าระหว่างทางเกิดอะไรไม่คาดคิดขึ้นมา ก็ไม่มีความสามารถไปรับมือไว้ได้ บวรวิทย์ ตอนนี้พ่อของผมถูกทหารของนรเทพจับจ้องอยู่ จะออกไปแบบนี้ไม่ได้ คุณไปส่งผมทีเถอะ”
ระหว่างจิรันดน์กับบวรวิทย์ ไม่เคยที่จะต้องมาเกรงใจอะไรกัน บวรวิทย์พยักหน้าตอบรับมา คำโบราณว่าไว้ช่วยคนก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด เขาเลยไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไปส่งพวกเขา
พอออกไปก็ไม่ได้พูดอะไรกับเทวเทพ เทวเทพก็รู้ความคิดของบวรวิทย์ ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นจะแก้ไขได้แล้ว ไปก็ไปเถอะ
บวรวิทย์ยังออกไปได้ไม่ไกล เขาก็สั่งบวรวิทย์ว่า “ระหว่างทางก็ระวังด้วย ทหารของนรเทพคงไม่อยู่แต่ในพื้นที่ของเมืองแฟรี่อย่างเดียว”
บวรวิทย์ตอบรับ จริงๆ แล้วรพีพงษ์ก็คิดไม่ถึงว่า เทวเทพจะปล่อยนฤเบศร์ไป ด้วยนิสัยของเขา ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะฆ่านฤเบศร์ทิ้งแน่ๆ
เพราะถึงอย่างไรจิรันดน์ก็ไม่มีพลังอะไรแล้ว ถ้าอยากจะฆ่านฤเบศร์ จิรันดน์ก็ไม่มีกำลังที่จะแก้แค้นได้
ระหว่างทางไปนั้นก็ไม่ค่อยสงบนัก รพีพงษ์ก็ค่อนข้างกังวลบวรวิทย์ ก็เลยเดินไปข้างบวรวิทย์ แล้วบอกว่า “ผมไปด้วยไม่ได้ แต่ระหว่างทางคุณก็ระวังตัวด้วย เข้าใจแล้วนะ?”
“ผมเองก็ไม่ใช่เด็กแล้ว คุณวางใจเถอะ ไม่เป็นอะไรหรอก”
รพีพงษ์ก็มองจิรันดน์ จิรันดน์รู้สึกผิดในใจ ก่อนหน้านี้ยังเคืองที่รพีพงษ์ทำลายพลังวิชาของพ่อตนเอง ดังนั้นก็เลยเกิดเรื่องขึ้นมาทั้งหมดนี้ ตอนนี้ดูเหมือนว่าตนเองจะคิดเล็กคิดน้อยไปเอง
รพีพงษ์ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่มองนฤเบศร์ไป การกระทำของนฤเบศร์ทำให้เขายอมซูฮก ตนเองก็มีลูกเหมือนกัน ถ้าเกิดว่ามีวันนั้นจริงๆ ตนเองก็คงทำเหมือนกับนฤเบศร์
ขอเพียงพวกเขาไม่อยู่ที่นี่ ก็สามารถอธิบายกับคนอื่นๆ ได้แล้ว ตอนที่ไปฆ่าพวกเขา พวกเขาก็ได้หนีไปแล้ว ไม่ค่อยเข้มงวดมากนัก แต่ถ้าไม่ใช่เพราะคนนั้นโง่ไป ก็คงไม่ตามเอาเรื่องอะไร
ตอนนี้ที่เมืองแฟรี่วุ่นวายไปหมดแล้ว ไม่ได้มีสภาพแบบเดิมแล้ว ผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกของรพีพงษ์ก่อนหน้านี้ ไม่สนใจว่าด้านนอกจะเกิดอะไรขึ้น
ปริตรมองไป ก็เห็นว่าคนตายไปพอสมควรแล้ว เขาก็พูดกับรพีพงษ์ว่า “พวกเราจะให้โอกาสฝั่งตรงข้ามพลิกตัวกลับมาไม่ได้ ที่ผมทำได้ก็มีเพียงเท่านี้แหละ ที่เหลือก็ให้พวกคุณจัดการก็แล้วกัน”
เมืองแฟรี่ภูเขาเคลื่อนแผ่นดินไหว!
