พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 228 คุณท่านของพวกแกให้ฉันกลับมา
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 228 คุณท่านของพวกแกให้ฉันกลับมา
บทที่228 คุณท่านของพวกแกให้ฉันกลับมา
บริเวณบ้านตระกูลลัดดาวัลย์ พื้นที่กว้างใหญ่ คล้ายกับ ห้างขนาดเล็กหนึ่งห้าง วัยรุ่นของตระกูลลัดดาวัลย์กำลัง ฝึกฝนกันอยู่
ศิลปะการป้องกันตัวเป็นเรื่องที่ตระกูลลัดดาวัลย์ทุกรุ่นจะ ต้องเรียนรู้บรรพบุรุษของตระกูลลัดดาวัลย์ได้พูดไว้ว่า เพียง แค่ร่างกายแข็งแรง จึงจะรักษาความสงบเอาไว้ได้ ดังนั้นทุก คนของตระกูลลัดดาวัลย์ ต้องผ่านการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ที่ยากเย็นแสนเข็ญให้ได้ ด้วยเหตุนี้เอง รุ่นหลังของตระกูล ลัดดาวัลย์ ถึงจะสามารถกับความลำบากได้มากกว่าผู้อื่น
ตอนนั้นพรสวรรค์ด้านศิลปะการต่อสู้ของรพีพงษ์ ท่วงท่า ต่างๆที่ได้สืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งปีก็ เรียนรู้ได้ทั้งหมด ต่อมาในการฝึกทุกครั้ง รพีพงษ์จะทำทุกวิถี ทางที่จะไม่ฝึก แล้วไปทำเรื่องที่ตนเองชอบ
ดังนั้นในตอนนั้นทุกคนคิดว่าที่รพีพงษ์ไม่เรียนศิลปะการ ต่อสู้นั้น หนึ่งในคนจำนวนไม่น้อยนั้นยังเยาะเย้ย ว่าเขาเรียน ไปก็ทำไม่เป็น ถึงได้ทำทุกวิถีทางที่จะไม่เรียน
มีเพียงพ่อของรพีพงษ์ นนทภูเท่านั้นที่รู้ว่ารพีพงษ์นั้นเป็น หนึ่งในร้อยที่หาได้ยาก ดังนั้นจึงให้สิทธิพิเศษแก่รพีพงษ์ เวลาฝึกเขาสามารถไปทำเรื่องที่ตัวเองอยากทำได้
แล้วนนทภูก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้ออกไป เขากำชับรพีพงษ์ เป็น คนต้องเงียบๆไว้ มีเพียงเท่านี้ ถึงจะใช้ชีวิตได้ยาวนาน โดย เฉพาะตระกูลใหญ่ๆอย่างตระกูลลัดดาวัลย์ ถ้าแสดงอะไรที่ ข้ามหน้าข้ามตาเกินไป ก็มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัวทั้งนั้น ไม้เด่นเกินไพร่ ลมพัดหักโค่น
รพีพงษ์เข้าใจหลักคำสอนนี้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ดังนั้นเมื่อมี เรื่องอะไรที่ผิดปกติ ก็จะบอกเพียงแค่นนทภูเท่านั้น แม้แต่ กล่องหยกขาวที่เขาประดิษฐ์มา ก็ถูกพูดเป็นสิ่งที่นนทภีเป็นผู้ ประดิษฐ์ขึ้นมา
ดังนั้นตั้งแต่เล็กๆการแสดงออกของรพีพงษ์เปรียบเสมือน คุณชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่หยิ่งยโสโอหัง และไม่มีจุด เด่นใดๆเลย แต่เขาคือลูกชายคนเดียวของนนทภู การเป็น ทายาทสืบทอดตระกูลนี้ทำให้ทุกคนอิจฉาตาร้อนไปตามๆกัน แต่ในตอนนั้นมีนนทภูคอยปกป้องอยู่ รพีพงษ์ในตอนนั้นไม่ ได้รับรู้ถึงความโหดร้ายของคนรอบข้างเลยด้วยซ้ำ จนกระ ทั้งนนทภูหายตัวไป วีธราและโยษิตาวางแผนให้ร้ายเขา เขา จึงได้ตื่นตัวขึ้นมาทันที
