พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1613 ป้องกันเข้มงวด
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1613 ป้องกันเข้มงวด
ได้ยินรพีพงษ์พูดแบบนี้ นราธิปก็ยิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้ กลัวว่าเรื่องมันจะไม่ได้ง่ายเหมือนกับที่รพีพงษ์บอก ถ้าทุกเรื่องอยู่ในความควบคุมได้หมด ก็ควบคุมโลกได้หมดแล้วสิ?
รพีพงษ์มองนราธิป แล้วก็ซาบซึ้งต่อนราธิป แต่ก็ไม่มีอะไรต้องตอบแทนได้
เขายอมให้หนูลินเป็นลูกศิษย์ของนราธิป แต่นราธิปบอกว่าเรื่องนี้ยังไม่รีบร้อน
“อาจารย์ธิป พวกเราอยู่ที่นี่นานขนาดนี้ ถ้าไม่ได้คุณคอยดูแล เส้นทางชีวิตของผมก็คงยากลำบาก ขอบคุณคุณมากที่คอยช่วยเหลือผม ถ้าวันไหนมีเรื่องอะไรที่จะให้ผมช่วย ผมก็จะไม่ปฏิเสธเลย”
นราธิปหายใจเข้าลึก ที่เขาช่วยรพีพงษ์ไป ไม่ใช่เพราะอยากให้รพีพงษ์มาตอบแทนอะไร ตอนนี้รพีพงษ์กำลังรับมือกับทหารของนรเทพ ปกป้องชาวบ้านของเมืองแฟรี่ นี่ก็ถือเป็นการตอบแทนที่ใหญ่หลวงแล้ว
เพียงแต่เรื่องที่รพีพงษ์คาดการณ์ไว้ มันคงไม่ได้ง่ายย่างนั้น เขาไม่ได้บอกอะไรกับรพีพงษ์ พอถึงตอนนั้นรพีพงษ์ก็จะรู้เอง
ตอนนี้นราธิปอยากให้เมืองแฟรี่มั่นคงก่อน ไม่อยากให้คนคนนั้นออกมาก่อความวุ่นวาย ไม่อย่างนั้นละก็เทวโลกต้องปั่นป่วนแน่
ถ้ารู้ก่อนว่าคนคนนั้นจะออกมาก่อความวุ่นวาย ก็คงจะเสียใจกับการตัดสินใจในแรกนั้น
พอเห็นว่านราธิปมีอะไรในใจแล้ว รพีพงษ์ก็มองกระจกสะท้อนต่อไป บอกว่าจะไปร่วมสงคราม แต่เทวเทพกับรพีพงษ์ก็ไม่ได้ที่สนามรบเอง
นันท์ธรเป็นคนที่รักการทำสงคราม ก็คงจะไม่นั่งดูอยู่อย่างเดียวแน่ ก็เลยบอกว่าตนเองจะไปดูเสียหน่อย
จากนั้นก็พาทหารกองใหญ่ไปที่นั่น แล้วเขาก็ไปเผาค่ายทหารพวกนั้น ที่ตั้งค่ายอยู่นอกเมืองเมืองแฟรี่ พอไม่มีที่ซุกหัวนอน ก็เงยหน้ามองฟ้า อากาศวันนี้ก็ไม่ค่อยดีนัก ดูซิว่าคืนนี้พวกมันจะทรมานกันไปอย่างไร
เมืองแฟรี่ไม่ใช่เมืองเล็ก คนด้านในเดิมทีก็มีเยอะอยู่แล้ว ทหารของตระกูลภูสรีดาว ตระกูลเยอซอ ตระกูลพิมพ์สาร รวมกันก็มีไม่น้อย
ถึงแม้คนของเดชาจะมีมาก แต่ก็ไม่มีผลอะไรที่นันท์ธรจะรบชนะ
เดชานำทัพ ก็เหมือนกับลูกบอลมีรูรั่ว เจอใครก็ฆ่าหมด โดยไม่ไว้หน้าใครเลย
พวกเขานำทัพมาสามพันคน ไม่นานก็ฆ่าคนของเดชาไปได้แสนกว่าคน คนของเดชาก็กลัวกันไปหมด เดชาเห็นดังนั้นก็ต้องน้ำตาตกใน
เดิมทีเขาคิดว่าการตายของนรเทพ ก็เป็นแค่การพลาดท่าของคนเก่งเท่านั้น แต่มาถูกคนพวกนั้นใช้อุบายเสียได้