ตอนนี้ ผู้คนได้ตายไปไม่น้อยแล้ว เดชาก็อาเจียนอยู่อีกฝั่งไม่หยุด ลูกน้องรอบกายเขาก็เป็นกังวลมาก พวกเขาคิดไม่ถึงว่า เรื่องมันจะเป็นแบบนี้
พวกเขายังไม่ทันตั้งตัวได้ ด้านนอกก็มีคนเข้ามา “แย่แล้ว ท่านแม่ทัพ กองทัพที่เราตั้งอยู่ด้านนอกเมืองแฟรี่ถูกโจมตี ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?”
เดชาก็ตอบสนองกลับมา แล้วก็รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ลูกน้องข้างๆ ก็มองเขาอย่างกังวล เขานั่งลงพื้นอย่างหมดแรง พร้อมพูดว่า “กูคิดมาตลอดว่าพวกมันซ่อนตัวอยู่ จริงๆ แล้วไม่ได้หลบซ่อน แต่แค่ไม่อยากจะออกมาเอาเรื่องกับพวกเราเท่านั้นเอง พวกมันตั้งใจจะทำให้พวกเราเสียพลังเทพไป พอพวกเราเสียสติไป พวกมันก็จะบุกโจมตี จนพวกเราพ่ายแพ้ย่อยยับ!”
เดชาต้องยอมรับว่าฝั่งตรงข้ามเก่งจริงๆ บวรวิทย์เข้ามาช่วยคนต่อหน้าต่อตาตนเองไปได้ ก็แสดงให้เห็นถึงพลังของเขาได้แล้ว
เขาเป็นเพียงหนึ่งในนั้นเท่านั้น ในเมืองแฟรี่ยังมีคนเก่งอีกมากมาย เดชาไม่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จะเป็นภัยธรรมชาติธรรมดา
เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดเสียงดังว่า “ทุกคนลุกขึ้น ไม่ต้องนั่งต่อแล้ว ไปช่วยกัน”
ทหารที่ตั้งทัพอยู่นอกเมือง เป็นทหารส่วนใหญ่ ตอนนี้พวกนั้นโจมตีมาจากทางด้านหลัง ตนเองจะบุกเข้าไปจากที่นี่ พวกนั้นจะได้คิดไม่ถึง
รพีพงษ์ก็มองเดชาอยู่อีกฝั่ง แล้วก็ยิ้มๆ ความคิดของเขาไม่ธรรมดา แต่กำลังทหารของเมืองแฟรี่ก็ไม่ได้อ่อนแอ เขาคิดไม่ถึง่วาด้านหลังยังมีอีก
เทวเทพและพวกของนราธิปล้วนเป็นยอดฝีมือ ในด้านการรบ เดชาต้องตกอยู่กำมือของพวกเขาแน่นอน
นราธิปเข้ามาถามข้างๆ รพีพงษ์ว่า “ปัณฑาจะกลับมาตอนไหน รู้ไหม?”
รพีพงษ์ก็ยิ้มเบาๆ พูดว่า “เรื่องที่ผมให้เธอไปจัดการ มันยังไม่สำเร็จ ก็คงยังกลับมาไม่ได้หรอก แต่ว่าคงอีกไม่นาน ผมก็ต้องไปจากเทวโลกแล้ว”ต่คนเป็นลูกก็เข้าใจพ่อเหมือนกัน บวรวิทย์รู้ดีว่าพ่อตนเองไม่ได้เป็นคนที่เห็นแก่ส่วนรวมขนาดนั้น ตอนนี้ที่เข้ามา ก็มาพร้อมกับเรื่องส่วนตัวทั้งนั้น
“คุณลุงเบศร์สูญเสียพลังไปหมดแล้ว ต่อให้มีชีวิตรอด ก็เป็นภัยกับพวกเราไม่มากนัก พ่อจะบีบให้เขาตายให้ได้เลยหรือไง?”
“เมื่อครู่นี้มันนั่นแหละที่ปล่อยทหารฝั่งศัตรูเข้ามา เอ็งอยู่ที่นี่สามารถรับรองได้ไหมล่ะว่า มันจะไม่ส่งข่าวอะไรออกไป เพื่อนทำลายชีวิตของทุกคน?”
ทุกคำพูดของเทวเทพล้วนมีเหตุผล จิรันดน์ก็คุกเข่าลงพื้นทันที โขกหัวลงไปจนได้ยินเป็นเสียงชัดเจน พร้อมพูดว่า “ถ้าพ่อผมทำเรื่องแบบนั้น ผมก็ขอตายเพื่อชดใช้ความผิด”