พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1622 มีความเป็นทีมสูงมาก
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1622 มีความเป็นทีมสูงมาก
พอเห็นหมาป่าพวกนั้นก็รู้ได้ว่า พวกมันอยากกินรพีพงษ์ รพีพงษ์เองก็มองออก แต่ว่าตอนนี้ใครมีฝีมือมากกว่า คนนั้นก็ชนะ
เขาก็ยังแกล้งทำเป็นกลัว แล้วมองไปยังหมาป่าพวกนั้น หมาป่าคิดว่าเป็นแค่พรานป่าที่เข้ามาในนี้เท่านั้น ไม่เห็นรพีพงษ์อยู่ในสายตา แถมบนตัวของรพีพงษ์ไม่มีพลังทิพย์อะไรเลย คนแบบรพีพงษ์ ต่อให้มีเพิ่มอีกสองคน พวกมันก็สามารถเอาชนะได้
รพีพงษ์มองหมาป่าพวกนั้น แล้วก็ทำท่าจะหลบ เขารู้ว่า ยิ่งตนเองหลบซ่อนเท่าไร หมาป่าพวกนั้นก็จะยิ่งอยากกินตนเองมากกว่าเดิม
ท่าทางของรพีพงษ์ทำให้หมาป่าพวกนั้นบุกเข้ามาจริงๆ ตอนที่พวกมันคิดว่าสามารถฆ่ารพีพงษ์ได้แล้วนั้น รพีพงษ์ก็หลบหลีกไปอย่างว่องไว
แล้วก็ยิ้มมองหมาป่าพวกนั้น หมาป่าพวกนั้นทั้งตกใจ แล้วก็โมโหด้วย
รพีพงษ์มองพวกมัน แล้วพูดว่า “ว่ากันว่าสัตว์ในป่านี้มีพลังทิพย์ แต่พวกเจ้าสามตัวไม่เห็นจะมีพลังทิพย์เลย”
จริงๆ แล้วสัตว์พวกนั้นก็เหมือนกับกิเลน ถ้านานเข้า พวกมันก็สามารถฝึกฝนจนมีพลังเหมือนกับกิเลนได้
พอได้ยินคำของรพีพงษ์ การโจมตีของหมาป่าพวกนั้นก็หนักขึ้น เห่าหอนกันออกมาใหญ่
รพีพงษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจก็คิดว่าไม่ได้การแล้ว
มันหอนแบบนี้ แสดงว่าพวกมันสามตัวกำลังเรียกพวกมา
พอคิดถึงจุดนี้ รพีพงษ์ก็ออกฝ่ามือโจมตีออกไป การตอบสนองของหมาป่าพวกนี้ ทำให้รพีพงษ์คิดไม่ถึง รพีพงษ์โจมตีไม่ถูก แล้วก็ตกใจพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าสามตัวจะเก่งเหมือนกัน แต่ว่าในเมื่อข้าเข้ามาแล้ว พวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะกลับออกไปอย่างปลอดภัย”
รพีพงษ์ก็เอากระบี่สยบเซียนออกมา พอหมาป่าพวกนั้นเห็นกระบี่สยบเซียน ก็วิ่งหนีทันที รพีพงษ์บุกเข้าไป พลังเทพปล่อยออกมา มังกรทอง9ตัวก็บินนำออกไปข้างหน้า
โจมตีฉับพลัน!
หมาป่าสามตัวอยู่ในมือของรพีพงษ์ โดยไม่มีแรงต่อสู้ขัดขืนอะไรเลย
รพีพงษ์เข้าไป แล้วก็แบกหมาป่าเดินกลับไปยังฝั่งปริตร ปริตรเห็นว่ารพีพงษ์มาแล้ว ก็รีบเอาเลือดหมาป่าใส่ไปยังหุ่นไม้พวกนั้น
กิเลนพูดกับรพีพงษ์ว่า “เจ้านายไม่น่าเอาหมาป่าพวกนี้กลับมาเลย หมาป่าตัวอื่นมันจะตามกลิ่นมาถึงที่นี่ พอถึงตอนนั้นพวกเราก็ลำบากแน่”
รพีพงษ์ก็ยิ้มอย่างไม่สนใจ เดิมทีหมาป่าพวกนี้ก็คิดจะฆ่ารพีพงษ์อยู่แล้ว รพีพงษ์ก็แค่ลงมือก่อนเท่านั้นเอง ต้องโทษที่พวกมันสู้ไม่ได้เอง
ปริตรก็ยิ้มแบบมีเลศนัย แล้วถามว่า “พวกคุณว่า ถ้าฝูงหมาป่าพวกนั้นเข้ามาจริงๆ พวกเราก็อยู่บนเส้นทางที่จะไปกองทัพศัตรูพอดี พวกศัตรูจะถูกหมาป่าทำร้ายไหม?”