แต่ทว่า หลังจากที่ตนเองเจอกับคนพวกนั้นแล้วนั้น เขาก็รู้ว่า นี่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ก่อนหน้านี้ คนพวกนี้ได้เตรียมตัวที่รับมือกับเขาไว้แล้ว แถมยังมีแผนที่ลงมือไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำความเข้าใจเรื่องสภาพแวดล้อม หรือกำลังของศัตรู ก็ล้วนมีความสามารถมากกว่าตนเองมากเลย
เขานำกองทัพเข้าไปยังในป่าแห่งหนึ่ง คนของนันท์ธรก็ตามเข้าไป พอถึงทางเข้าป่าก็ไม่ได้ตามเข้าไปต่อ
อย่าตามหมาจนตรอก หลักการนี้ใครๆ ก็รู้ แถมป่านั้นไม่มีใครเข้าไปเป็นหมื่นปีแล้ว ในนั้นมีสัตว์ป่ามากมาย พวกสัตว์ร้ายจำพวกปีศาจมากมาย พวกเขาเข้าไปคงได้เจอดีแน่
แน่นอนว่า ถ้าเข้าไปแล้วหลงทางอยู่ข้างในจนออกมาไม่ได้ยิ่งดี ลำบากทีเดียวจะได้ไม่ต้องกังวลอะไรอีก ทุกอย่างจะได้เรียบร้อย
เมืองแฟรี่กลับมาเงียบสงบ แต่ทุกอย่างถูกทำลายหมดแล้ว ถ้าอยากจะสร้างบ้านช่องห้องหับให้กลับมาสวยดังเดิมก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ก็มีความยากในระดับหนึ่ง
พวกของรพีพงษ์ก็มาถึงป่านั้น พอมองออกไป ก็เห็นเป็แผ่นผืนสุดลูกหูลูกตา ไม่รู้ว่าสั่งสมอะไรมากี่ปีแล้ว เหมือนกับป่าหมอกที่อยู่ไม่ไกลจากสำนักเทพยาเซียน แถมยังดูใหญ่กว่าป่าหมอกด้วย
เทวเทพเห็นสภาพสงครามดังนั้น ก็หัวเราะลั่น “คิดไม่ถึงเลยว่า ทหารของนรเทพจะไม่เอาไหนแบบนี้ หลายแสนคนแล้วเป็นไงล่ะ สุดท้ายก็ถือทหารของเราขู่จนกลัวหัวหดไป ออกรบยังไม่เป็นเลย ถ้านรเทพรับรู้เรื่องนี้ มันจะโกรธจนฟื้นคืนชีพมาไหมนั่น?”
เทวเทพพูดอย่างดีใจ เขาไม่เคยออกรบแล้วสะใจแบบนี้มาก่อน ขณะพูดก็มองปริตร แล้วพูดว่า “คุณชายปริตร ถ้าไม่มีคุณ แผนของพวกเราก็คงไม่ราบรื่นแบบนี้ คุณคือคนที่สร้างคุณงามความดีที่สุดในสงครามครั้งนี้มาก”
ปริตรก็ยิ้มเบาๆ ภายนอกอาจจะดูไม่ชอบ แต่มารยาทก็ต้องมีบ้าง ถึงอย่างไรก็เป็นคนรุ่นพ่อตนเอง
“ผมหวังว่าทุกคนจะอยู่กันอย่างปลอดภัย ตอนนี้ความหวังของผมก็เป็นจริงแล้วไม่น้อย”
สายตาของปริตรมองไปยังด้านในป่า แล้วก็ขมวดคิ้ว จะให้ศัตรูมีโอกาสพลิกตัวกลับมาสู้ไม่ได้ นอกจากจะมั่นใจว่า พวกนั้นต้องตายอยู่ข้างใน โดยออกมาไม่ได้เท่านั้น
รพีพงษ์ก็คิดเหมือนกัน เขาจ้องมองในป่า แล้วพูดว่า “พวกเราจะไม่สนใจอยู่แบบนี้ไม่ได้ ถ้าพวกนั้นเข้าไป แล้วมีโอกาสพลิกสถานการณ์กลับมาได้ พวกเราก็จะเผชิญกับความพ่ายแพ้ ตอนนี้ยังไม่ถือว่าชนะ”
เทวเทพยิ้มอย่างได้ใจ แล้วพูดว่า “มันเป็นไปไม่ได้หรอก ด้านในมีสัตว์ป่ามากมาย พวกนั้นคงออกมาไม่ได้อย่างปลอดภัยหรอก”
รพีพงษ์ก็มองไปในป่า คนหลายแสนอยู่ด้านใน กิ่งไม้สั่นไหวไปมา ฝูงนกบินขึ้นด้วยความตกใจ