แล้วประจวบเหมาะกับที่รพีพงษ์ก็ไม่ได้แสดงออกอะไร มากมาย จึงทำให้รักษาชีวิตมาได้ ตอนนั้นวีธราก็รู้สึกว่ารพี พงษ์ไม่ได้มีอะไรที่จะขมขู่ตนได้ ก็เลยแค่ไล่เขาออกจาก ตระกูลลัดดาวัลย์ แต่ไม่ได้ฆ่าเขา
เมื่อคิดกลับไปยังเหตุการณ์ในตอนนั้น ในใจรพีพงษ์เหมือน
มีคลื่นซัดกระหน่ำซ้อนลงมา ใครก็คิดไม่ถึง ว่าคนที่อยู่ใน
ความปกป้องของนนทภู ในวันนี้จะได้เปลี่ยนไปเป็นคนที่ไร้
ซึ่งความรู้สึกใดๆแข็งกระด้างไปเสียแล้ว
เขาเดินเข้าไปในสวน เห็นเด็กหญิงเด็กชายอายุราวๆสิบ เจ็ดสิบแปดปี กำลังฝึกการต่อสู้อยู่ เหมือนได้เห็นตัวเองใน ตอนนั้น
แล้วคนที่กำลังฝึกหัดคนเหล่านี้อยู่นั้น ก็คือคนที่ไม่ถูกกับรพีพงษ์ในตอนนั้น คิดว่ารพีพงษ์จะต้องเป็นนิรมัทที่ไม่เอา ไหน
นิรมัทคือลูกชายน้องชายของนนทภู ในรุ่นของรพีพงษ์ ถือว่าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง
ตั้งแต่เล็กจนโต การแสดงออกของนิรมัทดีกว่ารพีพงษ์ที่ สำมะเลเทเมามาก คนในตระกูลจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่านิรมัท เหมาะสมจะเป็นทายาทสืบทอดตระกูลมากกว่ารพีพงษ์
เสียดายที่รพีพงษ์เป็นลูกชายของหัวหน้าวงศ์ตระกูลลัดดา
วัลย์ ถึงแม้นิรมัทจะแสดงออกว่าตนเองเก่งกาจขนาดไหน ก็ ไม่สามารถข้ามรพีพงษ์ เพื่อไปแย่งตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ลัดดาวัลย์ได้
ดังนั้นตั้งแต่เล็กจนโต นิรมัทจะเกลียดชังรพีพงษ์อยู่ตลอด
จนกระทั่งรพีพงษ์ถูกไล่ออกจากตระกูลลัดดาวัลย์ นิรมัท จึงจะรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ถึงแม้ตำแหน่งหัวหน้าวงศ์ตระกูลจะ ถูกแม่ของรพีพงษ์แย่งไป เพียงแค่ไม่ใช่ไอ้สวะรพีพงษ์เป็น หัวหน้าวงศ์ตระกูล นิรมัทก็ดีใจแล้ว
“กระตุ้นตัวเองหน่อย! เอาแรงที่มีออกมาใช้ให้หมด มีแค่ ความสามารถของร่ากายเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่ พวกคุณถึงจะมี สิทธิ์ในการรับธุรกิจของตระกูลลัดดาวัลย์ ถ้าพวกคุณไม่ ตั้งใจเล่าเรียนศิลปะการปกป้องกัน จุดจบก็จะเหมือนไอ้สวะ รพีพงษ์ในตอนนั้น ที่โดนไล่ออกจากตระกูลลัดดาวัลย์ ทั้ง ชีวิตก็เป็นได้แค่คนธรรมดา แค่ปรสิตตัวหนึ่งเท่านั้น!”
“ปีนั้นฉันกับรพีพงษ์มีครูสอนคนเดียวกัน นอกจากเขาจะึ้ เกียจแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เขาทำเป็นอีกเลย ดังนั้นตอนนี้พวกคุณถึงไม่มีโอกาสได้เจอเขา และฉันเป็นครูของพวกคุณก็ ขยันหมั่นเพียรแบบนี้ อย่าให้เหมือนรพีพงษ์นั่น มิเช่นนั้นพวก คุณก็จะทำได้เพียงโดนศัตรูเหยียบย่ำเท่านั้น!”