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว “กองทัพศัตรูก็ไม่ใช่คนสองคน ต่อให้ฝูงหมาป่าเข้าไป ก็เป็นแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น”
รพีพงษ์พูดไป ปริตรก็ยิ้มเบาๆ รพีพงษ์ช่างไม่รู้พลังของหมาป่าเสียจริงๆ เลย ฝูงหมาป่าไปที่ไหน ก็มีแต่คนกลัว หมาป่าที่นี่สั่งการได้หมด ป่าใหญ่ขนาดนี้ หมาป่ามีจำนวนไม่น้อยแน่ๆ
แต่ปกติแล้วพวกมันไม่ค่อยออกไปไหน ไม่ค่อยสุงสิงกับมนุษย์
แต่ถ้ามีมนุษย์เข้ามาในเขตของพวกมันล่ะก็ พวกมันก็จะไม่ปล่อยมนุษย์คนไหนไปแน่
ได้ยินปริตรพูดมานั้น รพีพงษ์ก็หยักหน้าครุ่นคิด เรื่องนี้ เขาไม่รู้เลยจริงๆ แต่มันก็เป็นแบบนี้จริงๆ ขอเพียงตอนนี้พาฝูงหมาป่าไปยังกองทัพศัตรู พวกนั้นต้องถูกทำลายไปไม่น้อยแน่ๆ
มองไปที่กิเลน แล้วถามว่า “ตอนนี้ห่างจากถ้ำของเจ้าอีกไกลเท่าไร”
คนอื่นไม่รู้ กิเลนจะไม่รู้ทิศทางของถ้ำตนเองเชียวหรือ มันก็ฟังคำของรพีพงษ์ แล้วพารพีพงษ์ไปยังทิศทางของถ้ำตนเอง
ตอนที่เดินทางไปนั้น ก็บอกกับรพีพงษ์ไป ระหว่างทางต้องสร้างข่ายอาคมออกมาด้วย ไม่อย่างนั้นไม่ว่าพวกเขาจะเดินไปที่ไหน ก็จะมีคนรู้ได้ ถ้ามีคนเห็นร่องรอยแล้วออกตามหา แผนของพวกเขาก็จะวุ่นวาย
รพีพงษ์ได้ยินคำของกิเลน ก็รู้ว่าไม่มีปัญหาอะไร แล้วก็ทำตามที่กิเลนบอก
ปริตรก็คิดในใจ ถ้ากิเลนไม่อยู่กับรพีพงษ์ ตัวมันเองก็มีความสามารถอยู่ไม่เบา กิเลนฉลากขนาดนี้ แล้วทำไมถึงมาเป็นสัตว์พาหนะของรพีพงษ์ได้
แน่นอนว่า นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดในใจ เรื่องของคนอื่น ปริตรไม่อยากไปยุ่ง ยิ่งกว่านั้นถ้ากิเลนยินยอม แล้วรพีพงษ์คิดว่าไม่มีปัญหา ก็ไม่มีอะไรน่าแปลก
พวกเขาเดินไปไม่ไกลก็ถึงที่ของกิเลน เนื่องจากมีข่ายอาคมอยู่ คนอื่นๆ ก็เลยมองไม่เห็นพวกเขา
แล้วยังมีหมาป่าที่ตายแล้ว3ตัว พอถึงที่นั่น กิเลนก็พูดว่า “เจ้านาย ตอนนี้ถึงที่ของข้าแล้ว พวกเราก็ทิ้งศพของหมาป่าไว้ที่นี่แหละ ถ้าพวกฝูงหมาป่าพวกนั้นมา ก็ตามไม่ถึงตัวเจ้านายหรอก”
รพีพงษ์ยิ้ม แล้วก็วางศพหมาป่าไว้บนพื้น ยัยหิมะก็มองหมาป่าที่พื้น แล้วขมวดคิ้วพูดว่า “หมาป่าพวกนั้นคงไม่ตามมาเร็วขนาดนั้น พวกเราคิดวิธีอื่นกันด้วยไหม?”