“พวกนั้นมีคนเยอะ ถ้าเกิดว่าเจอสัตว์ร้ายขึ้นมา เกรงว่าสัตว์ร้ายก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้หรอก” รพีพงษ์ขมวดคิ้ว แล้วก็หันมาพูดกับนันท์ธรว่า “จะต้องล้อมที่นี่เอาไว้ แล้วสอดส่องสถานการณ์ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้พวกนั้นลอบบุกโจมตี”
นันท์ธรยิ้มอย่างมั่นใจ “พี่ใหญ่ผมพูดถูก พวกนั้นออกมาไม่ได้แน่ แต่ในเมื่อคุณชายรพีพงษ์บอกแบบนี้ งั้นก็ฟังคุณชายรพีพงษ์แล้วกัน”
รพีพงษ์ยิ้ม ได้อยู่กับทุกคนมาพักหนึ่ง นันท์ธรก็ได้มองเขาเป็นญาติพี่น้องแล้ว ถึงปากจะไม่พูด แต่ก็สามารถรับรู้ได้ ว่ามีความเคารพให้กันลึกๆ ด้านใน
ฟ้าก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ รพีพงษ์ก็มองคนที่อยู่ในโลกห้วงเวลา เขาเสียพลังไปมากเพื่อรักษาโลกห้วงเวลานี้ไว้ เขากำลังปวดหัวว่าจะจัดการกับพวกคนข้างในอย่างไรดี
เขาอยากจัดการกับทุกอย่างโดยเร็วที่สุด แล้วรีบกลับไป แต่จากสถานการณ์แล้ว มันต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ปัณฑาก็ยังไม่กลับมา
ปัณฑานี้ เดิมทีทำงานอะไรก็ไม่เคยชักช้า รพีพงษ์สังหรณ์ใจว่าจะต้องเกิดปัญหาอะไรขึ้นแน่ แต่ตอนนี้ก็ปลีกตัวออกไปไม่ได้
ถ้ายังจัดการกับเรื่องของเดชาที่นี่ไม่สำเร็จ เขาจะไปที่ไหนไม่ได้ทั้งนั้น ตอนนี้ได้เป็นคนหนึ่งของเทวโลกไปแล้ว ความรุ่งเรืองและอัปยศของเมืองแฟรี่ แยกกับรพีพงษ์ไม่ออกแล้ว
ดวงจันทร์ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าออกมา เสียงอีกาดังเข้ามาในหูไม่หยุด ผลินก็อยู่ข้างๆ รพีพงษ์ เธอบอกว่า “รพีพงษ์ จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นไหม คนโบราณบอกไว้ว่าถ้าได้ยินเสียงอีกา แสดงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี”
“ในสงครามมีคนตายมากมาย จะมีเรื่องดีได้อย่างไรล่ะ ทำไมล่ะ ลิน คุณกลัวงั้นหรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ มีอีการ้องดังมากมาย ไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย” ผลินมองรอบๆ อย่างระมัดระสัง พอมีเสียงอะไรดังขึ้นมา เธอก็รีบเข้าไปกอดรพีพงษ์ไว้
หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ พวกของเทวเทพกลับไป ตอนนี้คนที่อยู่ที่นี่ก็มีเพียง รพีพงษ์กับนันท์ธร และกำลังทหารที่นันท์ธรนำมาด้วย
รพีพงษ์อยู่ต่อ ผลินก็ไม่ยอมกลับออกไป แล้วนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่เป็นเพื่อนรพีพงษ์ ตอนนี้ผลินถูกเสียงร้องในป่าทำให้ตกใจจนตัวสั่น