นิรมัทภูมิใจกับความสำเร็จของเขา ทุกครั้งที่เขาฝึกฝนให้ กับเด็กน้อยเหล่านี้ ก็จะต้องเอารพีพงษ์มาเหยียบย่ำตลอด แบบนี้ในใจเขาจึงจะมีความสุข
รพีพงษ์ยิ้มพลางเดินไปที่นิรมัย แล้วกล่าว “ปีนั้นฉันขี้เกียจ จริงๆ แต่แกรู้ได้ไง ว่าฉันเทียบกับแกไม่ได้?”
นิรมัทได้ยินเสียงคุ้นหูแบบนี้ ก็สะดุ้งขี้ร จากนั้นรีบหันหลัง เมื่อเห็นรพีพงษ์แล้ว ก็กัดฟัน แล้วกล่าว “รพีพงษ์ แกไอ้สวะ ยังกล้ากลับมาอีกหรอ!”
“หัวหน้าวงศ์ตระกูลของพวกแกให้ฉันกลับมา ฉันต้องให้ เกียรติเธออยู่แล้ว” รพีพงษ์ยิ้มพลางกล่าว
“แกมั่วล่ะ! หัวหน้าวงศ์ตระกูลให้ไอ้สวะอย่างแกกลับมา ทำไม?” นิรมัยกล่าวอย่างคิดไม่ถึง
“อาจเพราะอยากให้ฉันมาสืบทอดสมบัติล่ะมั้ง” ท่าทีของ รพีพงษ์เปลี่ยนเป็นเหยียดหยามขึ้นมาทันที
นิรมัทกำหมัดเอาไว้แน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นเลือดที่เกิด ขึ้นจากความโกรธ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจเขาเป็น อย่างมาก รพีพงษ์ตั้งใจพูดแบบนี้ ต้องเป็นเพราะอยากจะ ทำให้เขาโกรธแค้นขึ้นมาแน่นอน
“ถึงแม่งหยุดเพ้อฝันได้ล่ะ แม้หัวหน้าวงศ์ตระกูลให้ถึงกลับ มา เธอก็ไม่มีทางให้ถึงมาสืบทอดสมบัติหรอก สมบัติของ ตระกูลลัดดาวัลย์มากมายขนาดนี้ จะตกไปในมือของไอ้สวะอย่างแกได้ไงกัน!” นิรมัทด่าทอ
“ถึงน่าจะเป็นคนที่เก่งที่สุดในรุ่นของเราป่ะ ถ้ามีงแพ้ ก็น่า จะรับรองได้แล้วนะว่ากูมีสิทธิ์ที่จะสืบทอดทรัพย์สินของ ตระกูลลัดดาวัลย์หรือไม่” รพีพงษ์กล่าว
เขาไม่ได้อยากจะสืบทอดสมบัติของตระกูลลัดดาวัลย์ จริงๆ เพียงแค่หาข้ออ้างในการที่จะต่อสู้กับนิรมัทเท่านั้น ปี นั้นนิรมัทถูกดูเขาทุกอย่าง เขาเชื่อฟังพ่อ ก็เลยได้แต่อดทน วันนี้ผ่านไปหลายปี ตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เหมาะสมในการให้นิ รมัทรู้ถึงความแตกต่างระหว่างเขาและตัวเองเสียที
บางครั้งช่องว่างระหว่างคน ช่องว่างยิ่งกว้าง บางคนมองไม่ เห็น ก็คิดว่าไม่มี ถึงขั้นดูถูกคนที่ยืนอยู่ในช่องว่างนั้น คิดว่า ตัวเองอยู่นอกช่องว่าง ก็ดีเลิศกว่าใครเค้าแล้ว
นิรมัทได้ยินรพีพงษ์ท้าทายเขา ก็ยิ้มดูแคลนออกมา เขา
กำลังอยากจะระบายอารมณ์โดยผ่านรพีพงษ์อยู่พอดี ในเมื่อ
รพีพงษ์รนหาที่ตายเอง งั้นเขาก็จะไม่เกรงใจแล้ว
