พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1620 ความคิดของยัยหิมะ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1620 ความคิดของยัยหิมะ
จะว่าไปแล้ว ยัยหิมะก็เหมือนกับแฟนคลับที่คอยมองดูปริตร เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าปริตรจะเก่งขนาดนี้
เพียงแต่ช่วงเวลาที่มาที่นี่ก็รู้ว่าปริตรนั้นเก่ง แต่ปริตรฝึกวิชาไม่ได้ เรื่องนี้มันช่างทำให้น่าเสียดายจริงๆ
แต่ว่าความสามารถของเขา มีคนที่มีวิชามากมายก็ยังสู้เขาไม่ได้ แม้แต่คนแบบนรเทพเอง ก็ยังพ่ายแพ้ในมือเขาเลย
ส่วนคนอื่นๆ จะเหลืออะไรล่ะ เขาเป็นคนเก่งจริงๆ
“ในเมื่อคุณมีความสามารถนี้ จะเสียเวลาวาดไปก็ไร้ประโยชน์”
ขณะที่ยัยหิมะพูดนั้น ก็มองปริตรอย่างเสน่หา ปริตรเองก็มองยัยหิมะไว้ว่าไม่เลว ยัยหิมะเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา นิสัยในตอนนี้ก็ดีที่สุด ถ้ามีคนได้อยู่กับยัยหิมะ แต่ละวันคงมีความสุขมากแน่ๆ
เพียงแต่ ร่างหายของตนเองนั้นแย่มาก แถมยังฝึกวิชาไม่ได้อีกด้วย ถ้าได้อยู่กับยัยหิมะล่ะก็ ก็คงไม่มีปัญหาไปปกป้องเธอได้
เธอเป็นผู้หญิงเก่ง จะต้องหาผู้ชายที่เก่งแบบเธอให้ได้ แบบนั้นจะได้เหมาะสมกันใช่ไหมล่ะ?
รพีพงษ์ก็เห็นท่าทางดีใจของยัยหิมะ ในใจก็ชื่นชม ยัยหิมะผ่านอะไรมากบ้างนั้น เขาไม่รู้หรอก แต่ตั้งแต่ที่นรเทพตายไป จิตใจของก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ขอเพียงยัยหิมะมีความสุข ที่ตนเองพาเธอออกมา ก็ถือว่าไม่เป็นการทำร้ายเธอแล้ว
รพีพงษ์เดินออกไป ถึงแม้จะบอกว่าต้องคอยจับดูคนข้างในป่าตลอดเวลา แต่ก็ไม่อาจจะพักผ่อนอยู่ที่ตำหนักอ๋องได้ เขาได้พักผ่อนที่ใกล้ๆ ป่านั้น ยิ่งใกล้ยิ่งดี
ยัยหิมะก็เดินออกไป ไปพร้อมกับปริตร ส่วนผลินก็ตามรพีพงษ์ไปติดๆ
สำหรับรพีพงษ์แล้วนั้น ข้างๆ มีผลินอยู่ด้วยก็ไม่เลว แต่บางครั้งผลินก็พูดมากเสียจริงๆ พูดมากไม่เท่าไร แต่ชอบพูดเรื่องรักๆ เรื่องความรู้สึก
ถ้าตนเองไม่มีลูกไม่มีภรรยาก็ดีไป ให้เธอพูดไปก็ไม่เป็นไร แต่ตนเองเป็นผู้ชายที่มีลูกมีภรรยาแล้วนี่สิ
จะใช้อารมณ์แบบนี้ไม่ได้ เพิ่งได้พูดแบบนั้นไป เขาเองก็กลัวว่าผลินจะถลำลึกเข้าไปใหญ่ ถ้าคิดอะไรขึ้นมา มันจะเก็บกลับไปยาก
แบบนี้จะเป็นการทำร้ายผลินเอง เขาหวังว่าผลินจะสามารถเจอผู้ชายดีๆ แล้วได้แต่งงานใช้ชีวิตกันไป
ตอนที่แม่ของผลินตายไปนั้น ได้บอกว่าให้รพีพงษ์ดูแลผลินให้ดี แต่ว่าผลินมาอยู่กับตนเองแบบนี้ ก็คงไม่มีบทสรุปที่ดีอะไรหรอก