รพีพงษ์ก็ยังไม่มีแผนอะไรต่อ มีคนเยอะก็มีพลังเยอะ แต่คิดกันคนละแผนก็ยังดีกว่าสู้คนเดียว
ปริตรยิ้ม “ถ้ามีคนรู้ภาษาหมาป่าล่ะก็ งั้นพวกเราก็สามารถเลียนแบบเสียงหอนของพวกมัน เพื่อเรียกมันมาที่นี่ได้”
ยัยหิมะก็คิดอะไรออก แล้วก็พูดกับทุกคนว่า “ตอนที่ฉันอยู่ที่ภูเขาหิมะซีหลิงนั้น ที่นั่นก็มีปมาป่าหิมะมากมาย ภาษาของพวกมันฉันก็พอรู้มาบ้าง”
รู้บ้างเสียที่ไหน ยัยหิมะทั้งฟังรู้เรื่อง และพูดได้ด้วย
บนเขาหิมะนั้น ได้อยู่กับหมาป่าเป็นพันเป็นหมื่นปี สัตว์อื่นๆ มีไม่มาก
เธอรู้แน่นอน จากนั้นก็หอนออกมาเป็นภาษาหมาป่า ทั้งป่าก็มีเสียงหอนตอบรับออกมา รพีพงษ์ก็มองยัยหิมะอย่างตกใจ
เด็กผู้หญิงคนนี้ทำอะไรได้หมด เก่งจริงๆ แต่ว่าหมาป่าพวกนั้นได้ยินเข้า แล้วจะเข้ามาหรือเปล่า?
พอทำทุกอย่างเสร็จ ยัยหิมะก็พูดกับพวกรพีพงษ์ว่า “ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ต้องเขามาแน่ หมาป่าพวกนั้นมีอยู่กันเป็นฝูง จะไม่ปล่อยให้พวกพี่น้องลำบากโดยไม่สนใจแน่”
เสียงหอนของยัยหิมะสิ้นสุดลงไปแล้ว เดชาอยู่ในถ้ำ ก็ได้ยินเสียงหอนเหมือนกัน เขาก็มองสีท้องฟ้าด้านนอก แล้วก็ขมวดคิ้วพูดว่า “กลางวันแสกๆ มีเสียงหอนของหมาป่าได้ไง?”
เขาลุกขึ้น แล้วเดินออกมานอกถ้ำ แล้วก็เรียกทหารมาถาม “มันเกิดอะไรขึ้น?”
ทหารคนหนึ่งก็รีบเข้ามารายงานอย่างดีใจว่า “พี่น้องเรา2คนไปล่าสัตว์ แล้วได้หมาป่ามา3ตัว ถ้ามีฝูงหมาป่าเข้ามาจริงๆ พวกเราจะได้ฆ่าพวกมันเอามากินแก้หิว พี่น้องทุกคนลงมือด้วยกัน”
พอได้ยินดังนั้น สีหน้าของเดชาก็คล้ำไป แล้วตวาดว่า “ใครเป็นคนคิดแผนบ้าๆ นี้ เรื่องแบบนี้ก็กล้าทำงั้นหรือ?”
ป่าใหญ่แบบนี้ ถ้าไปยั่วโมโหพวกหมาป่าเข้า ชีวิตคงไม่สงบสุข
มีคนค่นี้จะไปสู้อะไรได้ ที่นี่มีแต่สัตว์ร้าย ถ้าจัดการกับหมาป่าได้ แล้วสัตว์อื่นๆล่ะ?
ลูกน้องของเดชาก็อ้ำอึ้งพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่าเดชาจะโมโหขนาดนี้ ในตอนนี้ก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อสดโชยเข้ามา เดชาก็รีบไปดู เห็นว่าหมาป่า3ตัวนั้นถูกย่างไปแล้ว
แน่นอนว่า สัตว์ที่ล่ามาได้ก็ต้องเป็นของตนเอง ไม่แบ่งอื่นๆ แน่
เดชาก็ทำลายเตาย่างนั้นทิ้ง “ไอ้พวกโง่ หาเรื่องใหญ่มาให้กูจนได้”
พวกรพีพงษ์ก็ดูอย่างสะใจอยู่อีกฝั่ง ดูเหมือนว่าตัวเดชาเองก็ไม่โง่นัก ยังรู้จักหนักเบาอยู่บ้าง………