รุ่นเด็กเหล่านั้นของตระกูลลัดดาวัลย์มองที่รพีพงษ์อย่าง ประหลาดใจ ปีนั้นตอนที่รพีพงษ์ถูกไล่ออกจากตระกูลลัดดา วัลย์นั้น พวกเขากำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับ รพีพงษ์มากนัก
บวกกับช่วงหลายปีมานี้ที่นิรมัทพูดให้ร้ายรพีพงษ์ไว้มาก พวกเขาคิดว่า รพีพงษ์คือไอ้สวะคนหนึ่ง
นั่นคือรพีพงษ์หรอ จำได้ว่าไม่ค่อยเหมือนในปีนั้นสักเท่า ไหร่ เขาทำให้ตระกูลลัดดาวัลย์ของเราอับอาย ฉันไม่กล้าที่ จะกล่าวถึงเขากับคนอื่น”
“ใช่ ตระกูลลัดดาวัลย์ของพวกเราเก่งกาจขนาดนี้ คาดไม่ ถึงว่าจะมีคนไม่เอาไหนอย่างเขาด้วย ชั่งขายขี้หน้าจริงๆ ไม่รู้ ว่าเขามีหน้ากลับมาได้ยังไง”
“เหอะ เขายังกล้าท้าทายพี่นินอีก ไม่รู้ว่าจะเอาความกล้านี้ มาจากไหน พี่นินเก่งขนาดนี้ ต้องต่อยเขาจนหลงทิศแน่ๆ!”
“ถูก! ลูกพี่ เล่นงานมัน! ไอ้สวะ มีสิทธิ์อะไรมาหยิ่งผยองที่
นี่!”
ทุกคนก็เริ่มตะโกนออกมา
นิรมัทมองไปที่รพีพงษ์อย่างดูแคลน แล้วกล่าว “เห็นแล้วยัง ในสายตาของพวกเขา ก็เป็นแค่ไอ้สวะ จึงมีสิทธิ์อะไรมา
เทียบกับก แล้วยังคิดจะมาชนะกูอีก ฝันไปเถอะ!” รพีพงษ์ยืนอยู่ตรงกลางของสนาม แล้วกล่าว “กูชนะมึงได้ ไหมนั้น ก็ต้องประลองกันก่อนถึงจะรู้ผล อย่าพูดมาก ลงมือ
เหอะ”
นิรมัทมิได้เกรงกลัวแต่อย่างใด วอร์มอัพร่างกาย แล้วเดิน ไปที่ด้านหน้าของรพีพงษ์ ในขณะนี้มีเด็กวิ่งไปเรียกผู้ใหญ่มาสองคน หนึ่งในนั้นเป็น
ท่านคทาคนที่ไปหารพีพงษ์ที่เมืองริเวอร์พอดี แล้วอีกคน คือ อาจารย์ที่ปีนั้นสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับรพีพงษ์และนิรมัท เจตดิลก
“เด็กคนนี้ มีปัญหาอะไร ที่ต้องเรียกพวกเราไปให้ได้ จริงๆ เลย…อะไรนะ! รพีพงษ์ ! เขากลับมาแล้ว!” ความจริงท่าน คทากำลังหัวเราะอยู่ แต่เมื่อได้เห็นรพีพงษ์ในตอนนั้น ก็ตะลึง ขึ้นมา
เจตดิลกมองไปทางนั้น หลังจากเห็นรพิพงษ์แล้ว ก็ขมวด คิ้วขึ้นมา แล้วกล่าว “ไอ้นี่ไม่ตั้งใจเล่าเรียนศิลปะการต่อสู้ยัง มีหน้ากลับมาอีก ดูลักษณะเขาแล้ว เหมือนจะลงมือกับนิรมัท น่าตลกจริงๆ ปีนั้นเขาเป็นนักเรียนที่แย่ที่สุดของรุ่น ฝีมือแค่ นั้นของเขายังกล้าท้าทายนิรมัทอีก”
“นิรมัทเป็นลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมของผม วันนี้ความสามารถ ของนิรมัทได้ถึงจุดที่ช่ำชองแล้วผมล่ะอยากจะรู้ ไอ้สวะนี่จะ ทนฝีมือของนิรมัทได้ซักกี่น้ำ!”