ก่อนหน้านี้ยัยหิมะก็มาวนอยู่กับรพีพงษ์เหมือนกัน แต่ตอนนี้ยัยหิมะมีคนอื่นแล้ว จะได้ไม่ต้องมาอยู่ใกล้กับเขาอีกแล้ว
ยัยหิมะมีใจให้กับเจตริน คนฉลาดก็จะมองออก เจตรินเองก็โสดพอดี ถ้ามีวาสนาได้อยู่ร่วมกันล่ะก็ ก็นับว่าเป็นเรื่องดีเลยทีเดียว
รพีพงษ์คิดไป ตนเองก็จะได้เป็นพ่อสื่อ มันก็ดีเหมือนกันนะ
ในใจคิดไปดังนั้น แล้วก็ขึ้นมานั่งบนตัวสัตว์พาหนะ บวรวิทย์เห็นว่าเขาจะไปแล้ว ก็เลยรีบเข้ามา “เมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งวัน ผมว่าคุณพักสักหน่อยแล้วค่อยไปเถอะ เดี๋ยวผมไปรับมือแทนให้”
“เอ๊ะทำไมครั้งนี้คุณพูดไม่น่าฟังเลยล่ะ รับมือแทนให้ หมายถึงอะไร? หรือว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นของผมคนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับคุณเลยงั้นสิ?”
บวรวิทย์ก็รับรู้ได้ทันทีว่าตนเองพูดจาปากพล่อยเกินไป แต่จะว่าไป ระหว่างพี่น้องก็คงไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรหรอก
ทุกคนอยู่ด้วยกัน สนิทกันมากขึ้นก็เลยล้อกันเล่น ก็ไม่มีอะไรแปลก ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะมาล้อเล่นกันแบบนี้ไม่ได้
รพีพงษ์ก็นึกถึงสองพ่อลูกนฤเบศร์ ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนฝั่งของนราธิปก็คงไม่ได้เลวร้ายเท่าไรนัก
รพีพงษ์จะไปแล้ว บวรวิทย์ก็ไม่รอช้า รีบตามไป สองพี่น้องสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน จะต้องไปด้วยกันอยู่แล้ว
ส่วนในหัวของเจตริน ก็มีภาพทั้งหมดอยู่ในหัวแล้ว เขาจำได้อย่างแม่นยำ ต่อไปก็คือจะสร้างกลไกขึ้นไว้ในป่านั้น
จริงๆ แล้วในป่านั้น สามารถสร้างกลไกกับดักอะไรง่ายกว่าในถ้ำและในเมืองเมืองแฟรี่ เพราะว่า ด้านในมีสิ่งของที่ใช้เป็นประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นภูเขาลำน้ำหรือแม้แต่สัตว์ตัวน้อยๆ ปริตรก็สามารถควบคุมได้
เพียงแต่ตอนนั้นไม่มีสิ่งที่อำนวยความสะดวกพอ ก็เลยไม่มีวิธีแสดงฝีมือออกมา ในที่สุดตอนนี้ก็จะได้แสดงฝีมือกันจริงๆ แล้ว ถึงแม้จะทำให้นรเทพกลับมาสู้ไม่ได้แล้ว แต่เขาก็ยังคิดว่าพลังของตนเองยังไม่พอ จะต้องเก่งให้มากกว่านี้
ยัยหิมะก็ชื่นชมเขาอยู่ข้างๆ ยัยหิมะไม่เคยเห็นคนที่เก่งแบบเจตรินมาก่อน คิดว่านรเทพนั้นเก่ง เป็นยอดคน ดังนั้นที่สามารถเอาชนะผู้เป็นราชาได้ ก็ควรค่าแก่การถูกยอมรับ แล้วสมควรที่จะเรียนรู้เอาเป็นแบบอย่าง
พวกเขาไปที่ชายขอบเขตแดนป่าด้วยกัน เพื่อรอคนด้านในออกมา
เทวเทพก็อยู่ในบ้านไป ไม่วางแผนจะไปที่ไหน มีพวกเด็กวัยรุ่นนี้อยู่ เขาไม่ต้องลงมือเองแล้ว
ช่วงนี้เขายุ่งมาก รู้สึกว่าเหนื่อยมาก ได้พักเร็วหน่อยก็ดี
แต่ว่าสำหรับเขาแล้ว คนอื่นจะเป็นไงไม่สน ขอเพียงลูกชายตนเองปลอดภัยก็พอแล้ว ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่เป็นอะไร แต่ก็สั่งบวรวิทย์ตลอดว่า ต้องระวังตัวให้มาก
บวรวิทย์ยิ้มเบาๆ เขาชินกับการเป็นห่วงของพ่อตนเองแล้ว ถึงแม้จะขี้บ่นไปบ้าง แต่ด้านในนั้นก็เปี่ยมไปด้วยความรักของพ่อที่เอ่อล้นออกมา
ไม่พูดไม่ได้ว่านี่เป็นเรื่องที่น่ามีความสุขมาก มีพ่อที่คอยเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา ต่อให้มีเรื่องหนักหนาแค่ไหนก็มีพ่อคอยไปช่วยแบกรับไว้ให้
ก่อนที่ยังไม่ได้เจอกับรพีพงษ์ ทุกอย่างล้วนไม่เป็นความจริง แต่พอได้พบกันแล้ว ก็รู้สึกว่าเรื่องทุกอย่างมันไม่ได้ยากขนาดนั้น ก่อนหน้านี้ เขาอยู่ที่บ้านตลอดเวลา ไม่ออกไปไหน อยู่เป็นขาใหญ่ในเมือง
เมื่อหวนกลับไปคิดเรื่องเก่าๆ ก็ไม่อยากจะไปคิดถึงมัน โชคดีที่ตอนนี้ตนเองกลับตัวเป็นคนดีแล้ว เรื่องที่มันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันผ่านไปก็แล้วกัน
พวกของรพีพงษ์ก็ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องอะไรกับตนเอง ตนเองก็ไม่จำเป็นต้องติดใจคิดอะไรแล้ว
ตอนที่ถึงป่านั้น นันท์ธรก็นอนพิงต้นไหม้ใหญ่อยู่ พอเห็นว่าพวกเขาเข้าไป ก็บอกว่ากำลังรอให้พวกเขามาดูอยู่พอดีเลย พวกเขาพาคนมาไม่มาก ก็เลยตกใจ
แล้วยังมีพี่น้องที่รักตนเอง มาเฝ้าอยู่ที่นี่ทั้งคืนแล้ว นึกว่ารพีพงษ์กลับไป แล้วจะพาคนมาเปลี่ยนเวรเยอะๆ แต่พอเห็นว่ามีพวกเขาเข้ามาไม่กี่คน ในใจก็มีความไม่พอใจบ้าง
“มีแค่พวกคุณนี่น่ะหรือ มันไม่ได้หรอกนะ จะต้องพาคนมามากหน่อย พี่น้องของผมก็จะทนกันไม่ไหวแล้ว แม้แต่ผมเองก็จะยังไม่ไหวแล้ว แถมพวกของผมก็มีการฝึกฝนที่ไม่ค่อยสูง ต้องการพักผ่อน”
รพีพงษ์รู้ว่าเขาต้องพูดแบบนี้แน่ ก็เลยบอกแผนของตนเองไป
ที่พวกเขากลับมา ไม่ได้จะมาเปลี่ยนเวรยามอยู่ด้านนอกนี้ แต่กลับมาเพื่อจะเข้าไปดูสภาพด้านใน ส่วนคนที่นี่ถ้าเหนื่อยแล้ว ก็พักผ่อนที่นี่ได้เลย
ตอนนี้คงจะไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็โทษเขาไม่ได้ พวกเขาเหมาะกับการมาเฝ้ายามเท่านั้น ถ้าจะให้ถืออาวุธรบกันจริงๆ ก็ต้องให้ทุกคนช่วยกัน พวกของรพีพงษ์ถึงจะเป็นหัวหน้าที่คอยสั่งการ